ผลวิจัยพบไทยมีโอกาสถึง 10 ช่องทาง เพิ่มขีดความสามารถ
รศ.นพรัตน์” แนะวิธีสู้ศึกในเวทีโลกได้ ต้องส่งเสริม พัฒนางานวิจัย-กำลังคน กระตุ้นศก. ด้านอ.ไกรฤทธิ์ ชี้หัวใจสำคัญเพิ่มขีดความสามารถ ให้ใช้นักวิทยาศาสตร์นำหน้า ขณะที่“รอง ปธ.สภาอุตฯ” เสนอลดภาษีวิจัย 200% เชื่อภาคธุรกิจทุ่มทุนวิจัยอื้อ
วันที่ 9 สิงหาคม ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดสัมมนานำเสนอรายงานการศึกษา “โครงการศึกษาแนวทางการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” ณ โรงแรมพลูแมน บางกอก คิงเพาเวอร์ กรุงเทพฯ โดยมีนายธานินทร์ ผะเอม รองเลขาธิการ สศช. กล่าวเปิดงาน
นายธานินทร์ กล่าวว่า สศช.ได้มอบหมายให้ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินงานโครงการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อปรับกระบวนทัศน์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ให้สามารถรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การผลิตสินค้าและบริการ รวมทั้งตอบสนองความต้องการของตลาดและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวจะนำไปใช้ในการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ด้วย
10 ช่องทาง ไทยวิ่งแข่งบนเวทีโลก
จากนั้นมีการนำเสนอรายการศึกษา “โครงการศึกษาแนวทางการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” โดย รศ.นพรัตน์ รุ่งอุทัยศิริ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศาสตราภิชานไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม
รศ.นพรัตน์ กล่าวถึงการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (Institute for Management Development: IMD) จำนวน 59 ประเทศทั่วโลก ในปี พ.ศ.2554 พบว่า ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยมีอันดับอยู่ที่ 27 ซึ่งต่ำกว่าประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ทั้งฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีและญี่ปุ่น ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา การเพิ่มกำลังคน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
รศ.นพรัตน์ กล่าวว่า จากการถอดรหัสจากต่างประเทศพบว่า ประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง จะมีวิสัยทัศน์ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ชัดเจน จนนำไปสู่นโยบายการพัฒนา ทั้งด้านคน งบประมาณ เครื่องจักรอุปกรณ์ องค์ความรู้ ฯ ขณะเดียวกันยังมีการประสานความร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
“นอกจากนี้ การบริหารระบบขับเคลื่อนการเศรษฐกิจยังต้องอิงฐานความรู้ เน้นการบริหารแบบมืออาชีพ โดยให้เอกชนเป็นผู้นำ ส่วนภาครัฐก็ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น เพราะที่ผ่านบ้านเรามีกลไกสมองที่ดี แต่ด้อยเรื่องการบริหารจัดการ แต่ทั้งนี้ การบริหารจะต้องยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลัก ไม่ฝันเกินเอื้อมหรือทะเยอทะยานมากเกินไป”
ขณะที่ศาสตราภิชานไกรฤทธิ์ กล่าวถึงผลการศึกษาว่า ประเทศไทยมีโอกาสถึง 10 ช่องทางที่จะสร้างความเป็นเลิศและช่วงชิงความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก ได้แก่ 1.พัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์วิทยาศาสตร์เวชศาสตร์เขตร้อน เนื่องจากเรามีศักยภาพในด้านการแพทย์ทางเลือก ศัลยกรรมพลาสติก 2.เสาหลักในการสะสมอาหารเพื่อชาวโลก ประเทศไทยส่งออกอาหารเป็นอันดับ 6 ของโลก จึงไม่น่าจะมีปัญหาหากจะพัฒนาอาหารให้ปลอดภัยและมีคุณภาพมากขึ้น 3.ศูนย์วิทยาศาสตร์แหล่งน้ำและพลังงานทางทะเล ประเทศไทยต้องนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาส่งเสริมการผลิตอาหาร โดยเฉพาะการเลี้ยงปลา ปู เป๋าฮื้อในทะเล
“4.ศูนย์กลางการบริการด้านเทคโนโลยี เพราะฝีมือ ความประณีตในการผลิตอะไหล่และผลิตภัณฑ์อิเลคทรอนิกส์ของประเทศเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ ต่อให้ขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาท ก็เชื่อว่ายังเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติอยู่ดี 5.ศูนย์การท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียน 6.ความได้เปรียบทางทะเลที่ตั้ง ซึ่งสามารถพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ได้ 7.ศูนย์วิทยาศาสตร์อุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ 8.ศูนย์วิทยาศาสตร์การข้าวโลก 9.ศูนย์วัฒนธรรมที่พึ่งวิทยาศาสตร์ 10.ศูนย์วิทยาศาสตร์การยางและมันสำปะหลัง”ศาสตราภิชานไกรฤทธิ์ กล่าว และว่า หัวใจสำคัญการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ คือต้องใช้นักวิทยาศาสตร์นำหน้าในการพัฒนา
ค่าตอบแทนต่ำ ผลิตนักวิจัยไร้ผล
ด้านนายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ที่ปรึกษาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วิพากษ์รายงานฉบับดังกล่าวว่า ที่ผ่านมางานวิจัยต่างๆ ในบ้านเรายังไม่ถูกนำไปปฏิบัติมากนัก ดังนั้น จึงต้องส่งเสริม ผลักดันให้งานวิจัยเชื่อมโยงไปยังภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น
“ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็เผชิญกับปัญหาด้านบุคลากรการวิจัยและพัฒนา เนื่องจากมีอัตราส่วนเพียง 7 คนต่อประชากร 10,000 คน อีกทั้งหากจำนวนประเภทบุคลากรวิจัยออกมาจะพบว่า นักวิจัยมีสัดส่วนเพียง 3 คนต่อประชากร 10,000 คนเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับประเทศไต้หวัน ที่มีนักวิจัยถึง 80 คนต่อประชากร 10,000 คน”
นายปิยะบุตร กล่าวถึงปัญหาการผลิตนักวิจัยในประเทศไทยว่า เกิดจากสภาพแวดล้อมและค่าตอบแทนที่ต่ำ ทำให้อาชีพนักวิจัยไม่เป็นที่นิยม ดังนั้น ยุทธศาสตร์ต่อไปของประเทศไทย จึงต้องเร่งสร้างนักวิจัย โดยเริ่มตั้งแต่ในโรงเรียน รวมทั้งสร้างแรงจูงใจให้กับอาชีพนักวิจัยมากขึ้น
หนุนภาครัฐกระตุ้นเอกชนหยิบงานวิจัยไปใช้
นายเชิญพร เต็งอำนวย รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ประเด็นสำคัญของการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันคือ วิสัยทัศน์ต้องชัดเจน ประเทศไทยจะนำนวัตกรรมมาช่วยในการผลิตที่ประหยัดและมีคุณภาพได้อย่างไร ผลการวิจัยที่ชี้ว่าประเทศไทยมีโอกาสถึง 10 ช่องทาง แต่เอาเข้าจริงปัญหาอยู่ที่ว่าจะก้าวเดินได้หรือไม่ เนื่องจากต้องอาศัยบุคลากร ความร่วมมือของทุกฝ่าย อีกทั้งการนำผลงานวิจัยขับเคลื่อนไปสู่เชิงพาณิชย์ เชิงรายได้ก็ยังไม่เกิดขึ้น
“งบประมาณการวิจัยของบ้านเราอยู่ที่ 0.2% ของจีดีพีและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็น 1% ของจีดีพี แต่ขณะนี้เอกชนไม่สามารถนำงานวิจัยไปต่อยอดได้ เพราะกรอบการวิจัยในบ้านเรายังติดอยู่การมองงานวิจัยแค่เพียงผลของการวิจัย ไม่ได้มองถึงเอกชนผู้ที่จะนำไปใช้ หรือกระทั่งตลาดที่จะรองรับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว”
นายเชิญพร กล่าวอีกว่า ภาคเอกชนเล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำผลวิจัยมาใช้ในการพัฒนาผลิตผล เพราะเอกชนต้องการเข้าถึงโอกาสและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก ดังนั้น ภาครัฐควรกระตุ้นและส่งเสริมให้ภาคเอกชนหยิบงานวิจัยขึ้นมาใช้ โดยให้เอกชนหักภาษีได้ 200% เมื่อซื้องานวิจัยจากหน่วยงานหรือสถาบันต่างๆ เพื่อเป็นแรงจูงใจ และทำให้ภาคเอกชนมีงบประมาณเพื่อลงทุนวิจัยในครั้งต่อไป
นายสมชาย เทียมบุญประเสริฐ ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ประเทศไทยต้องมีการพัฒนาในเรื่องของกำลังคนให้มีการพัฒนาทักษะมากขึ้น ไม่เช่นนั้นหากขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวัน ปริญญาตรี 15,000 บาทต่อเดือน แต่ทักษะเท่าเดิม ภาคอุตสาหกรรมคงหนีไปตั้งโรงงานตามชายแดน หรือไม่ก็นำเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ ขณะเดียวกันต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะด้านการวิจัยและพัฒนาที่จะต้องมีสถาบันวิจัยเฉพาะทาง ทั้งนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมต่อการเป็นประชาคมอาเซียน
