ร่างกฎหมายชุมนุมสาธารณะ ส่อเค้าแท้ง

เสียงภาคประชาสังคม “ค้าน” ร่างกฎหมายชุมนุมสาธารณะ หลังคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย เปิดเวทีรับฟังความเห็น เตรียมประมวลผล เสนอรัฐบาลคว่ำร่างไม่ให้มีผลบังคับใช้
วันที่ 8 สิงหาคม คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) จัดโครงการสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นการปฏิรูปกฎหมาย ด้านเสรีภาพทางการเมือง (กฎหมายชุมนุมสาธารณะ) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น เพื่อนำเสนอและแลกเปลี่ยนข้อมูลในการดำเนินการเกี่ยวกับร่างกฎหมายชุมนุมสาธารณะ ที่ขณะนี้ยังค้างอยู่ที่รัฐสภา และกำลังรอท่าทีของรัฐบาลใหม่ว่าจะรับต่อหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาสังคมในครั้งนี้ มีตัวแทนจากองค์กรต่างๆ ภาคประชาชน ซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง รวมถึงนักวิชาการเข้าร่วม โดยยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ให้ "คว่ำ" ร่างกฎหมายชุมนุมสาธารณะตกไป เนื่องจากไม่มีความจำเป็นที่ต้องบังคับใช้ เพราะปัจจุบันมีกฎหมายมากพอที่จะมาควบคุมและจัดระเบียบการชุมนุมอยู่แล้วในตัว ถ้าหากยังมีการออกกฎหมายฉบับนี้จะยิ่งทำให้เกิดความซ้ำซ้อน อีกทั้งผู้ที่ชุมนุมเรื่องปากท้องนั้นมีความแตกต่างจากผู้ชุมนุมทางการเมือง อย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ในที่ประชุม ยังเสนอให้แก้ปัญหาจากข้างล่างสู่ข้างบน ให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ไม่เช่นนั้นก็คล้ายกับว่ากฎหมายออกมาเพื่อให้ผลประโยชน์แก่นายทุน และรัฐ เพียงอย่างเดียว พร้อมมีการเสนอแนะให้มองปัญหาจากต้นทางว่า ถ้าหากประชาชนได้รับความเป็นธรรม หรือถ้าภาครัฐให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนแล้ว ประเทศไทยก็คงไม่มีการชุมนุมเกิดขึ้น
ด้านนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ร่างกฎหมายชุมนุมสาธารณะเป็นกฎหมายที่ไม่ควรออกมาเป็นอย่างยิ่ง และมองว่า เป็นการฉวยโอกาสในขณะที่บ้านเมืองค่อนข้างมีปัญหาจากการชุมนุมทางการเมือง และมีความรุนแรงเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาไม่ใช่การออกกฎหมายแต่เป็นการบริหารทางการเมืองที่ถูกต้องมากกว่า
“ถ้าการออกกฎหมายชุมนุมฯ ออกมา ในขณะที่พบว่า คนที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม และหน่วยงานของรัฐไม่ให้ความคุ้มครองตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ จะยิ่งเป็นการเกิดบาปกรรมซ้ำสองต่อประชาชาน และเชื่อว่า 99 % ในกรณีการละเมิดส่วนใหญ่ เกิดจากหน่วยงานของรัฐ และกลุ่มนายทุนอิทธิพลในท้องที่ใช้อำนาจในการข่มเหงพี่น้องประชาชน ดังนั้นควรทำเป็นแผนงานในการจัดการการชุมนุมมากกว่าจะเป็นการออกกฎหมาย”
หลังจบการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น นายสมชาย หอมลออ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวสรุปว่า จากการรับฟังความเห็นจากตัวแทนกลุ่มองค์กรต่างๆ ภาคประชาสังคมซึ่งเป็นผู้ทีได้รับผลกระทบโดยตรง ได้มีความเห็นสอดคล้องต้องกันว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ควรจะตก ซึ่งได้เสนอให้ทางคณะกรรมปฏิรูปกฎหมายเสนอต่อรัฐบาลไม่ให้มีการยืนยันกฎหมายนี้ ซึ่งมาจากสาเหตุ ดังนี้
- เนื้อหาของกฎหมาย ฉบับนี้ นอกจากไม่สอดคล้องกับบริบทของความเป็นอยู่ของสังคมไทยแล้ว จะกลายเป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน
โดยเฉพาะชาวบ้านที่เดือดร้อน ไม่ได้รับความเป็นธรรมให้ไม่สามารถที่จะเสนอปัญหาของตนเอง ต่อสาธารณะหรือต่อรัฐได้ และกฎหมายฉบับนี้
ยังไม่สามารถที่จะควบคุมการชุมนุมทางการเมืองใหญ่ๆได้ และปัจจุบันมีกฎหมายมากมายหลายฉบับที่สามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องมีกฎหมายพิเศษ
ซึ่งปัญหาอยู่ที่เจ้าหน้าทีในการบังคับใช้กฎหมายมากกว่า ฉะนั้นในแง่เนื้อหาจึงไม่มีความเหมาะสมต่อสถานการณ์ของประเทศไทย
- เนื่องจากอาจจะขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 63 วรรคแรก ที่ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิ์ในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ” ซึ่งกฎหมายฉบับนี้
อาจจะกระทบกระเทือนต่อสิทธิตามมาตรา 63 เกินความจำเป็น
- ถ้ามองในทางเทคนิคแล้ว เนื่องจากว่าไม่ครบองค์ประกอบในแง่ของกระบวนการตรากฎหมาย ในเรื่องของการตั้งกรรมาธิการ
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเห็นว่า ที่ผ่านมาการชุมนุมในสาธารณะของประชาชนโดยทั่วไปยังไม่ได้รับความคุ้มครองเท่าที่ควร ซึ่งถ้าจะมีการพิจารณาในเรื่องนี้ อาจจะเป็นการพิจารณาในแง่ของการคุ้มครองสาธารณะมากกว่าการควบคุม และไม่ใช่เป็นเรื่องของตัวกฎหมายเพียงเท่านั้น แต่เกี่ยวกับการทำความเข้าใจของสังคม ในเรื่องของบรรทัดฐานและความเข้าใจในคำว่า “เสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบและปราศจากอาวุธ” เพราะหากมีการเข้าใจที่ตรงกันแล้ว ปัญหาที่เกิดจากการชุมนุมก็จะไม่เกิดขึ้น
