“สมคิด เลิศไพฑูรย์”ตอบทุกคำถาม!รัฐประหาร เผด็จการ และจุดยืนธรรมศาสตร์
"..ผมคิดว่าจุดยืนของผมก็คือจุดยืนของคนธรรมศาสตร์ คนธรรมศาสตร์ต้องทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ทำเพื่อประโยชน์ประเทศ ถามว่าวันนี้ประเทศมีปัญหา ประเทศต้องการปฎิรูป ประเทศต้องการเดินไปข้างหน้า คนธรรมศาสตร์จะถอยหนีจากเรื่องพวกนี้ใช่มั๊ย คนธรรมศาสตร์จะไม่เข้าร่วมใช่มั๊ย คนธรรมศาสตร์จะปล่อยให้ประเทศเดินไปตามยถากรรมใช่มั๊ย ไม่ร่วมอะไรเลยใช่มั๊ย ผมคิดว่าไม่ใช่.."

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา “ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์” อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศราทุกประเด็น ตอบทุกคำถามที่สังคมในรั้วและนอกรั้วธรรมศาสตร์คาใจ
ตั้งแต่ จุดยืนอธิการบดีหลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ? ลมใต้ปีกเผด็จการ? จนถึงการพัฒนารั้วแม่โดมให้กลายเป็นมหาวิทยาลัยนานาชาติรองรับการเปิดประชาคมอาเซียนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
รวมทั้งเบื้องหลังและความสัมพันธ์ ระหว่าง อธิการบดี กับ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และอาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ ว่าถึงวันนี้ ยังดีอยู่หรือ?
................................
@ หลังได้รับแต่งตั้งเป็นสนช. อาจารย์ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าทำให้ภาพลักษณ์และจุดยืนของธรรมศาสตร์ เสื่อมเสีย
ผมโดนวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 22 พฤษภา แล้วครับ แต่ผมเรียนว่าถ้าคุณศึกษาประวัติศาสตร์อธิการบดีธรรมศาสตร์ จะพบว่าอธิการฯธรรมศาสตร์ทุกคนหรือเกือบทุกคน ต้องฝ่าคลื่นลมทางการเมืองทั้งสิ้น ไม่ว่าอธิการฯคนนั้นอยากจะเล่นการเมืองหรือไม่เล่น แต่การเมืองก็จะวิ่งมาหาอธิการบดีทั้งหลาย
ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การธรรมศาสตร์ โดนการเมืองต้องลี้ภัยไปอยู่จีนและฝรั่งเศสในท้ายที่สุด ท่านอาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ ก็เหมือนกัน หรือคนอื่นๆ แม้ไม่รุนแรงเท่า 2 ทานนี้ก็โดนวิพากษ์วิจารณ์ทั้งนั้น
อาจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร ก็เคยมาเป็นสภานิติบัญญัติแหงชาติ(สนช.)โดนประท้วงหน้าตึกโดมขอให้ลาออกจากตำแหน่งสนช. ท่านอาจารย์นริศ ชัยสูตร โดนเผาหุ่นเรื่องย้ายจากท่าพระจันทร์มารังสิต อาจารย์สุรพล นิติไกรพจน์ โดนวางพวงหรีด กรวดน้ำคว่ำขัน ถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนฝ่ายเหลือง ไม่สนับสนุนฝ่ายแดง ทุกคนโดนทั้งนั้น
@ อาจารย์เจอหรือโดนอะไรมาบ้าง
จริงๆแล้วเรื่องใหญ่มีเรื่องเดียวตอนนิติราษฎร์จัดอปริปรายเรื่อง 112 ที่ธรรมศาสตร์ จัดเรื่อง112 ไม่ใช่ปัญหา ผมคิดว่าการจัดเรื่อง112 เป็นเสรีภาพทางวิชาการ แต่ว่านิติราษฎร์จัดหลายครั้งหลายหนติดต่อกัน จนผมรู้สึกว่าอาจจะก่อให้เกิดปัญหากับธรรมศาสตร์และคนที่แวดล้อมธรรมศาสตร์ทั้งหลายได้ผมก็เตือนว่าเสรีภาพก็มีอยู่นะ แต่ต้องคำนึงถึงอะไรบางเรื่องพอสมควร เท่านั้นแหละผมก็โดนถล่มจากเสื้อแดง ตัวแทนรัฐบาลในขณะนั้น รวมทั้งนักศึกษาและอาจารย์ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นักศึกษาบางคนบอกว่าธรรมศาสตร์มืดบอดทางปัญญาแล้ว เอาไฟฉายมาส่องตึกโดมในเวลากลางวัน แต่หลังจากผมชี้แจงผ่านเนชั่น คนก็เข้าใจผมมากขึ้น แต่ผมย้ำอีกครั้งว่า ถ้าผมเป็นเผด็จการ ไม่มีใครได้พูดในธรรมศาสตร์หรอก ที่ทุกคนได้พูด ได้วิพากษ์วิจารณ์ผม เพราะธรรมศาสตร์มีเสรีภาพ
ส่วนหลังรัฐประหาร 22 พฤษภา ก็มีคนวิพากษ์วิจารณ์ผมเยอะ แต่ผมอยากบอกว่า ความจริงแล้วไม่มีใครที่ชอบการรัฐประหารหรอก แล้วผมไม่ได้ไปร่วมการัฐประหาร แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มีคนกลุ่มหนึ่งที่เขาอยากพลิกฟื้นประเทศในจุดที่ควรจะเป็น ถามว่าเราในฐานะคนธรรมศาสตร์ควรไปร่วมมั๊ย ถ้าคนมองอย่างอคติ นี่คือเผด็จการทหารก็ไม่ไปร่วม
แต่เมื่อผมถูกแต่งตั้งเป็นสนช. ผมคิดว่า ผมจะทำอะไรได้บ้าง ผมก็มองว่า มีกฎหมายสำคัญๆ ของประเทศที่ควรจะออก ตั้งแต่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชั่น กฎหมายด้านการเมือง ไม่เว้นแม้แต่กฎหมายธรรมศาสตร์
ผมเห็นโอกาสเหล่านี้ที่จะทำเพื่อประเทศเป็นส่วนรวม และเห็นโอกาสที่จะทำเพื่อธรรมศาสตร์ ก็เลยคิดว่าเมื่อเขาตั้งเราเป็นสนช.แล้ว ย้ำอีกทีนะ เขาไม่ได้ตั้งผมคนเดียว เขาตั้งอธิการบดีทั้งหมด 9 คน แต่คนอื่นไม่โดนต่อว่าเลย ยกเว้นผมคนเดียว หนังสือพิมพ์ที่ต่อว่าผมก็มีไม่กี่ฉบับ ซึ่งสะท้อนอะไรบางอย่างพอสมควร แล้วคนที่โจมตีผมก็คนเดิมที่เคยโจมตีผมตอน 112 ผมก็เลยเห็นภาพว่าเกิดอะไรขึ้น
@ ถ้าจะบอกว่าหลายคนไม่พอใจอาจารย์ ที่ทำให้จุดยืนธรรมศาสตร์เคยต่อสู้กับเผด็จการทหาร เปลี่ยนไป
ก็ถูก ผมไม่เคยตำหนิคนวิพากษ์วิจารณ์ ผมไม่เคยบอกว่าคุณไม่มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ ผมก็รับฟัง แต่ผมก็มีเสรีภาพในการตัดสินใจว่าการที่ผมตัดสินใจเช่นนี้ ผมทำเพื่อใคร เพื่อประโยชน์อะไร
ผมย้ำไปแล้วว่า เป็นโอกาสอันดีที่จะออกกฎหมายสำคัญของประเทศ เช่น กฎหมายว่าด้วยการทวงหนี้ ในอดีตเวลาคุณเป็นเจ้าหนี้ ถึงเวลาทวงหนี้ก็ทวง แต่บางกรณีคุณโทรไปหาลูกหนี้ตอนเที่ยงคืน หรือไปทวงจากญาติลูกหนี้แทน ข่มขู่ คุกคาม ทั้งหลาย กฎหมายฉบับนี้ออกมาเพื่อขจัดปัญหาเรื่องพวกนี้ เป็นกฎหมายที่ดี เป็นประโยชน์ต่อประเทศ
ผมพยายามสะท้อนว่านี่เป็นโอกาสที่คนธรรมศาสตร์จะช่วยทำกฎหมายที่เราคิดว่าดีพอสมควร แล้วผลักดันกฎหมายให้ออกมา ฉะนั้นคนที่วิพากษ์วิจารณ์ผมอาจจะต้องศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนหลังด้วย บางคนเอาผมไปเทียบกับอาจารย์ปรีดี อาจารย์ป๋วย ผมเทียบไม่ได้หรอกครับ แล้วผมคิดว่าไม่ควรมีใครนำไปเทียบทั้ง2 ท่านซึ่งเป็นปูชนียบุคคลของธรรมศาสตร์
แต่ผมอยากให้คนไปศึกษาประวัติศาสตร์ครับว่า อาจารย์ป๋วยมารับตำแหน่งแบงก์ชาติสมัยจอมพลสฤษดิ์(ธนะรัชต์) จอมพลถนอม(กิตติขจร) ถามว่านี่คือการที่อาจารย์ป๋วยรับใช้เผด็จการหรือเปล่า คำตอบคือเปล่า อาจารย์ป๋วยคิดทำให้ระบบการเงินการคลังของประเทศ มีลักษณะมั่นคง ถาวร มีการพัฒนา มีวินัยทางการเงินการคลัง อาจารย์ป๋วยเห็นโอกาสนี้ หรือท่านนายกฯอานันท์ ปันยารชุน ถามว่าใครแต่งตั้งท่าน คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(รสช.)สมัยคุณสุจินดา คราประยูร แล้วยังไง คนก็ยอมรับว่าท่านนายกฯอานันท์เป็นคนใจซื่อ มือสะอาด โปร่งใส
คำถามใหญ่คือ เรามองคนที่จุดไหน ไม่ได้มองที่ผลงานเขาใช่มั๊ย มองที่มาที่ไปเขาใช่มั๊ย หรือคนบางคนก็มองออก แต่อาจจะอยากว่า อยากจะด่า ตำหนิติเตียนทั้งหลาย ผมย้ำอีกที ผมไม่ว่าอะไร เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละคน
@ อาจารย์น้อยใจ
ไม่เลย พูดตรงๆนะ คนให้กำลังใจผมเยอะมาก แล้วคนให้กำลังใจมากกว่าคนต่อว่าเสียอีก เพียงแต่คนให้กำลังใจเขาไม่ได้ไปขึ้นเฟสบุ๊คหรือออกโปสเตอร์เชียร์สมคิด แล้วผมก็ไม่เอาแบบนี้ คนให้กำลังใจเยอะครับ ทั้งครอบครัว เพื่อน และคนในประชาคมธรรมศาสตร์
พูดถึงประชาคมธรรมศาสตร์ ผมย้ำอีกทีนะ ผมเป็นอธิการบดีธรรมศาสตร์สมัยที่1 ผมแข่งกับแคนดิเดต 2 คน ตอนผมเป็นอธิการฯผมร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 แล้ว ผมเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ผมถูกแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารเมื่อปี 2549
ถึงกระนั้นคนธรรมศาสตร์ก็เลือกผม ผมชนะด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ หลังจากนั้นผมก็บริหารธรรมศาสตร์ และมาเป็นอธิการฯสมัยที่ 2 หมายความว่าที่มาของผมในฐานอธิการบดีเป็นประชาธิปไตยมาก ผมมาจากประชาคมทั้งอาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษา 3 สายนี้เอกฉันท์เลือกผมเป็นอธิการบดี ทั้งที่เขารู้ประวัติผมว่าไปทำงานร่างรัฐธรรมนูญมาก่อน แสดงว่าคนธรรมศาสตร์เขาก็รับ การที่ถูกคณะรัฐประหารแต่งตั้งไปร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็นข้อเสียหรอกว่าคุณไปร่วมกับเผด็จการทหาร แล้วผมก็พูดบ่อยๆว่าตอนผมไปร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ผมไปเขียนด้วยซ้ำไปว่า เมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที
@ ถามอีกครั้งว่า จุดยืนอาจารย์หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม เป็นอย่างไร
เหมือนเดิม ผมคิดว่าจุดยืนของผมก็คือจุดยืนของคนธรรมศาสตร์ คนธรรมศาสตร์ต้องทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ทำเพื่อประโยชน์ประเทศ ถามว่าวันนี้ประเทศมีปัญหา ประเทศต้องการปฎิรูป ประเทศต้องการเดินไปข้างหน้า คนธรรมศาสตร์จะถอยหนีจากเรื่องพวกนี้ใช่มั๊ย คนธรรมศาสตร์จะไม่เข้าร่วมใช่มั๊ย คนธรรมศาสตร์จะปล่อยให้ประเทศเดินไปตามยถากรรมใช่มั๊ย ไม่ร่วมอะไรเลยใช่มั๊ย ผมคิดว่าไม่ใช่ คนธรรมศาสตร์ก็อยากเห็นประเทศเดินหน้าไปในทางที่ดี คนธรรมศาสตร์อยากเห็นคนธรรมศาสตร์เข้าไปมีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศ ไปออกกฎหมายดีๆ ให้กับสังคมไทย
@ ในฐานะอธิการบดี อาจารย์พัฒนาธรรมศาสตร์ไปอย่างไรบ้าง
ผมมาดำรงตำแหน่งอธิการฯมาได้กว่า 3 ปี โดยพยายามเน้น 3 เรื่อง 1.คือความเป็นธรรมศาสตร์ 2.เรื่องงานวิจัย และ3.ความเป็นนานาชาติ สำหรับความเป็นธรรมศาสตร์ เราอยากให้คนธรรมศาสตร์โดยเฉพาะนักศึกษาธรรมศาสตร์มีจิตใจเสียสละเพื่อส่วนร่วม คิดถึงประชาชาชน ไม่เห็นแก่ตัว ไม่นำความรู้ไปแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ตระหนักรู้ว่าสังคมต้องการความช่วยเหลือ และอยากให้เขาทั้งหลายจบไปเป็นคนที่ช่วยพัฒนาสังคม ช่วยเหลือชุมชน ไม่ว่าเขาจะทำงานด้านไหนก็ตาม ขอให้เขามีจิตวิญญาณแบบนี้ติดตัวไปทุกคน
ถามว่าเราทำอะไรบ้าง เราทำตั้งแต่เข้ามาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ปลูกฝังวลีฉันรักธรรมศาสตร์เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน ในวันปฐมนิเทศเราฉายไลท์แอนด์ซาวน์ ความยาวเป็นชั่วโมงเกี่ยวกับประวัติธรรมศาสตร์ ตั้งแต่การก่อตั้งธรรมศาสตร์ เราสอนเขาตั้งแต่แรกว่า อาจารย์ปรีดี พูดอะไรกับธรรมศาสตร์
อาจารย์ปรีดีพูดว่าธรรมศาสตร์ตั้งขึ้นเพื่อเป็นบ่อน้ำบำบัดความกระหายของราษฎร หมายความว่าคนอยากเรียนรู้ อยากใฝ่หา ที่ไหนไม่ได้ แต่มาได้ที่ธรรมศาสตร์ เราสอนเรื่องเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 6 ตุลา 2519 เราสอนบทบาทคนธรรมศาสตร์ในการรต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ ได้มาซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย รับผิดชอบต่อสังคม สอนตั้งแต่วันปฐมนิเทศ
เมื่อเข้ามาแล้ว บางเรื่องที่ล้าสมัยเช่นระบบรับน้องโซตัส เราพยายามจัดการเรื่องพวกนี้ เราให้นักศึกษาไปทำนา ใครที่อยากรู้ชีวิตชาวบ้าน ชาวนา หรือชีวิตเกษตรกรเขามีสิทธิไป เราทำนาในธรรมศาสตร์ เรามีที่นาหลายสิบไร่ที่ให้คนธรรมศาสตร์ได้ทำนา
เรามีวิชา TU 100 พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม วิชานี้เราจะไม่สอน แต่อาจารย์จะเป็นฟาซิลิเตเตอร์ คอยไกด์นักศึกษา โยนปัญหาให้นักศึกษาแก้ไข เช่น โยนโจทย์ว่าขยะในธรรมศาสตร์เยอะมาก นักศึกษาจะแก้อย่างไร
วิธีการคือเราเริ่มต้นบอกว่า ถ้าคุณเป็นคนธรรมศาสตร์ เป็น Citizen ไม่ใช่ Peple เฉยๆ คุณจะทำอย่างไรให้ขยะหมดไปจากธรรมศาสตร์ คือสอนให้เขาเป็นคนรับผิดชอบ พาเขาไปดูโรงงานเก็บขยะ ให้เขาเห็นว่า คนที่เขาเก็บขยะ เขาลำบากยังไง ให้เขาไปสัมภาษณ์นักการ ให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง
หรือเด็กบางคนทำโครงการเรื่องโทรศัพท์ ให้เป็นสังคมก้มหน้าน้อยลง เด็กบางคนรณรงค์เรื่องการสูบบุหรี่ให้น้อยลง เด็กบางคนทำโปรเจคเรื่องการแยกขยะ เหล่านี้คือเรื่องแรกที่เราทำคือปลูกจิตวิญญาณ ทำอย่างไรให้เขารู้สึกว่าเขาต้องรับผิดชอบต่อสังคม
ในอดีตที่ผ่านมาเราก็เป็นอย่างนั้น เรามีชื่อเสียงเรื่องการเมืองการปกครอง เด็กธรรมศาสตร์สนใจการเมืองการปกครองมาก เราพยายามรื้อฟื้นสิ่งเหล่านี้ พยายามสอนให้เด็กออกจากห้องเรียนไปทำโปรเจคที่เกี่ยวข้องกับ service learning ที่สัมพันธ์กับสังคม เช่น เด็กวิศวะออกไปทำเรื่องชาวบ้านมีปัญหาเรื่องสะพานข้ามแม่น้ำจะทำอย่างไร
ชาวบ้านมีปัญหาเรื่องกฎหมาย นักศึกษานิติศาสตร์ไปดูสิจะช่วยชาวบ้านยังไง เราพยายามผลักดันเรื่องเหล่านี้ในวิชาปี 3 ปี 4 ของแต่ละคณะ ท้ายสุดเมื่อเด็กจบรับปริญญาผมก็จะพูดตลอดในวันที่เขาซ้อมรับปริญญาว่า คุณเป็นคนธรรมศาสตร์นะ สิ่งที่เราบอกคุณมาตลอด4 ปี คือ ความรู้คู่คุณธรรม ไม่ใช่ความรู้เฉยๆ
ผมพูดกับเด็กว่า ขอให้คุณเป็นเมล็ดพืชพันธุ์ใหม่ ตกที่ไหนก็เจริญงอกงามและสร้างที่นั่นให้ดีขึ้นกว่าเดิม เราก็ตั้งความหวังแบบนี้กับเขา แม้เราไม่มีเครื่องวัดว่าจิตวิญญาณธรรมศาสตร์อยู่ในตัวเขามากมายแค่ไหน แต่ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นได้ติดตัวนักศึกษาไปมากพอสมควร
ถัดมาคืองานวิจัย เป็นหัวใจของงานพัฒนา อาจารย์ในธรรมศาสตร์ต้องสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วยตัวคุณเองด้วย คือตั้งโจทย์ปัญหา และแก้อย่างไร นี่คือวิจัย มีโจทย์ตั้ง หาวิธีแก้
ที่ผ่านมางานวิจัยธรรมศาสตร์ไม่ค่อยรุดหน้ามากนัก เนื่องจากมหาวิทยาลัยเริ่มต้นจากการเป็นสังคมศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ ซึ่งการวิจัยวัดได้น้อยกว่าทางวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี แต่วันนี้เรามีครบ มีคณะ 25 คณะ และผมเตรียมตั้งคณะที่ 26 และ 27 คือคณะศึกษาศาสตร์และคณะดนตรี กำลังรอผ่านความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัย
ผมส่งเสริมเพิ่มงบประมาณให้คนธรรมศาสตร์ปีละ 100 กว่าล้านบาท ส่งเสริมให้อาจารย์ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ผมบังคับให้อาจารย์ทั้งหลายต้องส่งงานวิจัยให้มหาลัยอย่างน้อยปีละ 1 ชิ้น วันนี้ธรรมศาสตร์มีอาจารย์ 2,000 คน ทำมา 2 ปีแล้ว มีงานวิจัยประมาณ 2,000 ชิ้น
แล้วผมก็ส่งงานวิจัยไปแข่งขันต่างประเทศก็ได้รับรางวัล เช่น อาจารย์คณะวิศวะคิดค้นเรื่องที่นั่งคนพิการที่สามารถยืนและเดินต่อไปได้ อาจารย์บางคนคิดเรื่องภาชนะห่อทุเรียนที่ซึมซับกลิ่นทุเรียนไม่ให้ส่งกลิ่นกระจายก็ได้รับรางวัล คิดเรื่องเครื่องปอกมะพร้าว 1 นาทีปลอกได้ 5-6 ลูก และยังมีงานวิจัยใหม่ๆ เข้ามาจำนวนมากที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาของมหาวิทยาลัย
ยกตัวอย่าง ที่ผ่านมาไม่ค่อยมีคนธรรมศาสตร์ได้รางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ แต่3- 4 ปีหลังมานี้ได้ทุกปี ปีละ 10 กว่าคน และได้รางวัลระดับนานาชาติ ซึ่งเริ่มเป็นตัวชี้วัดที่เห็นว่าธรรมศาสตร์เริ่มเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยอย่างแท้จริง อาจารย์ทั้งหลายก็ทุ่มเทการทำวิจัยให้กับมหาวิทยาลัย
ส่วนความเป็นนานาชาติ วันนี้เราเห็นภาพชัดว่าโลกเป็นหนึ่งเดียว อินเตอร์มาก รวมทั้งเรื่องอาเซียนเป็นเรื่องใหญ่ ถามว่าธรรมศาสตร์ทำอะไรบ้าง เราพยายามทำให้สังคมธรรมศาสตร์เป็นสังคมอินเตอร์มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อให้ธรรมศาสตร์เป็นผู้นำประเทศชาติไปสู่เวทีโลก
ผมตั้งศูนย์อาเซียนศึกษา วันนี้ธรรมศาสตร์มีศูนย์ด้านระหว่างประเทศมากที่สุดในประเทศไทย 7-8ศูนย์ ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อเป็นข้อมูล เป็นThink Tank ของประเทศ ผมขอให้คณะศิลปศาสตร์เปิดภาษาอาเซียนทุกภาษา หมายความว่า หากเด็กธรรมศาสตร์อยากเรียนภาษที่2 ที่3 เขาจะได้เรียน เดิมทีเราเปิดให้เรียนอยู่แล้วแต่มีโควตาจำกัด แต่วันนี้ครบถ้วน หากมีนักศึกษาลงเรียน 100-200คน ก็สามารถทำได้
ผมขอให้คณะทั้งหลายเปิดวิชาเกี่ยวกับอาเซียน เช่น คณะนิติศาสตร์ ก็เปิดกฎหมายอาเซียน เศรษฐศาสตร์ก็เปิดเศรษฐศาสตร์อาเซียน ซึ่งวันนี้เปิดเกือบหมดแล้ว ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์ฝึกอบรมให้คนรู้จักเรื่องอาเซียนมากขึ้น เป็นศูนย์วิจัย เป็นฐานข้อมูล
เดิมทีธรรมศาสตร์ ถ้าใครอยากเรียนภาษาอังกฤษต้องขอโควตา เนื่องจากจำนวนห้องจำนวนอาจารย์จำกัด คนที่เรียนภาษอังกฤษซึ่งมีมากจะต้องแย่งกันเรียน วันนี้ผมแก้ปัญหาแล้ว เพิ่มห้อง เพิ่มอาจารย์ ผมไปตกลงกับอาจารย์ศิลปศาสตร์ สถาบันภาษาว่า นักศึกษาที่สนใจภาษอังกฤษเขาสามารถเรียนได้ เพราะภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาของอาเซียน เป็นภาษาสำคัญของโลก ฉะนั้นผมคิดว่าคนธรรมศาสตร์ในอนาคต ผมเชื่อว่าเราจะดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
สำหรับนักศึกษาที่จะเข้าปีการศึกษาหน้า ผมบังคับว่านักศึกษาทุกคนต้องผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษ ว่ามาตรฐานของนักศึกษาอยู่ตรงไหน วันนี้ผมยังไม่บังคับว่า หากสอบไม่ผ่าน ถือว่าไม่จบธรรมศาสตร์ ผมยังไม่บังคับขนาดนั้น แต่ในอนาคตผมจะปรับใหม่ แต่วันนี้บังคับว่า นักศึกษาทุกคนต้องสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ ถ้าไม่สอบถือว่าไม่ผ่าน แต่สอบแล้วคะแนนเท่าไหร่ไม่เป็นไร
ส่วนวิชาที่สอนเป็นภาษาไทยต้องสอนภาษาอังกฤษผสมด้วย 2วิชาต่อคณะ ไม่พูดถึงหลักสูตรภาษาอังกฤษ แต่หลักสูตรภาษาไทยต้องเปิดเป็นภาษาอังกฤษให้นักศึกษาภาษาไทยได้เรียนภาษาอังกฤษด้วย

@ ขอบคุณภาพจาก ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์
@ นอกจาก3เรื่องนี้ มีอะไรที่อยากทำต่อจากนี้อีกหรือไม่
ผมสารภาพเลยว่า มีอีกหลายเรื่องที่ผมทำไม่สำเร็จ เช่น ผมแถลงว่า อยากจะให้นักศึกษาจากรังสิตกลับมาท่าพระจันทร์ อันนี้ผมล้มเหลว เพราะตอนที่ผมจะเป็นอธิการบดีผมสำรวจว่าคนธรรมศาสตร์อยากได้อะไร เพราะนโยบายของอธิการฯคือทำให้คนธรรมศาสตร์เห็นด้วย
คนธรรมศาสตร์อยากให้ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์กลับมาคึกคักเหมือนเดิม คนธรรมศาสตร์เรียกร้องให้นำนักศึกษา อาจารย์ เจ้าหน้าที่ จากรังสิตกลับมาท่าพระจันทร์ ผมใช้เวลาเพียงปีแรกก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะหลังจากถามคณบดีหลายคณะ ถามเขาว่าจะกลับมามั๊ย ทุกคนตอบเหมือนกันหมดว่าไม่กลับ ทั้งที่ตอนไปรังสิตไม่อยากไป แต่พอตอนกลับก็ไม่อยากกลับแล้ว
@เกิดอะไรขึ้น
เขาก็สบายไง เขามีชีวิตที่สุขสบาย วันนี้คนธรรมศาสตร์ คนที่เป็นนักศึกษาก็กินนอนที่รังสิตเลย เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีห้องนอนมากที่สุดในประเทศไทย เด็กในธรรมศาสตร์นอนในหอธรรมศาสตร์รังสิต 1 หมื่นคน เจ้าหน้าที่ อาจารย์ นอนในธรรมศาสตร์ 4,000 คน ทั้งวันมีคนในมหาวิทยาลัย 25,000 คน แต่นอนในมหาวิทยาลัย 14,000 คน เป็นแคมปัสที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ฉะนั้นเขาพบว่าตัวเขาเองโอเคแล้ว ให้ย้ายกลับมาก็ไม่เอา ซึ่งนโยบายนี้ผมล้มเหลว
แต่เมื่อผมไม่สามรรถย้ายคนจากรังสิตมาท่าพระจันทร์ได้ ผมก็ใช้วิธีเพิ่มคนที่ท่าพระจันทร์ ผมก็เปิดหลักสูตรใหม่ๆที่ท่าพระจันทร์ เช่น หลักสูตรนิติศาสตร์ภาษาอังกฤษ เป็นครั้งแรกในประเทศไทย หรือเปิดวิชา PPE เรียนรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และปรัชญา นำมาจากมหาวิทยาลัยในอังกฤษ และพยายามเปิดอีกหลายหลักสูตร วันนี้ที่ท่าพระจันทร์คนเยอะขึ้นและมีความสุขมากขึ้น
@ ผ่านมา 3 ปี พอใจกับการบริหารธรรมศาสตร์หรือเปล่า
สมัยแรกผมทำเรื่องความเป็นธรรมศาสตร์ งานวิจัย และความเป็นอินเตอร์ เป็น 3 เรื่องหลักที่ผมคิดว่าผมประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ทั้ง3 เรื่องยังต้องทำต่อ ส่วนการมารับตำแหน่งอธิการบดีสมัยที่2 ผมประกาศเลยว่า คือปรับปรุงวิธีการเรียนการสอนธรรมศาสตร์ใหม่ จากที่อาจารย์พูดหน้าชั้นเรียนเปลี่ยนมาเป็น active learning คือการเรียนการสอนอย่างมีชีวิตชีวา
หลักการเรียนแบบนี้อาจารย์ต้องสอนน้อยลง นักศึกษาต้องเรียนมากขึ้น ต้องค้นคว้า เข้าห้องสมุด พรีเซ้นต์งานมากขึ้น ซึ่งไม่ง่าย เพราะอาจารย์เคยชินกับการสอนหน้าชั้น แต่วิธีแบบนี้จะทำให้การศึกษาไทยพัฒนา ซึ่งจะทำแบบนี้ได้ผมก็ต้องทำหลายเรื่อง อบรม เปลี่ยนทัศนคติ รวมถึงห้องเรียนที่เพียงพอ ซึ่งผมดำเนินการแล้ว คือของบประมาณเพื่อสร้างตึกใหม่ เพื่อการเรียนการสอนด้านภาษ และสร้างห้องเรียนให้เล็กลง เพื่อทำให้ active learning ประสบความสำเร็จ
วันนี้นักเรียนธรรมศาสตร์มี 35,000 คน เจ้าหน้าที่ 5,000 คน อาจารย์อีก 2,000 คน รวมกว่า 45,000 คน ซึ่งวันนี้ธรรมศาสตร์มีงบประมาณที่หามาเอง รวมทั้งรัฐบาลให้รวมกันประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี โรงพยาบาลธรรมศาสตร์หาได้ปีละพันล้านบาท งานวิจัยจากภายนอกประมาณพันล้านบาท และอื่นๆ รวมเงินจากรัฐบาลให้ประมาณ 3 พันล้านบาท
เราเป็นมหาวิทยาลัยขนาดกลาง ไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ผมก็พูดบ่อยๆว่าธรรมศาสตร์เงินน้อย(ยิ้ม) อย่างปีนี้รัฐบาลให้มหิดลประมาณ 13,000 ล้าน จุฬาฯ 5-6 พันล้าน ให้ธรรมศาสตร์ 3 พันล้าน ก็ไม่ผิดปกติอะไรนะ แต่ผมไปสำนักงบประมาณก็พูดกับสำนักงบประมาณทุกทีว่า Ranking ธรรมศาสตร์อยู่อันดับ4 ของประเทศไทย 3พันล้าน อย่าตัดงบฯธรรมศาสตร์เลย
ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์มาบอกผมว่า ทำไมธรรมศาสตร์ตกต่ำไปอันดับ4 ผมบอกว่าไม่ตกต่ำหรอก ก็อยู่ประมาณนี้มาตลอด แต่ผมเรียนว่า ธรรมศาสตร์ชื่อเสียงดี แต่เวลาเขาวัดไม่ได้วัดที่ชื่อเสียง แต่เป็นงานวิจัย จำนวนอาจารย์และอื่นๆ ไม่ใช่แค่ชื่อเสียงเท่านั้น
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมถือเป็นเรื่องใหญ่นอกจากการผลักดันเรื่องการเรียนการสอนคือ ปี 2559 จะครบ 100 ปีอาจารย์ป๋วย ผมจะพยายามรณรงค์สร้างอนุสรณ์สถานให้ท่าน ทำงานให้อาจารย์ป๋วย และเสนอชื่อท่านไปทางยูเนสโก ให้ท่านเป็นบุคคลที่สำคัญของโลก เพื่อให้จิตวิญญาณและความคิดของอาจารย์ป๋วยได้รับการสืบทอดต่อไป โดยเฉพาะเรื่องการต่อต้านการคอร์รัปชั่น
@ มีความสุขกับการทำงานไหม
3 ปีแรกผมสนุกและมีพลังมาก เพราะทำงานไปเยอะ รอบที่2 มีคนถามว่าอยากทำมั๊ยผมก็รู้สึกอยากทำ แต่ผมก็เฉื่อยๆลงไปหน่อย เพราะรู้สึกว่างานที่ทำไปแล้วออกดอกมรรคผลพอสมควร ความท้าทายต่างๆน้อยลง แต่ผมก็รู้ดีครับ เมื่อเราเสนอตัวเป็นอธิการบดี เราก็จะต้องผลักดันธรรมศาสตร์ให้เจริญก้าวหน้าอย่างดีที่สุด
@ อาจารย์มองธรรมศาสตร์ในอีก5-10ปี ข้างหน้าอย่างไรบ้าง
ผมไม่ได้มองแค่ 5 หรือ 10 ปี ผมมองธรรมศาสตร์ไปอีก 20 ปี อีก 20 ปีธรรมศาสตร์จะครบรอบ 100 ปี ผมมองว่าธรรมศาสตร์ต้องก้าวไปข้างหน้า ต้องเป็นผู้นำ เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศที่เป็นหัวรถจักรนำพาประเทศไทย ไปแข่งขันในต่างประเทศได้ มีงานวิจัยที่ดีๆ คนที่จบธรรมศาสตร์ไปต้องคิดถึงการรับใช้สังคมให้มากขึ้น
ที่สำคัญเราจะไม่ทิ้งรากเหง้าเดิมที่อาจารย์ปรีดีสร้างขึ้น อาจารย์ป๋วยสร้างขึ้น อาจารย์สัญญา(ธรรมศักดิ์)สร้างขึ้น ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ใช่มหาวิทยาลัยทางมนุษย์ศาสตร์ สังคมศาสตร์อีกต่อไป แต่เป็นมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์แบบ พัฒนาก้าวหน้าทั้งด้านงานวิจัย มีความเป็นอินเตอร์ แต่ก็ไม่ทอดทิ้งประชาชน นี่คือปรัชญาที่ผมคิดว่าไม่ว่าจะอีก 100 ปี 150 ปี 200ปี ธรรมศาสตร์ก็จะมุ่งไปในทิศทางนี้
@ ทุกวันนี้กับอาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ หรืออาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ ยังพูดคุยกันดีหรือ
คุยครับ เพิ่งเจอเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี้เอง อาทิตย์ที่แล้วมีการประชุมของภาควิชากฎหมายมหาชน มีการประชุมกันหลายเรื่อง เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งคืออาจารย์จันทจิรา (เอี่ยมมยุรา) ซึ่งเป็นสมาชิกคนสำคัญคนหนึ่งของนิติราษฎร์ ขอลาไปเขียนตำรา 1 ปี ผมก็เข้าไปประชุมด้วย และสนับสนุนอาจารย์จันทจิราอาจารย์วรเจตน์ อาจารย์ธีระ (สุธีวรางกูร) ก็เข้าประชุม ก็คุยกันด้วยดี คุยกันฉันท์มิตร ซึ่งเราเป็นมิตรกันตลอดในทางวิชาการ ผมคิดว่าไม่มีปัญหา เป็นพี่เป็นน้องกันอยู่แล้ว
กับอาจารย์วรเจตน์เจอกันก็พูดคุยทักทายกัน แม้แต่ตอนอาจารย์วรเจตน์ไปต่างประเทศ หลังวันที่ 22 พฤษภา ผมเองก็ส่งคนหลายคนไปพูดคุย แล้วก็หาทางช่วยเหลือว่าจะทำอย่างไรให้กลับมา แม้แต่วันที่อาจารย์วรเจตน์ลาไปต่างประเทศ ผมก็ไม่ได้อะไรทั้งสิ้น เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องฉุกละหุก ฉุกเฉิน เป็นเรื่องที่จำเป็น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ไม่ได้มีปัญหากันแต่ประการใดทั้งสิ้น
แล้วก็ยังเป็นห่วงอาจารย์วรเจตน์และคนอื่นๆด้วยซ้ำไปว่า คดีทั้งหลายที่ดำเนินการอยู่ หากมีทางใดที่เราช่วยได้ เรายินดีจะช่วยอย่างเต็มที่
