เมื่อความไม่โปร่งใส ปะทะนักตรวจสอบ ในระบบอุดมศึกษาไทย
ที่มาภาพ:http://www.gotoknow.org/posts/325399
สถาบันอุดมศึกษาของรัฐกว่า 80 แห่ง ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมถึงมหาวิทยาลัยราชภัฏ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ซึ่งการดำเนินการหรือการบริหารงานต่างๆ เป็นไปตามพระราชบัญญัติจัดตั้งมหาวิทยาลัยนั้นๆ มีสภามหาวิทยาลัยคอยควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของมหาวิทยาลัย และมีผู้บริหารตั้งแต่อธิการบดี รองอธิการบดี จนถึงคณบดี เป็นผู้รับผิดชอบการบริหารงานของแต่ละมหาวิทยาลัย เกี่ยวข้องกับประชาคมหลายหมื่นชีวิต งบประมาณแผ่นดิน และเงินรายได้หลักพันถึงหมื่นล้านบาท
เรามักจะได้เห็นทฤษฎีการบริหารหลายอย่างที่ ผู้บริหารแต่ละมหาวิทยาลัยนำมาใช้ในการขับเคลื่อนองค์กร มีศัพท์สวยหรู ดูเข้าท่า เช่น
1. หลักการบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์กร (Total Quality Management: TQM)
2. การบริหารเชิงกลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์ (Strategic Management)
3. การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์ (Management by Objective: MBO)
4. การบริหารแบบดุลยภาพ (Balance Score Card: BSC) ซึ่งปัจจุบันเป็นแนวคิดยอดนิยมที่ผู้บริหารนำมาใช้
ทั้งหมดทั้งมวลจะสำเร็จ ขับเคลื่อนองค์กรไปโดยราบรื่นได้ต้องมี “การบริหารจัดการที่ดี” หลักธรรมาภิบาล (Good Governance)
การบริหารงานที่ประชาคมอุดมศึกษาต้องการเห็นมากที่สุดคือ “ความโปร่งใส” (Transparency) ซึ่งผู้บริหารที่ดำเนินการในเรื่องนี้ ก็จะเป็นที่ยกย่องเชิดชู และก็มีบางส่วนที่ยังมองไม่เห็นในส่วนนี้ จึงเกิดความสงสัยและมีกลุ่มคนตรวจสอบ(Investigator) ก่อกำเนิดขึ้นในสังคมอุดมศึกษา ซึ่งแน่นอน ย่อมเป็นไม้เบื่อไม้เมาระหว่าง กลุ่มไม่โปร่งใส non-Transparency และกลุ่มตรวจสอบ Investigator
ในปี 2542 มีมติ ครม. เกี่ยวกับนโยบายมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ (ม.นอกระบบ) ก่อกำเนิดขึ้น ซึ่งเป็นนโยบาย “เข้าทาง” อย่างยิ่งสำหรับฝ่าย non-Transparency เพราะอาจารย์มหาวิทยาลัยตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นไป จะถูกบรรจุในชื่อ “พนักงานมหาวิทยาลัย” ทดแทนอัตราข้าราชการเดิมที่หายไปเรื่อยๆ และใช้สัญญาจ้างกำหนดเงื่อนไขการให้ทำงาน
แน่นอน บางมหาวิทยาลัยก็ล้อระบบราชการเดิมคือ จ้างไปถึงอายุ 60 ปี แต่บางมหาวิทยาลัย ก็กำหนดระยะเวลาการจ้างแบบพิสดารขึ้นใหม่ เช่น ทำสัญญา 1 ปี หากประเมินผ่านก็ต่อสัญญา 2 ปี ไม่เกิน 3 ปีต่อใหม่ หรือต่อ ทุกๆ 5 ปี ไปจนอายุ 60 ปี อาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัย กดดันยิ่งกว่าสถานะภรรยาเช่า ใครพูดมากโวยวาย ก็ “เข้าทาง” ไล่ออกอย่างถูกกฎหมาย ไม่ต่อสัญญาจ้างจากผู้บริหารได้
ปัจจุบันล่วงเลยมาเป็นเวลา 15 ปีแล้วที่มีระบบพนักงานมหาวิทยาลัย และสัดส่วนพนักงานมหาวิทยาลัยในปัจจุบันมีมาก 1 แสนคนในระบบ ทั้งพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างโดยงบประมาณแผ่นดินและจากเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ Investigator คือพนักงานมหาวิทยาลัย ท่านผู้อ่านคงทำนายอนาคตของกลุ่มตรวจสอบเหล่านั้นได้ ว่า คงไปเดินเตะฝุ่นเตะกระป๋องกันเป็นทิวแถว และท่านยังสามารถทำนายกิจการอันรุ่งเรืองของกลุ่ม non-Transparency ได้อีกอย่างแม่นยำ
หมายเหตุ:บทความโดย รศ. ดร. วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะเลขาธิการศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
