ชาญเชาวน์ แจง ม.12 “สิทธิการตาย” ต้องสอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพแพทย์

นักวิชาการแจง “กม. สิทธิการตาย” เป็นเรื่องใหม่ต้องใช้เวลา สร้างกระบวนทัศน์ก่อน เสนอแพทย์ ครอบครัวเคารพการตัดสินใจ ให้ความเป็นอิสระ เพิ่มการสื่อสารระหว่างญาติ-ผู้ป่วยมากขึ้น
วันที่ 11 สิงหาคม ศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนาวิชาการ เรื่อง“การปฏิบัติตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขฯ ตามม. 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ขัดกฎหมายหรือหลักจริยธรรมหรือไม่” ณ ห้องจิ๊ด เศรษฐบุตร มธ. ท่าพระจันทร์ โดยมี รศ.สิวลี ศิริไล นักวิชาการด้านจริยศาสตร์ พ.อ.ผศ.นพ.ดุสิต สถาวร ผู้แทนเครือข่าย Palliative Care ในร.ร.แพทย์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ อธิบดีกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ร่วมเสวนา
รศ.สิวลี กล่าวว่า จริยธรรมเป็นเรื่องของเหตุและผล ซึ่งหลักจริยธรรมของแพทย์ในระดับสากลให้ความสำคัญและตระหนักต่อการเคารพในความเป็นคน ความเป็นอิสระ ความเป็นตัวของตัวเองของแต่ละบุคคล ดังนั้น การรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง การพูดความจริงระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อผู้ป่วยจะได้ตัดสินใจว่า จะยอมรับการรักษาเพียงแค่ยื้อชีวิตหรือไม่ ทั้งนี้ สิทธิที่จะปฏิเสธการรักษา ไม่ได้หมายถึงการเรียกหา ร้องขอ หรือทอดทิ้งผู้ป่วย
ส่วนท่าทีและความเป็นไปได้ในการใช้สิทธิปฏิเสธการรักษานั้น รศ.สิวลี กล่าวว่า ผู้ที่จะเกี่ยวข้อง ทั้งผู้ป่วย แพทย์ และครอบครัวถือเป็นหัวใจสำคัญ หากผู้ป่วยเข้าใจสัจธรรมของชีวิต แพทย์สามารถอธิบายอาการในช่วงวาระสุดท้ายให้กับผู้ป่วยเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง ขณะที่ครอบครัวก็ควรเคารพการตัดสินใจ เลิกบงการผู้ป่วย โดยใช้ความรักความห่วงใยของตนเองเป็นที่ตั้ง ก็จะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสตายอย่างสงบ
รศ.สิวลี กล่าวอีกว่า การใช้สิทธิปฏิเสธการรักษานั้น อาจสร้างความตกใจให้กับสังคม เพราะมีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมุมหนึ่งแพทย์เองก็มีความกังวลต่อกฎหมายฉบับดังกล่าว แต่ทั้งนี้ หากแพทย์ปฏิบัติหน้าที่ตามจิตวิญญาณแห่งวิชาชีพ เชื่อว่า จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาแต่อย่างใด
ขณะที่พ.อ.ผศ.นพ.ดุสิต กล่าวว่า ในประเทศไทยมีแพทย์ 39,000 คน แบ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 22,000 คน โดยในแต่ละวันแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำงานเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตไม่มากนัก จึงมักไม่เข้าใจการสิทธิปฏิเสธการรักษาและการบริบาลผู้ป่วยในระยะสุดท้าย ในหลักการหากแพทย์สามารถสื่อสารกับผู้ป่วยถึงการตัดสินใจได้ทันนับเป็นเรื่องดี แต่หากผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารได้ แพทย์ต้องสื่อสารและผ่านญาติให้การตัดสินใจเป็นสิทธิของครอบครัว
“ปัญหาที่พบคือญาติและครอบครัวเองก็ยังไม่มีความมั่นใจในการตัดสินใจของตนเอง จึงขอให้การตัดสินใจเป็นของแพทย์ ซึ่งภายหลังมีการตัดสินใจที่ต่างกัน ดังนั้น การพูดคุยระหว่างแพทย์ ญาติ และผู้ป่วยในช่วงการบริบาลระยะสุดท้ายจึงเป็นสิ่งจำเป็น และขณะนี้แพทย์รวมถึงพยาบาลทั่วประเทศก็ค่อนข้างตื่นตัวกับเรื่องนี้พอสมควรแล้ว”
พ.อ.ผศ.นพ.ดุสิต กล่าวต่อว่า การบริบาลผู้ป่วยระยะท้าย ไม่ได้หมายถึงวินาทีสุดท้าย หรือสัปดาห์สุดท้ายก่อนเสียชีวิต แต่เป็นช่วงเวลากว้างๆ ที่ผู้ป่วยสามารถรู้ตัวและสื่อสารได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิทธิในการวางแผนล่วงหน้า การบริบาลผู้ป่วยในระยะสุดท้ายจึงไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อยืดชีวิตผู้ป่วยให้สั้นลงหรือยาวขึ้น แต่เป็นการหาวิธีให้ช่วงเวลาที่เหลือยู่ของผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ การแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขฯ ตามมาตรา 12 และการบริบาลผู้ป่วยระยะสุดท้ายนั้นเป็นเรื่องใหม่ ไม่ควรรีบร้อน ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจและสร้างกระบวนการเรียนรู้และกระบวนทัศน์อีกมาก ทั้งจากนักศึกษาแพทย์รุ่นใหม่และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเอง
ด้านนายชาญเชาวน์ กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นการปฏิรูประบบสุขภาพ ที่จำเป็นต้องมีความสอดคล้องกับการฝึกหัดและมาตรฐานวิชาชีพของแพทย์ด้วย กฎหมายจึงจะเป็นประโยชน์ ในด้านความผูกพันทางกฎหมาย การแสดงเจตนาด้วยตัวหนังสือเป็นเพียงหลักฐานแสดงประกอบเจตนา เพื่อให้ได้รับสิทธิ์และการคุ้มครองสิทธิ์เท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นการเน้นย้ำหลักสิทธิในการเลือก และการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เพียงพอระหว่างแพทย์ ครอบครัว และผู้ป่วยในการจะเลือกรับหรือไม่รับสิทธิการรักษา ดังที่ระบุไว้ในมาตรา 8 แล้ว
อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวต่อว่า การหาความสัมพันธ์ระหว่างการแสดงเจตนา กับกฎหมายอาญาว่าด้วยเรื่องฆ่าคนตาย หรือประมาททำให้คนตาย และมาตรฐานวิชาชีพของแพทย์ ว่าสามส่วนนี้มีความสัมพันธ์หรือขัดแย้งกันอย่างไรเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะหากทั้ง 3 ส่วนไม่สอดคล้อง ต้องหาว่าวิธีการใดที่เกินความจำเป็น และไม่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตระยะยาวของผู้ป่วย
“แม้ผู้ป่วยแสดงเจตนาไว้แล้ว ในทางปฏิบัติก็ควรมีการสื่อสารกันเป็นระยะระหว่างผู้ป่วย ครอบครัวและแพทย์ เนื่องจากสภาพอาการและมาตรฐานทางการแพทย์เปลี่ยนไปได้ตลอด จึงคิดว่าสิทธิในการรักษาฯ เป็นคำที่มาเติบเต็มจากสิ่งที่ไม่เคยมี ทั้งนี้ จะต้องทำให้เป็นระบบข้อกฎหมาย เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องทั้งต่อแพทย์และชาวบ้าน”
มาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 กล่าวว่า บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้
การดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้วมิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและให้พ้นจากความรับผิดทั้งปว
