ศาลอุทธรณ์ชี้ชะตา “พจมาน-บรรณพจน์” 24 ส.ค. คดีเลี่ยงภาษีโอนหุ้น 738 ล้าน ลุ้นยืนคุก 3 ปี - ยกฟ้อง
หลังจากเวลาผ่านไปกว่า 3 ปีที่ศาลอาญาศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 ให้จำคุกนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานคณะกรรมการบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ที่ 1 คุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ 2 คนละ 3 ปี และจำคุก นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการคุณหญิงพจมาน ที่ 3 จำนวน 2 ปี ในข้อหา ร่วมกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง โดยอุบาย และร่วมกันแจ้งข้อความเท็จให้ถ้อยคำเท็จ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ โดยจงใจเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร 546 ล้านบาทจากการโอนหุ้นบริษัทชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นชินคอร์ป) จำนวน 4.5 ล้านหุ้น มูลค่า 738 ล้านบาท และจำเลย ได้อุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลอุทธรณ์นั้น
ล่าสุด นายวีรภัทร ศรีไชยา ทนายความคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร เปิดเผยว่า ในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ เวลา 09.30 น. ศาลอาญาได้นัดจำเลยทั้ง 3 ประกอบไปด้วยนายบรรณพจน์ คุณหญิงพจมาน และนางกาญจนาภา ฟังคำพิพากษา ซึ่งจำเลยทั้ง 3 จะต้องเดินทางมารับฟังคำพิพากษาด้วยตัวเอง ซึ่งในคดีดังกล่าวทีมทนายความมีความพยายามอย่างเต็มที่ ส่วนคำพิพากษาจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับวินิจฉัยของศาล (มติชนออนไลน์ วันที่ 18 สิงหาคม 2554)
ในการอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ย่อมได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างกว้างขวางเพราะนอกจากตัวจำเลยซึ่งเป็นถึงอดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณและพี่ชายบุญธรรมจะเป็นบุคคลสำคัญแล้ว
ในช่วงที่ผ่านมา ยังมีกระแสข่าวว่า คุณหญิงพจมาน แม้จะหย่าขาดจากพ.ต.ท.ทักษิณ(ในทางกฎหมาย)แล้ว แต่ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยด้วย
ดังนั้นผลไม่ว่าคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จะออกมาเช่นไร ย่อมถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นในทางการเมืองอย่างแน่นอน
กรณีแรก ถ้าศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง ต้องจับตาดูว่า พนักงายอัยการจะยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาหรือไม่ซึ่งเรื่องนี้ ซึ่งถ้าเป็นไปตามขั้นตอนปกติพนักงานอัยการน่าจะต้องหารือกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ในฐานะที่รับไม้ต่อจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)ที่สิ้นสภาพไปแล้ว
ถ้าพนักงานอัยการไม่ฎีกาย่อมต้องมีเสียงวิพากษ์อย่างกว้างขวางว่า มีอำนาจทางการเมืองเข้าแทรกแซงเช่นเดียวกับกรณีที่กรมสรรพากรไม่อุทธรณ์คดีการเก็บภาษีโอนหุ้นชินคอร์ จากนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร มูลค่ากว่า 11,000ล้านบาทต่อศาลฎีกาหลังจากที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้นายพานทองแท้ชนะคดี
กรณีที่สอง ถ้าศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุกคุณหญิงพจมานและพวก อาจจะมีคนโวยวายว่า เป็นการกลั่นแกล้งหรือทำลายครอบครัวชินวัตรและพ.ต.ท.ทักษิณที่กำลังมีอำนาจในทางการเมืองอยู่ในขณะนี้
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยโทษจำคุกของคุณหญิงพจมานไม่เกิน 5 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) ห้ามฎีกาต่อศาลฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง (มาตรา 218)เว้นแต่
1.ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาคดีดังกล่าว หรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิเคราะห์เห็นว่า ข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา
หรือ 2. อธิบดีกรมอัยการ(อัยการสูงสุด)ลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย (มาตรา 221)
จากกรณีดังกล่าว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงมีความสำคัญมากโดยเฉพาะถ้ามีคำพิพากษายืน จะทำให้การฎีกาต่อศาลฎีกาทำได้ไม่ง่ายนัก นอกจากนั้น แม้จะยื่นฎีกาได้ แต่ถ้าศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกานั้นไม่มีสาระสำคัญหรือจะมีผลในการเปลี่ยนแปลงผลคดีก็อาจไม่รับฎีกาก็ได้
สำหรับรายละเอียดของคดีดังกล่าว ตามคำฟ้องของอัยการแบ่งออกเป็น 2 ข้อหา
ข้อหาที่ 1 เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2540 จำเลยทั้งสามได้บังอาจร่วมกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรโดยใช้อุบายว่า จำเลยที่ 2(คุณหญิงพจมาน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ ฯหรือบริษัท ชิน คอร์ป สั่งขายหุ้นบริษัทดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีชื่อของนางสาวดวงตา วงศ์ภักดี หรือนางดวงตา ประมูลเรือง เป็นผู้มีชื่อทางทะเบียนถือการครอบครองแทนรวมมูลค่าหุ้น 738,000,000 บาท ให้กับจำเลยที่ 1 (นายบรรณพจน์)ซึ่งเป็นญาติของจำเลยที่ 2
โดยจำเลยทั้งสามร่วมกันแสดงเจตนาลวงว่าได้มีการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมูลค่าหลักทรัพย์ที่ได้จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์มารวมคำนวณเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อประเมินเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ความจริงแล้วจำเลยที่ 2 ไม่ได้ขายหุ้นจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 แต่เป็นการโอนหุ้นให้กับจำเลยที่ 1 เป็นการอำพรางการให้ ซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้รับการให้จะต้องนำมูลค่าหลักทรัพย์ ประมาณ 738,000,000 บาท มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษี ประจำปี 2540 เป็นเงินจำนวน 273,060,000 บาท
ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจำปี 2540 โดยมิได้นำค่าหุ้นดังกล่าวมารวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษี การกระทำของจำเลยทั้งสามดังกล่าวเป็นการร่วมกันกระทำโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง โดยอุบาย หรือวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน เป็นเหตุให้รัฐเสียหายขายรายได้
ข้อหาที่ 2 ต่อมาวันที่ 18 พ.ค. 2544 ถึงวันที่ 30 ส.ค. 2544 จำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยรู้อยู่แล้ว จงใจได้บังอาจร่วมกันแจ้งข้อความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีอากร ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน
โดยจำเลยที่ 1 ให้ถ้อยคำและตอบคำถามว่า การซื้อหุ้นเมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2540 เป็นกรณีจำเลยที่ 2 ยกหุ้นให้ โดยโอนหุ้นให้บุคคลอื่นถือแทนในตลาดหลักทรัพย์และจำเลยที่ 2 เป็นผู้จ่ายเงินซื้อ และให้ถ้อยคำเพิ่มเติมว่า เป็นพี่บุญธรรมของจำเลยที่ 2 ได้ช่วยเหลือกิจการของจำเลยที่ 2 จนมีความเจริญก้าวหน้า จำเลยที่ 2 ได้มอบของขวัญให้แก่ครอบครัวและบุตรชายของจำเลยที่ 1 เป็นหุ้น จำนวน 4.5 ล้านหุ้นดังกล่าว โดยไม่มีค่าตอบแทนจึงเข้าใจโดยสุจริตว่า เป็นการให้โดยเสน่หา ตามธรรมเนียมประเพณีและธรรมจรรยาของสังคมไทย ได้รับการยกเว้นตามมาตรา 42 (10) แห่งประมวลรัษฎากร
ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ถ้อยคำ ตอบถ้อยคำมีสาระสำคัญว่าตนตั้งใจที่จะมอบหุ้นให้จำเลยที่ 1 จำนวนหนึ่งในวันแต่งงาน แต่มอบให้ไม่ทันเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เตรียมเข้าทำงานในทางการเมือง เมื่อจัดการเรื่องบริหารงานเสร็จสิ้นจึงได้ยกหุ้นจำนวน 4.5 ล้านหุ้นเป็นของขวัญให้แก่ครอบครัวและบุตรชายจำเลยที่ 1 โดยหุ้นที่โอนให้เป็นของจำเลยที่ 2 ซึ่งนางดวงตา วงศ์ภักดี เป็นผู้ถือหุ้นแทนและอยู่ในพอร์ทที่ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว
จำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่ให้ถ้อยคำ ตอบถ้อยคำนั้นเป็นเท็จ เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อให้พนักงานสรรพากรเชื่อว่า การโอนหุ้นดังกล่าวเป็นเงินที่ได้จากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ความจริงแล้วเป็นการให้เพื่อตอบแทนที่จำเลยที่ 1 ทำงานให้ครอบครัวของจำเลยที่ 2 แต่ทำอุบายอำพรางว่าเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการเพื่อจะหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีอากรตามลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร โดยความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ และโดยการฉ้อโกงโดยอุบายของจำเลยทั้งสอง เป็นเหตุให้รัฐเสียหายต้องขาดรายต้องขาดรายได้อันควรได้เป็นเงินภาษีอากรจำนวน 273,060,000 บาท และเงินเพิ่มจำนวน 273,060,000 บาท รวมเป็นเงิน 546,120,000 บาท
ทั้งนี้ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ตรวจสอบมูลคดีแล้ว จึงแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง และคณะอนุกรรมการไต่สวนได้แจ้งข้อกล่าวหาให้แก่จำเลยทั้ง 3 ทราบโดยชอบแล้ว จำเลยทั้ง 3 ได้ชี้แจงข้อกล่าวหาโดยให้การปฏิเสธ คตส.จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องคดีต่อศาล