ไอซีทียัน'กสทช.'เกิดปีนี้'สมเกียวติ'กังขาดีเอสไอ
'ไอซีที' ยันได้ กสทช.ภายในปีนี้แน่ เผยหากวุฒิสภาไม่สามารถแต่งตั้งได้ นายกรัฐมนตรีจะมีอำนาจเลือก โดยไม่ต้องมีกระบวนการสรรหาอีก ด้านคณะกรรมการสรรหาออกโรงแจงข้อกล่าวหาดีเอสไอ ยันเป็นองค์กรถูกต้องตามกฎหมาย ด้านวุฒิสมาชิกเดินหน้าสรรหาต่อ
นอ.ประดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการศึกษา กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลต้องเปิดให้มีการเข้าถึงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างทั่วถึง โดยส่วนตัวมั่นใจว่าภายในปีนี้จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ตามที่กฎหมายระบุไว้ แม้มีการฟ้องร้องอยู่ แต่เมื่อถึงกำหนดระยะเวลา หาก ส.ว.ไม่สามารถแต่งตั้งได้ นายกรัฐมนตรีก็สามารถเลือกผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 44 คนได้ทันที ซึ่งไม่ต้องมีกระบวนการสรรหาแต่อย่างใด
“ผมคิดว่าปีนี้การตั้ง กสทช.ก็น่าจะแล้วเสร็จแม้ไม่มีการฟ้องร้อง แต่ถ้าวุฒิสมาชิกตั้งไม่ได้ นายกรัฐมนตรีก็สามารถเลือกผู้ผ่านการคัดเลือกได้เลย ไม่จำเป็นต้องมีกระบวนการสรรหา”
ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ. กสทช. ระบุชัดเจนว่าหากสมาชิกไม่สามารถ กสทช.ได้ภายใน 180 วัน นายกฯ มีสิทธิตามชอบธรรม สามารถเลือกรายชื่อผู้สมควรได้รับเป็น กสทช. ทั้ง 44 คน ตามที่กรรมการสรรหาได้เสนอไปยังวุฒิสภา จากนั้น เมื่อนายกรัฐมนตรีเลือกเสร็จแล้ว ก็นำรายชื่อ 11 คน ที่เลือกในขั้นตอนสุดท้ายเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่ออนุมัติก่อนจะทูลฯเกล้าต่อไป
คณะกก.สรรดายันทำดีที่สุดแล้ว
นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงไอซีที ในฐานะคณะกรรมการสรรหากสทช. กล่าวว่า ในการประชุมของคณะกรรมการสรรหากสทช. ตั้งแต่วันแรกยืนยันว่า ได้ทำหน้าที่ของแต่ละคนอย่างดีที่สุด และอยากให้มั่นใจว่ากระบวนสรรหาเดินมาอย่างถูกต้องตามกรอบของบทบัญญัติกฎหมาย ตามพ.ร.บ.กสทช. ซึ่งสามารถตอบคำถามหรือประเด็นที่มีการฟ้องร้องได้ทุกกรณี เธอกล่าวว่า หากที่มีของกรรมการสรรหาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามที่มีการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ก็คงเป็นความไม่ชอบในประเด็นของกฎหมาย เพราะที่มีของกรรมการสรรหาตามพ.ร.บ.กสทช.นั้น กรรมการที่มาประชุมก็ถ้วนมาในฐานะตามที่สังกัดในหน่วยงานราชการ ตามที่ระบุไว้ ซึ่งหากราบชื่อที่กรรมการสรรหาคัดเลือก 22 คนไปรวมกับรายชื่อจากเลือกกันเองเป็น 44 คนนั้น แล้วส่งให้สว.เป็นผู้เลือกจั้นสุดท้าย ไม่ชอบด้วยกฎหมายก็คงต้องให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนเลือกรายชื่อจากจำนวนดังกล่าว เพื่อขอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.)
คดีที่มีการฟ้องร้องนั้น กรรมการสรรหาได้มอบหมายหน้าที่ ให้เลาขาธิการวุฒิสภา ซึ่งก็ถือเป็นเลขากรรมการสรรหาโดยตำแหน่ง เป็นผู้ทำหนังสือชี้แจ้งต่อศาลปกครองในประเด็นต่างๆ ซึ่งกรรมการทุกคนก็พร้อมให้ความร่วมมือในการตอบคำซักถามอยู่แล้ว และกรรมการสรรหาหลายคนก็เป็นนักกฎหมายอยู่ในชุดด้วย ดังนั้นยิ่งเป็นการรับประกันว่า การเลือกผู้สมควรเป็น กสทช.นั้น ได้ดำเนินการตามกรอบกฎหมายมาอย่างดีแล้ว
“ที่ประชุมกรรมการ กสทช. เราไม่เคยเอะใจหรือคิดว่าจะมีการฟ้องร้องกรรมการเกี่ยวกับที่มาว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะทุกคนก็มาจากหน่วยงานที่ตัวเองสังกัดทั้งนั้น ซึ่งที่ฟ้องก็มีการระบุว่า หน่วยงานนั้นไม่เป็นนิติบุคคล ซึ่งส่วนนี้ก็เป็นเรื่องของการตีความกฎหมายทั้งสิ้น” นางจีราวรรณ กล่าว
สภาวิชาชีพสื่อโต้แต่งตั้ง ปธ.ถูกต้อง
สำหรับข้อกล่าวหากรณีการสรรหา กสทช.ไม่โปร่งใสของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ในกรณีประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยได้ลาออกก่อนมีการประชุมคณะกรรมการสรรหา กสทช. แต่มีตัวแทนสภาวิชาชีพข่าววิทยุฯ ซึ่งขณะนั้นยังมิได้ดำรงตำแหน่งประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุฯเข้าร่วมประชุมแทนนั้น
นางสุวรรณา สมบัติรักษาสุข ประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ และหนึ่งในคณะกรรมการสรรหา กสทช. กล่าวว่า เนื่องจากนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ซึ่งเป็นอดีตประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ได้ลาออก เพื่อสมัครเข้ารับการสรรหาเป็น กสทช. (บัญชี2) ซึ่งขณะนั้นสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภายังไม่มีหนังสือแจ้งให้ประธานซึ่งเป็นตัวแทนสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศฯไปเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการสรรหาฯ และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศฯได้ดำเนินการประชุม สมาชิกเพื่อคัดเลือกประธาน สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์คนใหม่ แทนนายวสันต์
หลังการประชุมสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ ตนเองในฐานะรองประธานคนที่หนึ่งได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ อย่างเป็นเอกฉันท์และอยู่ระหว่างขั้นตอนการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการซึ่งขณะนั้นสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาได้ส่งหนังสือให้ประธานสภาวิชาชีพสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการสรรหาฯ
ดังนั้นตนเองในฐานะรองประธานสภาคนที่หนึ่งได้ทำหน้าที่ไปประชุมแทนซึ่งเป็นไปตาม “ธรรมนูญของสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์”ที่กำหนดให้ระหว่างที่ยังไม่เป็นประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ทำหน้าที่ให้เป็นรองสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์คนที่หนึ่งทำหน้าที่แทนจึงเชื่อว่าการไปร่วมประชุมในฐานะรองประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ที่ทำหน้าที่แทนประธานดำเนินการอย่างถูกต้องตามระเบียบของสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์
อีกทั้งกรณีที่ดีเอสไอกล่าวหาว่าสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์เป็นองค์กรเถื่อนเป็นองค์กรที่ไม่ได้มีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายขอยืนยันว่าสภาวิชาชีพฯจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและตาม พรบ. การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ปี 2551 อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
“สมาพันธ์วิทยุ”ยันองค์กรตั้งตาม ก.ม.
นายบุญส่ง จันทร์ส่องรัศมีประธานสมาพันธ์วิทยุชุมชนแห่งชาติหนึ่งในคณะกรรมการสรรหา กสทช.เปิดเผยว่ามีบุคคลที่ไม่ผ่านการคัดเลือกฟ้องร้องต่อศาลกล่าวหาสมาพันธ์ฯว่าไม่มีสถานะรองรับตามกฎหมายขอยืนยันว่าสมาพันธ์ฯเป็นองค์กรสื่อวิทยุชุมชนภาคประชาชนที่จัดตั้งขึ้นตามมาตรา 45 รัฐธรรมนูญปี 2540 และตามมาตรา 64 รัฐธรรมนูญปี 2550 ที่รับรององค์กรภาคประชาชน
วัตถุประสงค์การทำงานของสมาพันธ์ฯซึ่งจัดตั้งมาตั้งแต่ปี 2545 จากการรวมตัวของวิทยุชุมชนทั่วประเทศเพื่อร่วมกันพัฒนาสื่อในชุมชนจึงมั่นใจว่าไม่มีผลประโยชน์ซับซ้อนกับผู้สมัครเข้ามาสรรหาเป็น กสทช. เพื่อให้กลับมาตอบแทนสมาพันธ์ฯแน่นอน
ส.ว.เดินหน้าสรรหา กสทช.
นายสมชาย แสวงการ วุฒิสมาชิกกล่าวว่าขณะนี้อำนาจในการพิจารณาสรรหาผู้ได้รับเลือกเป็น กสทช. ยังเป็นของวุฒิสภาจนกว่าศาลจะมีคำสั่งใดๆออกมาซึ่งศาลปกครองจะนัดพิจารณาคดี กสทช. ในวันที่ 22 ส.ค. นี้ ดั้งนั้นกระบวนการสรรหาของวุฒิสภายังเดินหน้าต่อไป
อย่างไรก็ตามวุฒิสภายังไม่ได้รับเอกสารการกล่าวหากรณีการสรรหา กสทช. ไม่โปร่งใสจากดเอสไอแต่มีข้อสังเกตว่าผลสอบของดีเอสไอถือเป็นความลับของทางราชการซึ่งขั้นตอนต้องมีความเห็นว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ถ้าสั่งฟ้องต้องยื่นให้อัยการดำเนินการและหากไม่มีมติให้สั่งฟ้องการเปิดเผยข้อมูลการกล่าวหาที่เกี่ยวกับกระบวนการสรรหาไม่โปร่งใสถือเป็นการนำความลับทางราชการมาเปิดเผยหรือไม่
อ้างกฎหมายเปิดช่อง
พล.อ. ชูชาติ สุขสงวน ส.ว.สรรหาฐานะประธานคณะรองประธานกรรมมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติความประพฤติและพฤติกรรมตามจริยธรรมของผู้สมควรได้รับเลือกเป็น กสทช.คนที่ 1 ยืนยันจะเดินหน้าการสรรหา กสทช. ต่อไป เพราะว่าตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 มาตรา 15 วรรคหก ระบุว่า ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการคัดเลือกอาจยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองได้แต่ไม่เป็นเหตุต้องระงับหรือชะลอการดำเนินการใด ๆที่ได้ดำเนินไปแล้วเว้นแต่ศาลปกครองจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
“สมเกียรติ”สงสัยแก้มล้มโต๊ะ
นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่าเป็นเรื่องทางปกครองที่คณะกรรมการสรรหาดำเนินการแต่การที่ดีเอสไอเข้ามาถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเพราะการสรรหาไม่เกี่ยวกับคดีอาญาจึงอยากถามถึงคุณธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอว่าทำไมถึงทำเรื่องนี้แบบเร่งรีบเพราะเป็นคดีปกครองมีการฟ้องร้องศาลปกครองถึง 5 คดี หากศาลเห็นว่าส่อไม่ชอบด้วยกฎหมายก็จะออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแต่ข้อมูลที่ตนได้ไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
อย่างไรก็ตามมีคดีหนึ่งที่มีคนไปฟ้องและศาลวินิจฉัยว่าคำฟ้องของผู้ถูกฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่อยู่ในหลักเกณฑ์และสิ่งที่ศาลใช้วินิจฉัยคือข้อมูลที่อยู่ตามสื่อเมื่อศาลสั่งไม่ฟ้องจึงไปหาอีกเวทีหนึ่งหรือไม่และคนที่ไปฟ้องดีเอสไอก็มีความเกี่ยวพันกับพรรคการเมืองหนึ่ง
สำหรับหลักเกณฑ์การสรรหาเป็นไปตามวุฒิสภากำหนดคนที่ไปลงหลายด้านไม่น่าจะเป็นวิธีการที่ทำให้ตนเองได้เปรียบหรือเสียเปรียบกรณีคุณสุรนันท์ หากเป็นเรื่องคะแนนไม่กระทบกับส่วนอื่นก็ผ่านไป และหากไม่ใช่เรื่องร้ายแรงจริงๆก็ให้ผ่านไปแล้วสอยที่หลังเพียงแต่ขอให้มีแต่ละเรื่องแต่ละฝ่ายเกินสองเท่าขึ้นไป
“ถึงอย่างไรก็ต้องเลือก กสทช. แต่ประเด็นคือใครเป็นคนเลือกระหว่างวุฒิสภากับครม.และไม่เห็นเหตุผลที่ สว.จะไม่เลือกเว้นแต่ไม่เลือกกันเองและหาก สว.ไม่ทึกทักว่ากระบวนการไม่ชอบด้วยกฎหมายผลก็จะไม่ผูกพันกับครม.และครม.ไม่จำเป็นต้องเชื่อ สว.”

