“ดร.วรากรณ์” แนะนศ.ปรับวิธีคิด เรียนภาษาเพื่อนบ้านไม่ใช่เรื่องน่าอาย
นายกสมาคมอาเซียนฯ ยันหากบัณฑิตยังไร้คุณภาพ โอกาสของประเทศจะเท่ากับ "ศูนย์" ส่วนอธิการบดีมหิดล ย้ำชัดสถาบันอุดมศึกษาต้องเกาะติดกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างใกล้ชิด ไม่เช่นนั้นจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
วันที่ 18 สิงหาคม ที่ประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กระทรวงศึกษาธิการ และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ จัดการประชุมวิชาการ ปอมท. ประจำปี 2554 เรื่อง “การเตรียมความพร้อมของอุดมศึกษาไทยกับการปรับตัวสู่การเป็นประชาคมอาเซียน” ระหว่างวันที่ 18-19 สิงหาคม 2554 ณ หอประชุมกองทัพเรือ กรุงเทพฯ
โดยช่วงบ่ายมีการอภิปรายเรื่อง “การเตรียมความพร้อมของอุดมศึกษาไทย เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน” โดย รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คุณหญิงลักษณาจันทร เลาหพันธุ์ นายกสมาคมอาเซียน ประเทศไทย และศาสตราจารย์คลินิก นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมอภิปราย
คุณหญิงลักษณาจันทร กล่าวถึงยุทธศาสตร์การพัฒนา เพื่อรองรับประชาคมอาเซียนในปี 2558 ว่า สถานศึกษาจะต้องให้ความสำคัญกับการผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ สามารถสนองตลาดของอาเซียนซึ่งมีประชากรจำนวน 600 ล้านคนให้ได้ เพราะหากบัณฑิตยังไร้คุณภาพ โอกาสของประเทศจะเท่ากับ "ศูนย์" ทันที
“จากการวิเคราะห์จุดอ่อนของการศึกษาไทยพบว่า มีปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษอย่างมาก ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่างลาว กัมพูชา เวียดนามมีการตื่นตัวและเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ดีกว่า”คุณหญิงลักษณาจันทร กล่าว และว่า ยุทธศาสตร์การเรียนรู้ภาษาอังกฤษของบัณฑิตรุ่นใหม่ ต้องเน้นเรื่องการสื่อสารมากว่าหลักไวยากรณ์ ขณะเดียวกันจะต้องส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ภาษาของประเทศเพื่อนบ้านควบคู่ไปด้วย เพื่อจะได้เข้าใจวัฒนธรรม ความแตกต่าง ซึ่งจะช่วยลดความขัดแย้งได้อีกทางหนึ่ง
ส่วนการเพิ่มสมรรถภาพในการแข่งขันนั้น คุณหญิงลักษณาจันทร กล่าวว่า การพัฒนาทักษะวิชาชีพจะต้องเกิดขึ้นอย่างจริงจัง เพื่อยกระดับตลาดแรงงานให้สูงขึ้น โดยแต่ละมหาวิทยาลัยต้องดึงจุดแข็งของตนเองออกมาใช้ในการผลิตบัณฑิตที่ตอบโจทย์ของการเรียนจบ มีงานทำ เช่น มหาวิทยาลัยอยู่ในพื้นที่ ซึ่งมีความต้องการแรงงานประเภทใดก็ควรจัดการศึกษาให้ทักษะ มีคุณภาพมาตรฐานเหมาะสมตามที่ตลาดต้องการ แต่ทั้งนี้ การจัดการศึกษาดังกล่าวไม่ใช่เน้นเฉพาะระดับอุดมศึกษาเท่านั้น อาชีวะศึกษาก็ต้องเตรียมความพร้อมเช่นกัน
ทั้งนี้ คุณหญิงลักษณาจันทร กล่าวด้วยว่า สถาบันการศึกษาจะต้องจัดหลักสูตรให้มีความเป็นสากล สร้างพันธมิตรและ ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อจะได้เห็นแผนอย่างชัดเจนว่า เราจะมุ่งไปทางไหน อย่างไร แต่ทั้งนี้ บทบาทที่สำคัญของสถานศึกษาในอนาคตคือ จะต้องทำให้ยุทธศาสตร์ที่เขียนไว้สวยหรูเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจัง
ขณะที่ รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเตรียมความพร้อมของอุดมศึกษาสู่การเป็นประชาคมอาเซียนคือ คือ การปรับความคิด (mindset) ต่อประเทศเพื่อนบ้าน เราอยู่กับพม่า กัมพูชามายาวนาน แต่กลับมีคนไทยจำนวนน้อยมากที่รู้คนภาษาของประเทศดังกล่าว ดังนั้น เราต้องปรับวิธีคิด สอนให้นักศึกษาตระหนักว่า การเรียนรู้ภาษาเพื่อนบ้านไม่ใช่เรื่องน่าอายอีกต่อไป
“ขณะเดียวกันในส่วนของมหาวิทยาลัยต้องให้เข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบและความเป็นประชาคมอาเซียน การผลิตบุคลากรเพื่อปั้มเงิน หรือวิชาที่ไม่ตอบสนองความต้องการของตลาด จะต้องได้รับการชี้นำและเตือนสติ เพื่อสร้างความพร้อมให้เกิดขึ้น” รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าว และว่า ทักษะของบัณฑิตในทศวรรษที่ 21 จะต้องคิดเป็น สื่อสารกับผู้อื่นได้ มีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะด้านเทคโนโลยี ประการสำคัญต้องมีความเข้าใจในความเป็นพลเมือง เคารพกติกาและหลักความเสมอภาค
ด้านศาสตราจารย์คลินิก นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า มหาวิทยาลัยจะต้องติดตามกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างใกล้ชิด ไม่เช่นนั้นจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ขณะเดียวกันต้องศึกษาความเป็นมาเป็นไปของประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งภาษาอังกฤษ หากไม่อยากเป็นลูกน้อง เมื่อเปิดประชาคมอาเซียน
“การเรียนรู้ การเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต ทุกคนในสังคมต้องร่วมมือกัน นำความรู้ นวัตกรรม ผลงานวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน สังคม รวมทั้งสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อดึงอาเซียนเข้ามา” อธิการบดี ม.มหิดล กล่าวว่า และว่าการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน เป็นการเปิดโอกาสและเป็นเครื่องกระตุ้นให้เกิดการพัฒนา แต่โอกาสดังกล่าวต้องเกิดจากการร่วมมือที่เข้มแข็ง มีการแลกเปลี่ยนและสร้างระบบกลไกการศึกษาของมหาวิทยาลัยในอาเซียนร่วมกัน”
