ฟังความเห็น"โคทม"ชำแหละสป.ฉบับเต็ม! สมควรถูกยุบทิ้ง(จริงๆ)หรือไม่?
"..เจตนารมณ์ของการก่อตั้งสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นั้น ถือว่าเป็นองค์กรที่มีประโยชน์ และไม่ได้มีเพียงแค่ไทย แต่มีสภาสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อยู่อีกประมาณ 50-60 ประเทศ ทั่วโลก ไม่ว่าประเทศแถบละตินอเมริกา หรือเยอรมัน อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม.."
"ที่ผ่านมาปัญหาประการหนึ่งของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สป.) คือ มีการให้สมาชิกเลือกกันเอง ทำให้สามารถล็อคโหวตได้ เช่นหากมีการกำหนดให้สามารถโหวตได้ 5 คน พรรคพวกที่จัดตั้งกันขึ้นมา ก็ได้เปรียบกลุ่มที่ตั้งใจทำงาน เพราะเมื่อรวมผลโหวตแล้วก็ทำให้กลุ่มที่จัดตั้งได้พรรคพวกตนเองขึ้นมา เมื่อการทำงานไม่ได้มุ่งเน้นที่ประโยชน์ส่วนรวมจึงส่งผลต่อบทบาทของสป."
นายโคทม อารียา อดีตประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชุดที่สอง กล่าวแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมากับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ในระหว่างการสัมภาษณ์ความเห็นกรณี คณะรักษาความสงบ แห่งชาติ (คสช.) ออกประกาศฉบับที่ 107/2557 ให้สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สป.) สิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ลง และกรณีมีกระแสข่าวว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่จะมีการยุบทิ้งองค์กรดังกล่าว
ที่กำลังถูกจับตามองอยู่ในขณะนี้
ก่อนจะย้ำว่า “เรื่องการยุบทิ้งองค์กรอิสระแห่งนี้ผมไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่การจะยุบสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินั้น คสช.อาศัยอำนาจอะไรในมาตรา 44 หรือเปล่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สภาก็มีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว การอาศัยอำนาจอะไรไปยุบทิ้ง ไม่น่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วนหรือจำเป็นอะไร”
นายโคทม ยังกล่าวต่อไปว่า เมื่อประมาณ 4 ปีที่ผ่านมา กฎหมายเกี่ยวกับสภาที่ปรึกษา ฉบับใหม่ เคยมีการเสนอไปที่รัฐบาล และรัฐบาลก็ส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว
“ในคณะกรรมการกฤษฎีกาก็มีคุณวิษณุ (เครืองาม) อยู่ด้วย เขาก็คงรู้ปัญหาดีอยู่แล้วว่าถ้าจะแก้ปัญหา ก็ควรไปแก้กฎหมายไม่ดีกว่าหรือ”
นายโคทม ยังระบุด้วยว่า โดยเจตนารมณ์ของการก่อตั้งสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นั้น ถือว่าเป็นองค์กรที่มีประโยชน์ และไม่ได้มีเพียงแค่ไทย แต่มีสภาสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อยู่อีกประมาณ 50-60 ประเทศ ทั่วโลก ไม่ว่าประเทศแถบละตินอเมริกา หรือเยอรมัน อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม
นอกจากนี้ สภาสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ของไทยยังเคยก็เคยสานสัมพันธ์กับสภาของเกาหลีใต้ด้วย แต่ก็ยอมรับว่าแม้จะมีประโยชน์ แต่สภาสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ของไทยก็มีปัญหาอยู่มากเช่นกัน โดยเฉพาะการสรรหาที่มีช่องโหว่ ทำให้ในอดีตที่ผ่านมา มีการจั้ดตั้งกลุ่มพรรคพวกเข้ามา
“เช่น มีการตั้งองค์กรใดองค์กรขึ้นมาก่อน แล้วให้คนในองค์กรนั้นมาสมัครเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อที่จะเลือกกลุ่มก้อน จัดตั้งของกลุ่มตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ เจตนารมณ์เดิมที่ควรจะต้องได้สมาชิกสภาที่เป็นตัวแทนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมก็ไม่เป็นไปตามนั้น”นายโคทมระบุ
นายโคทมกล่าวด้วยว่า ควรจะมีการแก้ไขกฎการโหวต ให้โหวตสมาชิกได้เพียง 2 คนก็น่าจะเพียงพอ เพื่อปิดทางที่นำไปสู่การเลือกพวกพ้องตนเองขึ้นมา เนื่องจาก 5 คนนั้นเยอะเกินไปและเปิดช่องให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
นอกจากนั้น กระบวนการสรรหาควรจะรวบรวมข้อมูลของคนที่ทำงานอย่างจริงจังเพื่อส่วนรวม จากทุกภาคส่วนของสังคม เข้ามาทำงาน ไม่ว่าทั้งจากภาคเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม องค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอ คนทำงานภาคประชาสังคม คนทำงานด้านสิทธิผู้พิการพาร หรือเด็กและสตรี
“ถ้าให้คนทำงานจริงเหล่านี้เข้ามาทำงานในสภา ก็จะช่วยงานได้เยอะ"
"เดิมที ในสมัยที่ผมเป็นประธาน มีคนจากองค์กร พัฒนาเอกชนที่ขัยนขันแข็ง และเอาจริงเอาจังในการทำงานอยู่เยอะพอสมควร แต่ตอนนี้ เขาก็ถอดใจกันไป และไม่ได้รับการสรรหา ดังนั้น ถ้าเปลี่ยนวิธี การสรรหาได้อย่างที่ผมว่ามาก็จะดี ต้องพิจารณาในส่วนของกระบวนการได้มา ต้องหาคนที่เหมาะสม ถ้าได้คนที่เหมาะสมมาก็จะช่วยทำประโยชน์ได้เยอะ” นายโคทมระบุ
เมื่อถามถึงบทบาทของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในช่วงที่นายโคทม เป็นประธาน
นายโคทม ระบุว่า ให้ความสำคัญกับการทำงานกับทุกภาคส่วนทั้งภาคเศรษฐกิจ สังคม กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน เกษตรกร ชาวนา นำมาสู่การเสนอให้รัฐบาลไม่ยกเลิกสนามบินดอนเมือง ในขณะที่ช่วงเวลานั้น มีความทุ่มเทให้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นสนามบินเพียงแห่งเดียว นอกจากนี้ ก็เสนอให้มีรถไฟเชื่อม 2 สนามบิน ระหว่างสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ
นายโคทมกล่าวด้วยว่านอกจากนี้ เคยมีการเสนอให้มีการแก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตร เช่นการแก้ปัญหายางพาราที่นำไปสู่การก่อตั้งองค์กรเกี่ยวกับยางพารา รวมทั้งมีสภาเกษตรกรเกิดขึ้น แม้องค์กรจะยังไม่แข็งแรงนักก็ตาม
รวมทั้งมีการเสนอแนวทางแก้ปัญหาเหตุการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ต้องแก้ปัญหาหลายเรื่องไปพร้อมกันทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง ไม่เพียงมุ่งเน้นที่การแก้ปัญาด้านความมั่นคงเพียงอย่างเดียว แม้ไม่อาจปฏิเสธว่าการให้ความคุ้มครองปลอดภัยประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ
"แต่ผู้บริหารประเทศก็ต้องไม่ละเลยการแก้ปัญหาในบริบทด้านอื่นๆ ด้วยทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง วัฒนธรรม รวมถึงเรื่องการรักษาประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน นายโคทมระบุ
ทั้งหมดนี่คือความเห็นของนายโคทม อารียา ฉบับเต็ม ต่อประเด็นร้อนเรื่องการยุบทิ้งไม่ยุบทั้ง สป. ที่กำลังอยู่ในความสนใจของสาธารณชนอยู่ในขณะนี้
( อ่านประกอบ : ย้อนรอย"สภาที่ปรึกษาศก.สังคมฯ" 13 ปี 2 รัฐประหาร ก่อน คสช.สั่งโละทิ้ง )
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก bangkokbiznews.com