เสียงคนทำงานด้านแรงงานวิจารณ์ ครม.ผิดฝาผิดตัว !
สัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้เห็นโฉมหน้า คณะรัฐมนตรีใหม่ ของนายกฯ หญิงคนแรก "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" กันแล้ว ต้องบอกว่า เรียกเสียงฮือฮาไม่น้อยกับตำแหน่งรมว.ต่างประเทศ ของนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เพราะไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศมาก่อน
รวมทั้งชื่อ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ถูกจับตาเป็นพิเศษ เพราะรัฐบาลต้องเข้ามาแก้ปัญหาปากท้องตามสัญญา ท่ามกลาง สภาพเศรษฐกิจ ราคาสินค้า และค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นจนกระทบวิถีชีวิตประชาชนและแรงงานที่หาเช่ากินค่ำโดยตรง ผนวกรวมกับนโยบายที่หาเสียงเอาไว้ อย่างค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาทด้วยแล้ว ล้วนกำลังรอพิสูจน์ฝีมือการทำงาน
ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย สอบถามไปยังนักวิชาการด้านแรงงาน ผู้นำด้านแรงงาน และตัวแทนนักธุรกิจ กับรายชื่อครม.ใหม่ ที่เห็นและเป็นอยู่ ถูกใจ สมหวัง น่าผิดหวัง หรือบางตำแหน่งอาจดูเหมือนจะผิดฝาผิดตัวบ้างหรือไม่…
ชาลี ลอยสูง
ประธานกลุ่มสมานฉันท์แรงงานไทย
“สานต่อนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่ควรแยกว่านโยบายใดเป็นของรัฐบาลชุดเก่า”
"คนที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีแรงงาน ต้องเป็นคนที่มีความเข้าใจเรื่องแรงงาน เข้าถึงคนงาน ดูแลคนงานที่ทุกข์ยาก และมีมนุษย์สัมพันธ์อันดี แต่วันนี้เมื่อรัฐบาลแต่งตั้งมาแบบไม่ตรงแล้ว ก็ต้องรอดูว่า ต่อไปจะทำอย่างไร เรายังยอมรับและให้โอกาสการทำงานให้เกิดรูปเกิดผลได้บ้าง
รัฐมนตรีแรงงานท่านนี้ ผมไม่รู้จัก และไม่รู้ว่าเขาทำงานด้านไหนมาบ้าง หรือมีความรู้ความสามารถด้านแรงงานมากน้อยขนาดไหน ดังนั้น จากคะแนนเต็ม 10 คงจะให้ได้ 5 คะแนน เนื่องจากยังไม่รู้ท่าที แต่ก็คงต้องลองดูผลงานและการทำงานก่อน
โดยส่วนตัวคิดว่า เมื่อคนที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ในวงการแรงงาน ก็คงจะมีความเข้าใจ ประสบการณ์ หรือพื้นฐานด้านแรงงานไม่มาก แต่ก็คงมีการปรึกษาเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน หรือนักวิชาการด้านแรงงาน แต่ทั้งนี้ ภาคแรงงานเองก็คงต้องให้โอกาสได้ทำงานออกมาเป็นนโยบาย และเห็นผลงานและความคิดเกี่ยวกับด้านแรงงานมากขึ้น ว่า เห็นใจลูกจ้างและแรงงานมากน้อยแค่ไหน
นโยบายด้านแรงงานที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้หาเสียงไว้ ไม่ว่าจะเป็น ค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 300 บาท หรือเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวัง ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใดก็ตาม เพราะทุกคนเข้ามาในฐานะพรรคเพื่อไทย ซึ่งเห็นว่า ภายในระยะเวลา 6 เดือนคงจะเพียงพอในการศึกษาดูงานและทำนโยบายให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง เพื่อเป็นของขวัญให้กับแรงงานในอนาคต แต่ที่สำคัญต้องทำให้เท่าเทียมกันทั่วประเทศ
ภาคแรงงานเองเคยเสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งคิดว่า รัฐบาลชุดนี้ควรจะสานต่อนโยบายกันมา เช่น การรับรอง
อนุสัญญา 87 และ 98 ที่เป็นดั่งหัวใจของคนงาน เพราะว่าด้วยเรื่องอิสระในงานรวมกลุ่มจัดตั้งสหพันธ์แรงงาน สภาแรงงาน การเจรจาต่อรอง และแรงงานระหว่างประเทศ ที่รัฐบาลชุดเก่าได้ผลักดันไปจนถึงขั้นที่พร้อมส่งให้กระทรวงต่างประเทศรับรองแล้ว จึงอยากจะฝากให้รัฐมนตรีแรงงานคนใหม่ช่วยสานต่อด้วย
ไม่อยากให้คิดว่านโยบาย หรืออนุสัญญานี้เป็นของรัฐบาลชุดเก่า แต่ให้มองว่า นโยบายไหนเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมก็ควรสานต่อ
ทั้งนี้ ยังมีประเด็นเรื่อง พ.ร.บ.ประกันสังคม ที่ขณะนี้ไปรอเข้าสภาผู้แทนฯ แล้ว รวมถึงเรื่องกองทุนความเสี่ยง สำหรับคนงานที่โดนบริษัทปลดออกหรือเลิกจ้าง ให้ได้รับค่าชดเชย อีกทั้งเรื่องการพัฒนารัฐวิสาหกิจ ที่ไม่ใช่การแปรรูป แต่เป็นการพัฒนาให้มีการบริหารจัดการที่ดีขึ้น รวดเร็วสำหรับบริหารประชาชน ประเด็นสุดท้ายการเลือกตั้งของพี่น้องแรงงานควรได้เลือกในพื้นที่อาศัยปัจจุบัน ไม่ใช่ต้องกลับไปเลือกที่ภูมิลำเนาเดิม เหล่านี้รัฐบาลต้องช่วยผลักดันและออกกฎหมายอันจะเป็นประโยชน์ต่อคนงานอย่างแท้จริง
ส่วนเรื่องค่าจ้างที่เป็นธรรมเคยนำเสนอไว้ว่า คนงาน 1 คนควรจะมีรายได้เลี้ยงครอบครัวได้ 2 คน สำรวจมาได้วันละ 421 บาท ดังนั้น ที่พรรคเพื่อไทยออกนโยบายมา 300 บาทจึงถือเป็นขั้นแรกที่หวังว่า จะขึ้นไปถึงที่สำรวจไว้ แต่สิ่งที่อยากให้รัฐบาลทำเร่งด่วนขณะนี้ คือ ดูแลควบคุมราคาสินค้าที่สูงขึ้น เพราะประชาชนเดือดร้อนมาก ลองจัดการเรื่องนี้อย่างแรกก่อน
ผมเชื่อในศักยภาพของรัฐบาลที่ได้เสียงข้างมาก เพราะจะสามารถสั่งการได้ แต่หากเกิน 6 เดือนแล้ว ค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ซึ่งเป็นกระแสที่คนส่วนใหญ่พูดถึง ยังไม่มีการปรับหรือปรับช้ามาก พี่น้องแรงงานคงจะไม่ยอม ส่วนจะมีมาตรการอย่างไรนั้นต้องรอดูต่อไป เพราะหากรัฐบาลไม่ทำตามที่พูดไว้จริง จะมีปัญหาเรื่องบริหารจัดการอย่างแน่นอน"
ปรีดา เตียสุวรรณ์
ประธานกรรมการบมจ.แพรนด้า จิวเวลรี่ และกรรมการสมัชชาปฏิรูป
“จัดระดับโควตาแรงงานต่างชาติให้พอควร จะทำให้ค่าจ้างแรงงานไทยสูงขึ้นกว่าแรงงานขั้นต่ำ”
"หน้าตาคณะรัฐมนตรีชุดล่าสุด ปฏิเสธไม่ได้ว่าสร้างความผิดหวังให้ภาคธุรกิจเอกชนและชาวบ้านทั่วไป รัฐมนตรีที่หน้าตาพอรับได้และค่อนข้างตรงกับงาน คือ รัฐมนตรีคลัง เพราะมาจากสายเงินทุนตลาดหลักทรัพย์ สำหรับกระทรวงอื่น ดูผิดฝาผิดตัวอยู่มาก เช่น รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ส่วนรัฐมนตรีแรงงานเองก็คงต้องให้โอกาสทำงานก่อน
ระยะเวลาทำงาน 6 เดือนน่าจะพอได้เห็นนโยบายเป็นรูปเป็นร่างบ้าง แต่ยังไม่ชัดเจนนัก หากระยะเวลา 1 ปี น่าจะชัดเจนกว่า ทั้งนี้ นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทเป็นการผลักเข้ามาโดยไม่เป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ มีอำนาจเหนือตลาด และตั้งราคาเอาเปรียบผู้บริโภค ดังนั้น แม้จะให้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทก็คงไม่พอ
ทางออกที่สำคัญ คือ ต้องทำให้คนงานมีศักยภาพมากขึ้น ทั้งโดยการเพิ่มความรู้ ผลักดันให้อุตสาหกรรมไปสู่การผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มและนำรายได้มาสู่แรงงานมากขึ้น จะเป็นการกระจายรายได้ที่มีประสิทธิผลมากกว่าการเพิ่มรายได้ อีกประเด็นที่ควรคิดให้มากคือปัญหาผู้ใช้แรงงานได้รับเงินน้อย อันเนื่องมาจากการปล่อยให้แรงงานต่างชาติเข้ามาในประเทศถึง 6 ล้านคน ทำให้ค่าจ้างแรงงานต่างชาติราคาต่ำ แต่บีบให้แรงงานไทยไม่เพิ่มขึ้น หรือต่ำลงด้วยซ้ำ เป็นสาเหตุทำให้ค่าจ้างแรงงานไทยในสัดส่วนของการกระจายรายได้ต่ำลงในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา
หากจัดระดับโควตาแรงงานต่างชาติให้พอควร หรือบังคับให้ผู้ประกอบการใช้กฎหมายแรงงานขั้นต่ำให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ โดยจ่ายค่าแรงขั้นต่ำให้แรงงานต่างชาติเท่ากับคนไทย ซึ่งจะทำให้ค่าจ้างแรงงานไทยสูงขึ้นกว่าแรงงานขั้นต่ำ"
ศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ
คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ และกรรมการสมัชชาปฏิรูป
“ครม.ชุดนี้เป็น “นักร้องขั้นเวลา” น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหน้าตาภายใน 6 เดือน”
"สำหรับรัฐมนตรีแรงงานท่านนี้ ผมไม่กล้าวิจารณ์เพราะไม่รู้จัก และไม่รู้ประวัติการทำงานด้านแรงงานของเขาเลย รวมทั้งไม่เคยเห็นผลงานเรื่องใดๆ เกี่ยวกับประเทศชาติ คาดว่า นโยบายด้านแรงงานที่แท้จริงคงยังไม่เกิด หากอยากจะมีนโยบายด้านแรงงานที่ดีๆ ควรให้คนที่คิดนโยบายเข้ามานั่งบริหาร
เมื่อรัฐบามีนโยบายเรื่องอะไร ก็ควรให้คนเข้าใจนโยบายนั้น และมีประสบการณ์เกี่ยวกับนโยบายประเภทนั้นเข้ามาทำงาน แต่เมื่อคนประกาศนโยบายกับคนที่มานั่งทำงานเป็นคนละคนกัน ก็ไม่เข้าใจว่า พรรคเพื่อไทยคิดอะไรอยู่
ผมไม่คาดหวังกับคณะรัฐมนตรีชุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงใด ในทัศนะของผม ครม.ชุดนี้ควรที่จะเป็นชุดเตรียมรับวิกฤติ เพราะว่าภายใน 1 ปีนี้ เศรษฐกิจและการเมืองของโลกจะวิกฤติขึ้น ยกตัวอย่างเศรษฐกิจอเมริกา ยุโรป และอิตาลีกำลังมีปัญหาและก่อจลาจล เห็นชัดเจนว่า ตั้งแต่ปลายปีนี้ไปปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองจะลามไปทั่วโลก ไม่มีทางจะไม่กระทบใคร
คนที่มานั่งคุมกระทรวงแรงงาน จึงไม่ใช่ดูแลแค่เรื่องแรงงาน แต่จะต้องเตรียมรับมือเรื่องเศรษฐกิจและวิกฤติของประเทศด้วย
สำหรับนโยบายเฉพาะหน้าที่รัฐบาลควรเร่งทำ คือ ควบคุมราคาสินค้า ที่ส่วนหนึ่งก็เกิดจากผลกระทบภาวะน้ำท่วม เศรษฐกิจโลก ทำให้คนหาเช้ากินค่ำเดือดร้อนมาก ซึ่ง รมต.มีความรู้ความเข้าใจส่วนนี้ดีหรือเปล่า และจะกล้าจัดการกับอำนาจเหนือตลาดหรือไม่ เพราะคนที่มานั่งบริหารเศรษฐกิจของชาติหลายคนก็มาจากภาคเอกชน ซึ่งไม่เข้าใจกลไกตลาด
ผมมองไม่ออกว่า รัฐบาลชุดนี้จะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร เพราะดูจากลักษณะคนที่ขึ้นมานั่งเก้าอี้ รมต.เหมือนเป้าหมายของรัฐบาลอาจจะไม่ได้อยู่ที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง น่าจะตั้งใจแก้ปัญหาอื่นมากกว่า แต่ว่าแรงเศรษฐกิจน่าจะกดดันให้รัฐบาลทำได้บ้าง แต่เป็นการทำแบบให้เห็นว่า ทำแล้ว
ผมไม่ผิดหวังมากมายกับครม. เพราะผมคุ้นชินกับระบบการเมืองแบบนี้ดี ที่หวังอะไรกับประกาศของนักการเมืองง่ายๆ ในเมื่อเราไม่มีอำนาจต่อรอง หากจะทำก็เป็นการทำแบบ “แก้ผ้าเอาหน้ารอด” ไม่ได้คิดแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน โครงสร้างของปัญหาไม่ได้รับการแตะต้อง เช่น โครงสร้างอำนาจเหนือตลาด ที่ผูกติดภาคเอกชนกับนักการเมือง
สำหรับนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท คนที่ทำงานมาก่อน 3-4 ปีอาจจะได้สัมผัส แต่คนงานใหม่ที่ไม่เคยทำงานมาก่อนจะให้ได้ 300 บาทเท่ากันทุกคนคงยังยาก ทั้งนี้ต้องไปตรวจสอบดูด้วยว่า กรรมการพรรคเพื่อไทยเองที่เป็นเจ้าของธุรกิจปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในบริษัทตนเองด้วยหรือไม่
คณะรัฐมนตรีชุดนี้เหมือนหวังจะอยู่แค่ 6 เดือนหรือ 1 ปีให้ได้จัดการภารกิจบางอย่างเสร็จสิ้น ผมไม่เชื่อว่าจะหวังอยู่ถึง 4 ปี จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงหน้าตาภายใน 6 เดือน หรือที่ภาษาลูกทุ่งเรียกว่าออกมาเป็น “นักร้องขั้นเวลา” เพราะบ้านเลขที่ 11 ก็รออยู่ คงจะเปลี่ยนโฉมหน้าอีกที แต่ไม่ว่าชุดนี้หรือชุดไหนก็อย่าเพิ่งไปหวังอะไร
ในจำนวน ครม.ทั้งหมดกระทรวงกลาโหมดูจะหน้าตาดีสุด (พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) มีประสบการณ์และความเข้าใจในงาน ส่วนกระทรวงเศรษฐกิจ แม้จะเป็นนักการเศรษฐกิจ แต่ไม่ใช่นักการเศรษฐกิจที่จะมาแก้ปัญหาวิกฤติของชาติ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาชีพที่จะทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จ แต่ไม่ใช่นักวิชาชีพที่ทำให้ส่วนรวมประสบความสำเร็จ
สำหรับกระทรวงอื่นๆ ดูผิดฝาผิดตัวอยู่มาก เหมือนเป็นคนเรียนเก่ง เป็นนักธุรกิจกำไรดี แต่จะคิดแค่นั้นไม่ได้
“ไม่ควรทำอำนาจรัฐให้เป็นเนื้อเดียวกับอำนาจทุน ยุคนี้คนที่มาบริหารรัฐต้องบาลานซ์อำนาจทุนกับอำนาจของประชาชนให้ได้”
การแก้ปัญหาแรงงานที่ตรงจุดต้องปฏิรูปแรงงาน โดยปฏิรูปยุทธศาสตร์ 3 ด้าน ได้แก่ 1.อำนาจต่อรอง 2.ค่าจ้างและสวัสดิการ 3.ประสิทธิภาพแรงงาน ซึ่งตัวการของความไม่เป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำ คือ อำนาจรัฐ อำนาจทุน ดังนั้น การจัดความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ให้อำนาจต่อรองแก้คนเล็กคนน้อย จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก แทบทุกพรรคที่ไม่สนับสนุนการจัดตั้ง รวมตัวสมาพันธ์แรงงานตามมาตรา 87
ส่วนเรื่องปฏิรูปค่าจ้างและสวัสดิการ ไม่ได้หมายถึงตัวเงินอย่างเดียว แต่หมายถึงค่าจ้างที่แท้จริง กับโครงสร้างทั้งหมด การมีนโยบายค่าจ้างแห่งชาติทำให้คนงานมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยผ่านระบบสวัสดิการ หรือตัวเงิน แต่ส่วนมากพรรคการเมืองมองแต่ค่าจ้างสูงต่ำ อีกทั้งประสิทธิภาพแรงงานยังไม่เกิดอย่างเป็นรูปธรรม กำลังแรงงานภาคเอกชน 14 ล้านคน จำเป็นต้องยกระดับฝีมือตามความต้องการของนายจ้าง ควรให้บริษัทรับภาระการฝึก แต่รัฐ หรือ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานสนับสนุนเงินทุน หรือกำหนดมาตรฐานเกณฑ์ฝีมือ"