"เอ็นนู" เผยคุณภาพชีวิตเกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ ต้องปฏิรูป 4 เรื่อง
เครือข่ายเกษตรฯ วางเป้าขับเคลื่อนปฏิรูป การเรียนรู้-ระบบตลาด-ประกันความเสี่ยง-กฎหมาย หวังฉุดคุณภาพชีวิตชาวไร่ชาวนาให้ดีขึ้น
นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ คณะกรรมการเครือข่ายปฏิรูปเพื่อคุณภาพชีวิตเกษตร ในคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปที่มี ศ.นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน กล่าวกับ“ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย” ถึงการทำงานของเครือข่ายฯ ในช่วงที่ผ่านว่า มีการเชิญกลุ่มเกษตรกรมาร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาของเกษตรกร รวมทั้งการถอดบทเรียนจากเกษตรกรที่พยายามแก้ไขปัญหาด้วยตนเองจนประสบความสำเร็จ จนสามารถสรุปเป็นปัจจัยที่จะทำให้คุณภาพชีวิตเกษตรกรดีขึ้น 4 ประการ ดังนี้
"1.เกษตรกรจะอยู่รอดได้ ต้องรู้จักเรียนรู้และพัฒนาตนเอง โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งที่ผ่านมาเกษตรกร ปราชญ์ชาวบ้านจำนวนมากก็พิสูจน์แล้วว่า สามารถสร้างรายได้ ลดหนี้สินได้จริง ทั้งนี้ เพื่อขยายความรู้ดังกล่าว ทางเครือข่ายฯ จึงร่วมกับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชนำระบบการเรียนรู้ทางไกลมาใช้เผยแพร่เนื้อหา ทั้งเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรกรยั่งยืน การแปรรูปผลผลิต ฯลฯ ไปสู่ศูนย์การเรียนรู้ระดับตำบล"
คณะกรรมการเครือข่ายปฏิรูปเพื่อคุณภาพชีวิตเกษตร กล่าวถึงโครงการทดลองดังกล่าว กำหนดหลักสูตรไว้ประมาณ 8 เดือน ผู้ที่ผ่านหลักสูตรจะได้รับประกาศนียบัตรจากทางมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังได้รับสิทธิพิเศษจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นั่นคือ สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยลดลงกว่าปกติ
"2.การตลาด เกษตรกรมีปัญหากันมากเรื่องจะนำผลผลิตไปจำหน่าย เราจึงคิดสร้างระบบตลาดที่เอื้อต่อเกษตรกรมากขึ้น เช่น ส่งเสริมตลาดนัดสีเขียว เพื่อจำหน่ายสินค้าสุขภาพ อาหารปลอดภัย จัดเชื่อมโยงตลาดลูกค้าประจำในลักษณะสมาชิก เพื่อรักษาช่องทางซื้อขายสินค้าไม่ให้ขาดตอน หรือที่เรียกว่า 'ตลาดที่ชุมชนส่งเสริมภาคเกษตร' ประการสำคัญที่สุดคือ สร้างระบบตลาดกลางสินค้าขึ้นใหม่" นายเอ็นนู และว่า ที่ผ่านมาเมื่อรัฐบาลทำนโยบายจำนำมากไป ตลาดกลางสินค้า โดยเฉพาะตลาดข้าว มันสำปะหลังจึงหายไป ทำให้ชาวบ้านหมดทางเลือกในการขายสินค้าระดับตำบล เพราะการที่รัฐบาลเข้ามาเป็นเจ้าภาพเองทั้งหมด ทำให้พ่อค้าไม่เดิน ดังนั้น ทางเครือข่ายฯ อาจขอความร่วมมือไปยังเทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อผลักดันแนวคิดดังกล่าวด้วย
นายเอ็นนู กล่าวอีกว่า 3. การประกันความเสี่ยงในการประกอบอาชีพและดำรงชีพของเกษตรกรนั้น ปัจจุบันภัยพิบัติ ไม่ว่าจะอุทกภัย ภัยแล้ง พายุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง การประกันภัยทางธรรมชาติจึงเป็นเรื่องจำเป็น ทั้งนี้ อาจใช้โมเดลเรื่องการประกันราคาข้าวที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เคยทำร่วมกับ ธ.ก.ส. มาเป็นต้นแบบในการขยายผลต่อไปยังพืชชนิดอื่น นอกจากนี้ตัวเกษตรกรเองจะต้องมีประกันชีวิต ประกันสุขภาพอีกด้วย
“4.กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับที่สนับสนุนภาคเกษตร ทั้งเรื่องสิทธิในที่ดิน แหล่งน้ำ การผลิตปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ ฯลฯ ควรเปิดช่องให้ชุมชนเกษตรดูแลตนเอง แทนที่จะวิ่งรอกซื้อจากบริษัทเอกชน หรือรอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลเท่านั้น นอกจากนี้ ต้องปรับแก้กฎหมายให้เอื้อต่อการรวมตัวของเกษตรกร ในลักษณะสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชนมากขึ้น แต่ทั้งนี้ การรวมตัวดังกล่าว ต้องให้อำนาจในการบริหารจัดการควบคู่ไปด้วย ไม่ใช่ให้เกษตรกรรวมตัวเฉยๆ แต่ขาดการส่วนร่วมอย่างเช่นในอดีต”
นายเอ็นนู กล่าวด้วยว่า สำหรับผลและความคืบหน้าในการความดำเนินงานนั้น บางประเด็นปลายปีนี้คาดว่าจะรู้ผล ส่วนที่เหลือเชื่อว่าจะสรุปได้ทันก่อนงานสมัชชาปฏิรูประดับชาติครั้งที่ 2 เดือนมีนาคมปีหน้าอย่างแน่นอน
