สายใยรักจาก”ร.5-พระราชินี”แสงสว่างในชีวิต“เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ”
“…โดยสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงรับสั่งให้นำภาพถ่ายของแคทยามาถวายให้ทอดพระเนตร หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ก็ทรงมีรับสั่งว่า “ยิ้มน่ารักดี” พระราชดำรัสสั้น ๆ เพียงประโยคเดียวนี้ เปรียบเสมือนแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาในชีวิตของทั้งคู่…”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความรักของแม่นั้น ไพศาลเสียยิ่งกว่ามหาสมุทรไหนในโลก และกว้างใหญ่เกินกว่าศึกสงครามของประเทศใด ๆ จะแผ่ขยายไปถึง
คุณูปการนี้ไม่แบ่งแยกชนชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะเป็นสามัญชนคนธรรมดา หรือชนชั้นฐานะที่มียศถาบรรดาศักดิ์
ดังจะเห็นได้จากการที่ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีพระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงพระราชทานอภัยแก่ สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ และพระชายาชาวรัสเซียนามว่า เอกาเทรินา เดสนิตสกายา หรือ “แคทยา” ภายหลังให้กำเนิดพระโอรสนามว่า “พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์”
โดยเหตุการณ์ดังกล่าว ปรากฏอยู่ในคอลัมน์ “วาทะเล่าประวัติศาสตร์” ของ ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย ผ่านบทความ “แสงสว่างในชีวิตของแคทยา” ตีพิมพ์ในศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 35 ฉบับที่ 4 กุมภาพันธ์ 2557 ระบุเหตุการณ์กรณีสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ เสด็จกลับกรุงสยามภายหลังสำเร็จการศึกษา
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ขออนุญาตนำข้อเขียนในบทความดังกล่าวมาเผยแพร่แบบสังเขป ดังนี้
ครั้นสมัยที่สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถศึกษาวิชาทหารบกที่ประเทศรัสเซีย ทรงพบรักกับแคทยา และเสกสมรสกันโดยมิได้ทรงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ซึ่งเป็นการผิดทั้งพระราชประเพณี ผิดทั้งกฎมณเฑียรบาล เนื่องจากทรงมีสิทธิ์ในพระราชบัลลังก์แห่งกรุงสยาม
ภายหลังสำเร็จการศึกษา เสด็จกลับกรุงสยาม สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ทรงมิกล้านำแคทยาเข้ามาพร้อมกัน ทรงโปรดให้พำนักอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ก่อน และระหว่างที่ทรงคิดหาวิธีกราบทูลให้รัชกาลที่ 5 ทรงทราบนั้น ก็ปรากฏข่าวลือเกี่ยวกับ “พระชายาแหม่ม” ของพระองค์แพร่สะพัดไปในพระราชสำนัก
โดยภายหลังปรากฏข่าวลือดังกล่าว รัชกาลที่ 5 ทรงตรัสถามถึง สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ เมื่อทรงประจักษ์ว่าข่าวลือนั้นเป็นจริง ทรงยุติการให้เข้าเฝ้าในวันนั้นในทันที และสิ้นสุดความไว้วางพระทัยที่เคยทรงมีในองค์พระราชโอรสที่ทรงรักมากพระองค์นี้ไปโดยปริยาย
ด้านสมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ทรงกริ้วไม่แพ้กัน โดยบริภาษสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ นานนับชั่วโมง
อย่างไรก็ดี สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ มิได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัย แม้จะมั่นพระทัยว่าหากทำเช่นนั้นจะทำให้ท่าทีแข็งขืนเฉยเมยของรัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงอ่อนลง แต่ด้วยอุปนิสัยที่ทรงเข้มแข็งเด็ดขาด และเชื่อมั่นในพระองค์เอง พร้อมทรงดำริว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนพระองค์ ซึ่งทรงสามารถแยกออกจากงานราชการสนองพระเดชพระคุณได้
ดังนั้น เพื่อให้เวลาเป็นส่วนช่วยให้เหตุการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายลง ทั้งความกริ้วโกรธของรัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ต่อพระองค์และพระชายา ทั้งคู่จึงประทับอยู่ที่วังปารุสกวัน อย่างเงียบ ๆ
โดยเฉพาะแคทยานั้นได้ฝึกพูดภาษาไทยและคำราชาศัพท์ ฝึกกิริยามารยาทตามแบบสตรีในพระราชสำนักฝ่ายใน เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับรับการพระราชทานอภัย ซึ่งทั้งคู่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้น โดยข่าวคราวนี้มิได้รอดพ้นไปจากพระเนตรพระกรรณของรัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระบรมราชินีนาถไปได้
เมื่อเวลาผ่านไป ความกริ้วที่มีอยู่ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ได้คลายลง เนื่องจากยิ่งแคทยาสงบนิ่งอยู่เท่าใด ความอยากที่จะทรงทราบเรื่องราวของเธอก็มีเพิ่มขึ้น
และในที่สุดวันที่สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ทรงรอคอยก็มาถึง ขณะที่ทรงรอเข้าเฝ้าอยู่หน้าห้องประทับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ซึ่งทรงปฏิบัติเช่นนั้นมานานนับหลายเดือน แต่ไม่ทรงได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าได้ แต่วันนั้น “คุณปุย” ข้าหลวงในสมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เข้ามาทูลเชิญให้เสด็จเข้าเฝ้า ซึ่งเป็นครั้งแรกนับจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
โดยสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงรับสั่งให้นำภาพถ่ายของแคทยามาถวายให้ทอดพระเนตร หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ก็ทรงมีรับสั่งว่า “ยิ้มน่ารักดี” พระราชดำรัสสั้น ๆ เพียงประโยคเดียวนี้ เปรียบเสมือนแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาในชีวิตของทั้งคู่
และในระหว่างที่รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรป เมื่อปี 2450 แคทยาก็ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมราชินีนาถเป็นครั้งแรก เมื่อโปรดเสด็จวังปารุสกวัน และยิ่งโปรดปรานแคทยาเป็นทวีคูณเมื่อทรงทราบว่า แคทยากำลังจะให้กำเนิดพระราชนัดดาพระองค์แรก
สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงดีพระทัยกับการที่จะมีพระราชนัดดาคนแรก ทรงให้อภัยพระราชโอรส และโปรดปรานพระสุณิสา (ลูกสะใภ้) เห็นได้จากการที่ทรงจัดเตรียมงานต่าง ๆ สำหรับการประสูติของพระราชนัดดา และยังโปรดให้นางกำนัลที่รับใช้ใกล้ชิด และเคยเป็นพระพี่เลี้ยงของพระราชโอรสทุกพระองค์มาคอยควบคุมดูแลคนเลี้ยงเด็ก
นอกจากนี้ยังทรงโปรดให้พระราชนัดดาเข้าเฝ้าอยู่เสมอเกือบทุกวัน แต่ไม่ใช่ที่พระบรมมหาราชวัง หรือที่พระราชวังดุสิต แต่เป็นที่ตำหนักปลายนาหลังเล็ก ๆ ที่ทุ่งพญาไท
เนื่องจากสมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ยังไม่อาจที่จะทรงรับพระสุณิสาให้เข้าเฝ้าอย่างเป็นทางการได้ เพราะรัชกาลที่ 5 ทรงวางพระองค์เฉยไม่มีพระบรมราชานุญาตให้แคทยาเข้าเฝ้าในฐานะพระมหากษัตริย์ พระองค์ยังคงไม่ยอมเปลี่ยนแปลงทัศนะที่ทรงมีต่อแคทยา และไม่ยอมรับเป็นสะใภ้หลวง
แต่ต่อมาทรงคล้ายความกริ้วกราดด้วยความรักที่ทรงมีต่อพระราชโอรส จึงทรงเผื่อแผ่ไปยังแคทยาด้วย โดยในวันที่พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ มีพระชันษาครบ 2 ปี ในปี 2453 ได้ทรงมีโอกาสเข้าเฝ้ารรัชกาลที่ 5 ที่มีศักดิ์เป็นพระอัยกาอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรกที่วังพญาไท และวันนั้นเองรัชกาลที่ 5 ก็มีพระราชดำรัสที่ตรัสเล่าให้สมเด็จพระบรมราชินีนาถฟังว่า
“…วันนี้ฉันได้พบกับหลานชายของเธอ ดูน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนพ่อ ฉันรู้สึกรักและหลงใหลหลานคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสายเลือดเชื้อไขของฉันเอง…”
ก่อนที่ในปีเดียวกันนั้นเอง รัชกาลที่ 5 ก็เสด็จสวรรคต ในวันที่ 23 ตุลาคม 2453
สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว จะเห็นได้ว่าความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้น เป็นสายใยที่ไม่มีวันตัดขาด ดั่งเช่นสมเด็จพระบรมราชินีนาถที่ทรงมีต่อสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ แม้นว่าจะเคยทรงกริ้ว แต่เมื่อทรงรู้ว่าแคทยาให้กำเนิดพระราชนัดดา ท่าทีกริ้วโกรธต่าง ๆ ที่ทรงเคยมีก็มลายหายไปเสียสิ้น
ซ้ำยังมีส่วนช่วยสำคัญที่ทำให้รัชกาลที่ 5 ทรงคลายความกริ้วลง และมีพระทัยอ่อนจนรับสั่งให้ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงเข้าเฝ้าอีกด้วย
และเผื่อใครยังไม่รู้ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ มีศักดิ์เป็น พระอัยกา ของนายจุลจักร จักรพงษ์ หรือ “ฮิวโก้” ศิลปินนักร้องชื่อดังนั่นเอง
หมายเหตุ : ขอบคุณ ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย และนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 35 ฉบับที่ 4 กุมภาพันธ์ 2557
หมายเหตุ : ภาพประกอบ สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ, แคทยา และพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ จาก pantip
