รายงานสตง.ชำแหละแท็บเล็ตยุค"ปู"ฉบับเต็ม! เตือนภัยอันตรายถึงชีวิตเด็ก!
"...โรงเรียนใช้ปลั๊กต่อพ่วงขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะเรียนเพื่อให้เด็กชาร์ตไฟไปด้วยในขณะที่กำลังใช้งาน ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก เนื่องจากในคู่มือฯ การใช้งานได้มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า ห้ามมีการใช้งานแท็บเล็ตในขณะที่กำลังทำการชาร์ตไฟ เพราะเครื่องจะเกิดความร้อนมาก จนอาจเกิดการระเบิด และเป็นอันตรายต่อเด็กนักเรียน.."

หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org : เป็นรายงานการตรวจสอบการดำเนินงานโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ในยุครัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฉบับเต็ม ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพิ่งสรุปผลการตรวจสอบเสร็จ และแจ้งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะไปแก้ไขปรับปรุงโดยด่วน
-----------------------
ความเป็นมาและวัตถุประสงค์โดยย่อ
โครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) จัดทำขึ้นตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เริ่มดำเนินการในปีการศึกษา 2555 เป็นปีแรก โดยเริ่มทดลองนำร่องแจกคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ทั่วประเทศซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายจำนวนทั้งสิ้น 847,548 คน ให้ทันภายในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 และมีหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการ 2 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีหน้าที่ในการจัดซื้อแท็บเล็ตและดูแลเรื่องการรับประกันแท็บเล็ต และกระทรวงศึกษาธิการโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รับผิดชอบในการจัดสรรแท็บเล็ตให้กับ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียนในสังกัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ และรับผิดชอบดูแลการบริหารจัดการการใช้แท็บเล็ตของโรงเรียนในสังกัด สพฐ. โดยโครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนได้มีแท็บเล็ตใช้เป็นเครื่องมือเสริมการเรียนรู้ พัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของนักเรียนให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน พร้อมเข้าสู่ความเป็นสากล และเพื่อพัฒนาเนื้อหาในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เหมาะสมตาม
หลักสูตรลงในแท็บเล็ต รวมทั้งจัดทำระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สาย และเพื่อการจัดระบบการบริหารจัดการการใช้แท็บเล็ตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ในปีงบประมาณ.2555 โครงการใช้งบประมาณในการจัดซื้อแท็บเล็ตไม่ต่ำกว่า 2,000.00 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2556 มีข้อเท็จจริงว่ามีการจัดซื้อแท็บเล็ตให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อีกทั้งยังต้องดำเนินโครงการนี้ต่อไปอีก
ในอนาคต หากการดำเนินโครงการไม่ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการจะทำให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณเป็นไปอย่างไม่คุ้มค่า
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้เลือกตรวจสอบการดำเนินงานโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ของโรงเรียนในสังกัด สพฐ. เพื่อทราบผลการดำเนินงานตลอดจนปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นและให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจากการตรวจสอบมีประเด็นข้อตรวจพบและข้อสังเกตที่สำคัญดังนี้
ข้อตรวจพบที่ 1 การจัดสรรแท็บเล็ตให้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ล่าช้า และยังไม่ครบถ้วน
จากการตรวจสอบมีข้อมูลสนับสนุน 2 ประเด็น ดังนี้
1.1 การจัดสรรแท็บเล็ตให้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ล่าช้ากว่ากำหนดเปิดภาคเรียนทำให้การดำเนินโครงการไม่บรรลุผลสำเร็จตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งหวังให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่1 ทุกคน มีแท็บเล็ตใช้ตั้งแต่เริ่มเปิดภาคเรียนที่ 1 ในปีการศึกษา 2555 และเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เสียโอกาสในการใช้แท็บเล็ตเพื่อเป็นสื่อเสริมสำหรับการเรียนรู้ได้ไม่เต็มที่ อีกทั้งทำให้กระทบต่อระยะเวลาการรับประกันต่อความบกพร่องของแท็บเล็ตที่กำหนดไว้ 2 ปี นับจากวันตรวจรับสินค้าในแต่ละครั้งที่จัดซื้อ ที่ต้องล่วงเลยไปโดยไม่มีการใช้งานแท็บเล็ต โดยผลการตรวจสอบพบว่าไม่มีโรงเรียนใดได้รับแจกแท็บเล็ตทันกำหนดเปิดภาคเรียนที่ 1/2555 ในเดือนพฤษภาคม 2555 ตามนโยบายรัฐบาลที่ประกาศไว้ โดยโรงเรียนส่วนใหญ่ได้รับการจัดสรรแท็บเล็ตสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม 2555 ซึ่งล่าช้ากว่าวันเปิดภาคเรียนที่1/2555 ประมาณ 2 – 5 เดือน ทั้งนี้ เมื่อโรงเรียนได้รับแท็บเล็ตแล้วจะต้องใช้ระยะเวลาในการเตรียมการต่าง ๆ เช่น การลงทะเบียนครุภัณฑ์ การประชุมผู้ปกครองเพื่อรับทราบการแจกแท็บเล็ต เป็นต้น ก่อนที่จะเริ่มใช้แท็บเล็ตสำหรับการเรียนการสอนให้แก่นักเรียนได้จริง ปรากฏว่า โรงเรียนส่วนใหญ่เริ่มใช้แท็บเล็ตสำหรับการเรียนการสอนตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2555 ล่าช้ากว่ากำหนดเปิดภาคเรียนที่ 1/2555 ประมาณ 3 – 6 เดือน
1.2 การกระจายแท็บเล็ตไปสู่โรงเรียนเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ พบว่าจำนวนแท็บเล็ตที่จัดซื้อโดยภาพรวมเป็นไปตามเป้าหมายแต่ปัญหาการกระจายแท็บเล็ตที่ สพป. ได้รับจัดสรรมีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับการแจกจ่ายไปยังโรงเรียน และ สพป. บางแห่งมีแท็บเล็ตเหลือหลังจากแจกจ่ายให้โรงเรียนแล้ว อาจทำให้การจัดซื้อเกินความต้องการส่งผลต่อการใช้จ่ายเงินงบประมาณโดยไม่ประหยัดหรืออาจทำให้นักเรียนไม่ได้รับการจัดสรรอย่างครบถ้วนทุกคนซึ่งไม่สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาลหากซื้อไม่เพียงพอตามจำนวนนักเรียนที่มีอยู่ หรือหากไม่ได้ปรับเกลี่ยส่วนที่ขาด/เกิน แบ่งออกได้เป็น 3 กรณีดังนี้
1) สพป. บางเขตมีแท็บเล็ตไม่เพียงพอสำหรับแจกจ่ายตามจำนวนนักเรียนของโรงเรียนในความรับผิดชอบ พบว่า สพป. จำนวน 5 แห่ง จากทั้งหมด 12 แห่ง ที่สุ่มตรวจสอบมีแท็บเล็ตไม่เพียงพอสำหรับจัดสรรให้กับโรงเรียน รวมทั้งสิ้น 412 เครื่อง
2) สพป. บางเขตมีแท็บเล็ตเหลือหลังจากแจกจ่ายให้แก่โรงเรียนครบถ้วนแล้ว พบว่า สพป.จำนวน 6 แห่ง จากที่สุ่มตรวจสอบทั้งหมด 12 แห่ง มีแท็บเล็ตเหลือหลังจากการจัดสรร รวมทั้งสิ้น470 เครื่อง
3) โรงเรียนบางแห่งยังมีแท็บเล็ตเหลืออยู่ที่โรงเรียน พบว่า โรงเรียน จำนวน 21 แห่ง จากที่สุ่มตรวจสอบทั้งหมด 80 แห่ง ได้รับแจกแท็บเล็ตเกินกว่าจำนวนนักเรียนรวมทั้งสิ้น 79 เครื่องนอกจากนี้ กรณีที่นักเรียนมีการโยกย้ายโรงเรียนทำให้นักเรียนไม่มีแท็บเล็ตใช้สำหรับการเรียนในภาคเรียนที่ 1/2555 รวมทั้งสิ้น 43 เครื่อง
ข้อเสนอแนะ ให้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พิจารณาดำเนินการดังนี้
1. เสนอคณะกรรมการบริหารนโยบาย 1 คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ 1 นักเรียนเพื่อกำกับ ดูแล และติดตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการจัดซื้อแท็บเล็ต รวมทั้งดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย ให้เกิดความรวดเร็ว เหมาะสมกับระยะเวลาในการใช้งานของโรงเรียนเพื่อให้การจัดซื้อแท็บเล็ตในครั้งต่อไป สามารถจัดสรรให้แก่นักเรียนได้ครบถ้วน และทันเปิดภาคเรียนส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษาของชาติอย่างแท้จริง และไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย
2. ปรับปรุงระบบการจัดเก็บและจัดทำฐานข้อมูลนักเรียนในสังกัด สพฐ. ให้มีข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการสำรวจ บันทึก และจัดเก็บข้อมูลให้ สพป. ทุกเขตถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในรูปแบบและกรอบเวลาในการจัดเก็บให้เหมาะสม โดยเฉพาะข้อมูลการโยกย้ายทั้งภายในสังกัดเดียวกันและต่างสังกัด ต้องบันทึกจัดเก็บข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวต้องมีความสอดคล้องเชื่อมโยงกันทุกระดับตั้งแต่โรงเรียน สพป. และ สพฐ. ที่จะต้องตรงกัน
3. ปรับปรุงวิธีการจัดสรรแท็บเล็ตให้แก่นักเรียนให้มีประสิทธิภาพ ตลอดจนให้มีการสำรวจข้อมูลการจัดสรรแท็บเล็ตของปีงบประมาณ 2555 ทั้งของ สพป. และข้อมูลของโรงเรียนในความรับผิดชอบ รวมทั้งกำหนดแนวปฏิบัติในการดำเนินการโอนย้ายแท็บเล็ตในกรณีที่ได้รับมาขาดหรือเกินให้กับ สพป. เพื่อถือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด รวมถึงกรณีที่มีการโยกย้ายระหว่างโรงเรียนในสังกัดต่าง ๆ ด้วย
ข้อตรวจพบที่ 2 โรงเรียนยังไม่สามารถนำแท็บเล็ตมาใช้เป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างครบถ้วนตามที่กำหนดในคู่มือฯ
จากการตรวจสอบมีข้อมูลสนับสนุน 3 ประเด็น ดังนี้
2.1 ครูประจำชั้นส่วนใหญ่ใช้สื่อ/Application : App ประเภท Learning Systemในการเรียนการสอนไม่ครบทุกกลุ่มเนื้อหาที่กำหนดไว้ พบว่า กลุ่มเนื้อหาที่ครูประจำชั้นเกินร้อยละ50.00 เลือกใช้มีเพียงกลุ่มเดียว ได้แก่ ประเภทบทเรียน คือคิดเป็นร้อยละ 73.95 สำหรับกลุ่มเนื้อหาอีก 3 กลุ่ม เลือกใช้ประโยชน์ อยู่ในช่วงระหว่างร้อยละ 32.56 – 42.79 โดยเรียงตามลำดับ ได้แก่กลุ่มเนื้อหาประเภทหนังสือ คิดเป็นร้อยละ 42.79 กลุ่มเนื้อหาประเภทมัลติมีเดีย คิดเป็นร้อยละ33.02 และกลุ่มเนื้อหาประเภทแอพพลิเคชั่น คิดเป็นร้อยละ 32.56
อนึ่ง จากการสังเกตการณ์และสัมภาษณ์ผู้บริหารโรงเรียนและครูประจำชั้นถึงความเห็นในการนำกลุ่มเนื้อหาจาก App ประเภท Learning System มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนสามารถสรุปความเห็นในภาพรวมได้ดังนี้
1) กลุ่มเนื้อหาประเภทบทเรียนประกอบด้วย 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ถือว่าเป็นสื่อที่ดีและมีประโยชน์ ใช้เป็นสื่อกระตุ้นและเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได้เป็นอย่างดี เพราะทำ ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจมากกว่าการอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียวเนื่องจากมี
ภาพเคลื่อนไหว และเสียงพูดประกอบ เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ให้ความสนใจกลุ่มเนื้อหาประเภทนี้มาก โดยเฉพาะเด็กพิเศษที่เรียนร่วมกับนักเรียนปกติทั่วไป
2) กลุ่มเนื้อหาประเภทหนังสือ มีความเหมือนกับหนังสือเรียนที่มีอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีการนำไปใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนน้อย เพราะใช้หนังสือเรียนที่มีอยู่เดิมจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ประกอบกับยังไม่มั่นใจว่าการให้นักเรียนใช้แท็บเล็ตในการอ่านหนังสือซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานจะมีผลกระทบต่อสายตาของนักเรียนหรือไม่ อย่างไร อีกทั้งพบปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ของแท็บเล็ตหมดเร็วหากใช้อ่านหนังสือเรียน ทำให้ไม่สามารถใช้แท็บเล็ตเรียนรู้สื่อ/App อื่น ๆ ได้อีกในแต่ละวัน นอกจากนี้เห็นว่าควรนำแบบฝึกหัดหรือข้อสอบมาใส่เพิ่มเติมแทนกลุ่มเนื้อหาประเภทหนังสือ
3) กลุ่มเนื้อหาประเภทมัลติมีเดีย เป็นกลุ่มประเภทความบันเทิงซึ่งมีเพลงที่มีเนื้อหาเสริมสร้างแรงจูงใจ สร้างจิตวิทยาเกี่ยวกับการแสดงออกถึงความรักชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์โดยจะให้นักเรียนใช้เรียนรู้นอกเวลาเรียนตามความสนใจของแต่ละคน ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ให้ความสนใจสื่อประเภทนี้จำนวนมาก แต่เห็นว่าสื่อประเภทนี้มีจำนวนน้อยเกินไป โดยมีเพียง 2 ประเภทได้แก่ ในหลวงของเราและเพลงทั่วไป
4) กลุ่มเนื้อหาประเภทแอพพลิเคชั่น เป็นกลุ่มเนื้อหาประเภทแบบฝึกหัดและข้อสอบซึ่งพบว่ามีการนำไปใช้ประโยชน์น้อยมาก แบบทดสอบบางแบบมีการเฉลยคำตอบผิดพลาด ซึ่งหากครูประจำชั้นไม่เปิดพบก่อนและให้นักเรียนลองฝึกทำแบบทดสอบและเฉลยด้วยตนเองอาจส่งผลเสียหายต่อการเรียนรู้ของนักเรียน เนื่องจากเด็กจะจดจำคำตอบที่ผิดไว้
2.2 ครูประจำชั้นส่วนใหญ่นำสื่อ/App อื่น ๆ ที่ถูกกำหนดมาในเครื่อง (นอกเหนือจากLearning System) ไปใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนน้อยมาก พบว่า App ยอดนิยมที่ครูประจำชั้นมากกว่าร้อยละ 50.00 เลือกใช้ มีจำนวน 4 App ได้แก่ คัดลายมือ คิดเป็นร้อยละ 59.64
รองลงมาคือ How to Draw คิดเป็นร้อยละ 57.02 Kids Numbers คิดเป็นร้อยละ 56.14 และKids Math Lite คิดเป็นร้อยละ 52.63 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่า มีกลุ่มครูประจำชั้นใช้ Appในการสอนนักเรียน เพียง 1 App จากที่บรรจุในแท็บเล็ตทั้งหมด 41 App ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดคิดเป็นร้อยละ 18.00 นอกจากนี้มีครูประจำชั้นร้อยละ 4.13 ที่ไม่เคยใช้สื่อ/App อื่น ๆ ในการสอนนักเรียน
2.3 โรงเรียนใช้แท็บเล็ตในการเรียนการสอนแบบ Offline โดยยังไม่ได้เชื่อมโยงการใช้ร่วมกับระบบอินเทอร์เน็ต พบว่า ระบบอินเทอร์เน็ตที่โรงเรียนในสังกัด สพฐ. ใช้มีทั้งหมด 3 ระบบได้แก่ ระบบ Lease Line (IPVPN) ระบบ ADSL และระบบ IP Star ทั้งนี้หากเปรียบเทียบใน 3 ระบบดังกล่าว ระบบ IP Star เป็นระบบที่มีความเร็วต่ำสุด มีปัญหาในการเข้าถึงระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมากที่สุด ทั้งนี้ในปี พ.ศ. 2555 สพฐ. มีโรงเรียนในสังกัดจำนวน 32,044 แห่ง โดยมีการติดตั้งระบบอินเทอร์เน็ตแล้ว จำนวน 31,582 แห่ง ในจำนวนนี้รูปแบบการติดตั้งอินเทอร์เน็ต เป็นการเชื่อมต่อแบบ Lease Line แบบ ADSL และแบบ IP Star คิดเป็นร้อยละ 4.66, 31.57 และ 62.33 ตามลำดับ
โดยมีโรงเรียนที่ยังไม่มีการติดตั้งระบบอินเทอร์เน็ต คิดเป็นร้อยละ 1.44จากการตรวจสอบโรงเรียน จำนวน 80 แห่ง พบว่า โรงเรียนมีรูปแบบการเชื่อมต่อแบบLease Line จำนวน 33 แห่ง เชื่อมต่อแบบ ADSL จำนวน 37 แห่ง และเชื่อมต่อแบบ IP Star จำนวน10 แห่ง ซึ่งโรงเรียนทั้ง 80 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 100.00 ใช้แท็บเล็ตในการเรียนการสอนนักเรียนเป็นแบบ Offline โดยยังไม่ได้เชื่อมโยงการใช้ร่วมกับระบบอินเทอร์เน็ตซึ่งเกิดจากระบบอินเทอร์เน็ตที่มีไม่สามารถเข้าใช้งานได้พร้อมกันหลายเครื่อง ความเร็วของระบบอินเทอร์เน็ตไม่เพียงพอทำให้การเข้าเว็บไซด์หรือดาวน์โหลดข้อมูลทำได้ช้า และสัญญาณระบบอินเทอร์เน็ตไม่มีความเสถียรทำให้สัญญาณหลุดบ่อยครั้งขณะใช้งาน ทั้งนี้ มีโรงเรียน จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนอนุบาลคลองท่อม และโรงเรียนอนุบาลกระบี่ จังหวัดกระบี่ มีการเปิดโอกาสให้นักเรียนเข้าใช้อินเทอร์เน็ตได้แต่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอน โดยจะให้นักเรียนใช้แท็บเล็ตเรียนรู้ตามความสนใจของแต่ละบุคคลในช่วงที่ว่างจากการเรียน
ผลกระทบจากการที่โรงเรียนยังไม่สามารถนำแท็บเล็ตมาใช้เป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างครบถ้วนตามที่กำหนดในคู่มือฯ อาทิ การเรียนการสอนยังใช้ประโยชน์จาก App ไม่ครบถ้วนตามที่บรรจุในแท็บเล็ตทำให้การยกระดับมาตรฐานการศึกษาอาจไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์โครงการที่ต้องการพัฒนาการเรียนการสอนของนักเรียนให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน และพร้อมเข้าสู่ความเป็นสากล
ข้อเสนอแนะ ให้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สั่งการให้ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการนำแท็บเล็ตมาใช้เป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียน พิจารณาดำเนินการดังนี้
1. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำเนินการดังนี้
1) ทบทวนการจัดตั้งศูนย์บริการแท็บเล็ตเพื่อการเรียนการสอนตามคู่มืออบรมปฏิบัติการบูรณาการใช้คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) เพื่อยกระดับการเรียนการสอนกำหนดไว้ ว่ามีความสำคัญต่อผลสำเร็จของโครงการ หรือมีผลต่อประสิทธิภาพของครูประจำชั้นและนักเรียนในการใช้เครื่องแท็บเล็ตเป็นสื่อในการเรียนการสอนหรือไม่ หากเห็นว่ามีความสำคัญต้องกำหนดแนวทางการจัดตั้งหรือมีคำสั่งในการจัดตั้งที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งกำหนดผู้รับผิดชอบในการจัดตั้งศูนย์บริการแท็บเล็ต ระยะเวลาในการจัดตั้ง และกำหนดบุคลากรและงบประมาณที่จะใช้ในการบริหารจัดการให้ชัดเจนสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง
2) ปรับปรุงเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานให้สามารถใช้ในการสืบค้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานแท็บเล็ต และอาจพิจารณาเพิ่มรายละเอียดของสื่อ/App ต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนว่าประกอบด้วย App ใดบ้างที่บรรจุในแท็บเล็ต พร้อมวิธีการหรือขั้นตอนในการใช้งานสื่อ/App ต่าง ๆ ไว้ในเว็บไซต์ดังกล่าวด้วย
3) ทบทวนวัตถุประสงค์การใช้งานแท็บเล็ตว่าต้องการให้เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตได้หรือไม่ หากต้องการให้แท็บเล็ตเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตได้ ให้สำรวจความพร้อมใช้งานของระบบอินเทอร์เน็ต และ Access Point ของโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ทั้งหมด ว่าสามารถรองรับการใช้งานของแท็บเล็ตให้เป็นแบบ Online ได้พร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพทั้งโรงเรียนหรือไม่ อย่างไร เพื่อหาแนวทางปรับปรุง แก้ไข ให้แท็บเล็ตทุกเครื่องที่มีอยู่ภายในโรงเรียนสามารถใช้งานแบบ Online ได้โดยสัญญาณมีความเสถียรตามศักยภาพของแท็บเล็ต และควรหาแนวทางหรือวิธีปฏิบัติที่สามารถควบคุมป้องกันการใช้งานของนักเรียนในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในทางที่ไม่เหมาะสม หรือการใช้แท็บเล็ตเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตให้เกิดผลดีมากกว่าผลเสีย
4) ปรับปรุงพัฒนาสื่อ/App ให้น่าสนใจสนองตอบตามความต้องการของผู้ใช้ อาทิเช่นควรเพิ่มเนื้อหาประเภทมัลติมีเดีย และแอพพลิเคชั่นประเภทแบบฝึกหัดต่าง ๆ ให้มากขึ้น เพราะสามารถดึงดูดความสนใจของนักเรียน และอาจลดเนื้อหาประเภทหนังสือให้น้อยลงเพราะมีการใชประโยชน์ในการเรียนการสอนน้อยเนื่องจากครูประจำชั้นเลือกใช้จากหนังสือเรียนจริงเป็นหลักทั้งนี้ควรมีการสอบทานการเฉลยแบบทดสอบของกลุ่มเนื้อหาประเภทแอพพลิเคชั่นให้ถูกต้องก่อนนำไปให้นักเรียนใช้เรียนรู้ในแท็บเล็ต เป็นต้น
5) ให้มีการประเมินระดับผลการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ว่าหลังจากได้ใช้แท็บเล็ตเพื่อเป็นสื่อในการเรียนรู้จะส่งผลให้ระดับผลการเรียนดีกว่าที่ผ่านมาหรือไม่ อย่างไร โดยในการประเมินต้องกำหนดตัวชี้วัดที่จะนำมาใช้วัดผลทางด้านการศึกษาก่อนและหลังมีการใช้แท็บเล็ตให้ชัดเจน ทั้งนี้เพื่อให้สามารถประเมินความสำเร็จของโครงการในภาพรวมทั้งประเทศได้ และเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณาปรับปรุงการดำเนินโครงการที่จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไป
2. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ดำเนินการดังนี้
1) ติดตาม กำกับดูแลศึกษานิเทศก์ให้ติดตามตรวจสอบ หรือให้ความช่วยเหลือแก่โรงเรียนในการใช้แท็บเล็ตตามที่คู่มืออบรมปฏิบัติการบูรณาการใช้คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต)กำหนดไว้ และควรกำหนดแผนการติดตาม และตัวชี้วัดในการติดตามให้ชัดเจน โดยการกำหนดตัวชี้วัดต้องมีตัวชี้วัดที่ สพฐ. กำหนดตามข้อเสนอแนะของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรวมอยู่ด้วย และอาจเพิ่มเติมตัวชี้วัดอื่น ๆ ที่เห็นว่าเหมาะสมตามบริบทของแต่ละพื้นที่ไว้ในการติดตาม
2) กำหนดแนวทางชี้แจง ทำความเข้าใจกับครูทุกคนที่จะต้องใช้แท็บเล็ตเป็นสื่อในการเรียนการสอนให้มีความรู้ ความเข้าใจชัดเจนเป็นแนวทางเดียวกัน เกี่ยวกับประโยชน์ที่จะได้รับจากสื่อ/Appทั้งหมดที่บรรจุในแท็บเล็ตว่าสื่อ/App แต่ละตัวให้ประโยชน์อย่างไรบ้าง เพื่อครูจะได้นำมาใช้จัดทำเป็นแผนการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้การเรียนการสอนโดยใช้
แท็บเล็ตมีประสิทธิภาพ
3) ส่งเสริม สนับสนุนโรงเรียนให้มีเครื่องมือ อุปกรณ์ที่มีความจำเป็นในการใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แท็บเล็ต เช่น ทีวี/โปรเจคเตอร์ คอมพิวเตอร์ ลำโพงและไมโครโฟน เป็นต้น เพื่อเป็นการยกระดับการเรียนการสอนให้เกิดประสิทธิภาพ นักเรียนเกิดการเรียนรู้เข้าใจตรงกัน และครูผู้สอนสามารถดึงดูดความสนใจจากนักเรียนในชั้นเรียน โดยสั่งการให้โรงเรียนที่มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่สามารถนำมาใช้ควบคู่กับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แท็บเล็ตอยู่แล้วนำเครื่องมืออุปกรณ์เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ร่วมกับการจัดการเรียนการสอนแท็บเล็ต และกรณีโรงเรียนที่ยังไม่มีเครื่องมืออุปกรณ์ควรหาแนวทางสนับสนุน ส่งเสริมให้โรงเรียนมีเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการใช้ในการจัดการเรียนการสอนร่วมกับแท็บเล็ตต่อไป
4) สั่งการให้ผู้บริหารโรงเรียนในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ ดำเนินการดังนี้
(4.1) ให้ความสำคัญในขั้นตอนการติดตามประเมินผลครูผู้สอน เพื่อคอยให้คำแนะนำแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้แท็บเล็ตในการเรียนการสอน และควรให้มีการบูรณาการในการสอนร่วมกันระหว่างครูประจำชั้นกับครูที่มีความรู้ด้าน ICT
(4.2) กำกับดูแลครูประจำชั้นให้ความสำคัญในการจัดทำแผนการเรียนการสอนที่มีการนำแท็บเล็ตไปบรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนเพื่อใช้เป็นสื่อในการสอนนักเรียน เพื่อให้การใช้ประโยชน์แท็บเล็ตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การใช้แท็บเล็ตในการจัดการเรียนการสอนมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น แบตเตอรี่ที่บรรจุในแท็บเล็ตใช้งานได้เพียง 2 – 3 ชั่วโมง จำนวนสื่อ/Appที่บรรจุในแท็บเล็ตมีจำนวนมาก การใช้งานแท็บเล็ตประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ที่ต้องเลือกใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสม เป็นต้น
ข้อตรวจพบที่ 3 ปัญหาการรับประกันแท็บเล็ต
จากการตรวจสอบมีข้อมูลสนับสนุน 2 ประเด็น ดังนี้
3.1 โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่นำแท็บเล็ตที่ใช้งานไม่ได้ไปส่งซ่อม จากการสุ่มตัวอย่างโรงเรียนจำนวน 80 แห่ง พบว่า โรงเรียน จำนวน 48 แห่ง มีแท็บเล็ตที่ใช้งานไม่ได้ จำนวน 295 เครื่อง และยังไม่นำแท็บเล็ตจำนวนดังกล่าวส่งซ่อมที่ศูนย์ Advice ในจำนวนนี้มีข้อมูลระบุวันที่ใช้งานไม่ได้ รวมจำนวน 208 เครื่อง เมื่อนำมาวิเคราะห์ระยะเวลาตั้งแต่วันที่แท็บเล็ตใช้งานไม่ได้จนถึงวันที่เข้าตรวจสอบ พบว่า แท็บเล็ตที่ใช้งานไม่ได้และไม่ได้ส่งซ่อมบางส่วนมีระยะเวลาตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป โดยเหตุผลที่โรงเรียนไม่นำแท็บเล็ตส่งซ่อมเกิดจากไม่ทราบเงื่อนไขการรับประกันแท็บเล็ตหรือทราบแต่ไม่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ดังนี้
1) โรงเรียน จำนวน 43 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 89.58 ไม่ทราบเงื่อนไขการรับประกันหรือทราบเพียงบางขั้นตอน โดยพบว่ายังไม่ส่งแท็บเล็ตที่ใช้งานไม่ได้ซ่อมที่ศูนย์ Advice
2) โรงเรียน จำนวน 5 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 10.42 ทราบเงื่อนไขการรับประกันแท็บเล็ตครบถ้วนทุกขั้นตอน แต่ยังไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการรับประกันที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยพบว่ายังไม่ส่งแท็บเล็ตที่ใช้งานไม่ได้ซ่อมที่ศูนย์ Advice
3.2 ผู้ขายใช้ระยะเวลาในการซ่อมแท็บเล็ตนานเกินกว่าที่กำหนดไว้ ตามสัญญาระบุให้ผู้ขายจะต้องซ่อมแซมแท็บเล็ตให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 5 วันทำการ หากไม่สามารถซ่อมภายในระยะเวลาดังกล่าว ผู้ขายจะต้องทำการเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้กับผู้ซื้อ ซึ่งผู้ขายมีเครื่องสำรองร้อยละ1.00 ที่จะสามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้ หากการดำเนินการไม่เป็นไปตามสัญญา ทางผู้ซื้อ (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) ได้ดำเนินการแจ้งสงวนสิทธิ์ในการหักเงินหลักประกันตามสัญญา เพราะถือว่าไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญา โดยบริษัทผู้ขายตามโครงการคือบริษัท เซิ่นเจิ้นสโคป ซายเอ็นทิฟิก ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เป็นผู้รวบรวมจัดเก็บข้อมูลเป็นภาพรวมจากศูนย์ Adviceจำนวน 116 แห่ง ทั่วประเทศที่เป็นผู้บันทึกข้อมูลของแต่ละศูนย์เข้าระบบฐานข้อมูลของบริษัท สโคป(ประเทศไทย) จำกัด เพื่อนำข้อมูลเสนอต่อกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในฐานะผู้จ้าง
จากการตรวจสอบข้อมูลระยะเวลาในการซ่อมแท็บเล็ต ของบริษัท สโคป (ประเทศไทย)จำกัด ตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม 2555 ถึงเดือนมีนาคม 2556 เปรียบเทียบกับข้อมูลการซ่อมแท็บเล็ตช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ตามเอกสารการบันทึกข้อมูลในระบบการแจ้งซ่อม (OTPCClaim) ของศูนย์ Advice ที่สุ่มตรวจสอบ จำนวน 16 แห่ง ซึ่งได้รับข้อมูล OTPC Claim เพียง 3 แห่งอีก 13 แห่งปฏิเสธการให้ข้อมูล พบว่าข้อมูลดังกล่าวมีความแตกต่างกันอย่างมากที่มีนัยต่อเงื่อนไขการรับประกัน กล่าวคือ ข้อมูลจากบริษัท สโคป (ประเทศไทย) มีการซ่อมแท็บเล็ตที่ใช้ระยะเวลาเกิน 5 วันจำนวน 3 เครื่อง ซึ่งใช้ระยะเวลาสูงสุดคือ จำนวน 23 วัน แต่ผลการตรวจสอบจากศูนย์ Advice ที่สุ่มตรวจสอบ พบข้อมูลว่า ศูนย์ Advice จำนวน 1 แห่ง ใช้ระยะเวลาในการซ่อมแท็บเล็ตมากกว่า 10 วันขึ้นไป จำนวน 69 เครื่อง ซึ่งในจำนวนนี้มีการใช้ระยะเวลามากกว่า 100 วันขึ้นไป จำนวน 9 เครื่อง
ผลกระทบจากการที่โรงเรียนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบเกี่ยวกับเงื่อนไข วิธีการปฏิบัติในขั้นตอนการรับประกัน หรือโรงเรียนที่ทราบแต่ยังไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข วิธีการปฏิบัติที่กำหนดไว้ และผู้ขายไม่สามารถซ่อมแท็บเล็ตได้ตามระยะเวลาที่กำหนดทำให้รัฐต้องสูญเสียผลประโยชน์เนื่องมาจากการรับประกันไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้ คือตามสัญญาระบุให้ผู้ขายจะต้องซ่อมแซมแท็บเล็ตให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 5 วันทำการ หากไม่สามารถซ่อมภายในระยะเวลาดังกล่าวผู้ขายจะต้องทำการเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้กับผู้ซื้อ แต่เมื่อโรงเรียนไม่ทราบเงื่อนไขดังกล่าวก็อาจไม่มีการรักษาผลประโยชน์ให้กับรัฐ นอกจากนี้ทำให้นักเรียนเสียโอกาสในการใช้แท็บเล็ตเพราะศูนย์ Advice ใช้เวลาซ่อมมากกว่าระยะเวลาที่กำหนดหรือแท็บเล็ตที่ใช้งานไม่ได้ไม่นำส่งซ่อม
ข้อเสนอแนะ ให้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พิจารณาดำเนินการดังนี้
1. เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พิจารณาดำเนินการดังนี้
1.1 ให้มีการศึกษา ทบทวนความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเงื่อนไขการรับประกันแท็บเล็ตและวิธีการปฏิบัติ ที่ถูกต้องตามที่กำหนดในสัญญา อาทิเช่น ระยะเวลาการรับประกัน ลักษณะความเสียหายที่อยู่ในเงื่อนไขการรับประกัน ระยะเวลาการนำส่งและรับเครื่องที่ซ่อมคืนหรือขอรับ
เครื่องใหม่ทดแทน เป็นต้น พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพและแจ้งเวียนหรือซักซ้อมความเข้าใจให้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) เพื่อให้ สพป. ต่าง ๆ สั่งการให้ผู้บริหารโรงเรียนทุกแห่งทราบและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ และเป็นการรักษาสิทธิให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได้มีแท็บเล็ตใช้เพื่อการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง
1.2 ติดตามประเมินผลการให้บริการของบริษัทผู้รับประกันหรือศูนย์ Advice ว่าสามารถดำเนินการซ่อมแท็บเล็ตให้เป็นไปตามเงื่อนไขการรับประกันหรือไม่ ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลผู้ใช้งานแท็บเล็ต และหากพบว่าผู้รับประกันไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไข
การรับประกัน ต้องประสานแจ้งข้อมูลดังกล่าวให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
2. ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ติดตามประเมินผลการดำเนินการของผู้ขายว่าเป็นไปตามข้อตกลงที่กำหนดในสัญญาหรือไม่ ตลอดจนการจัดเก็บข้อมูลของผู้ขายที่ใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบติดตามผลการให้บริการของศูนย์ Advice ที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศที่ต้องมีความครบถ้วน ถูกต้อง และเป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ให้กับรัฐ เพราะการดำเนินการดังกล่าวมีผลต่อการหักเงินหลักประกันตามข้อตกลงหากผู้ขายไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ และเพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของนักเรียนผู้ใช้แท็บเล็ตทั่วประเทศให้ได้แท็บเล็ตกลับมาใช้งานโดยเร็วจากการซ่อมแซมของผู้ขาย
ข้อตรวจพบที่ 4 ปัญหาการควบคุมแท็บเล็ต
จากการตรวจสอบมีข้อมูลสนับสนุน 3 ประเด็น ดังนี้
4.1 โรงเรียนจัดทำทะเบียนคุมครุภัณฑ์แท็บเล็ตไม่ถูกต้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และบางแห่งไม่ได้จัดทำ ทำให้ไม่มีเครื่องมือที่จะใช้สำหรับการควบคุมตรวจสอบ รวมถึงการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพของผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ โดยจากการสุ่มตรวจสอบพบว่า
1) การบันทึกข้อมูลในทะเบียนคุมครุภัณฑ์ไม่ถูกต้อง ครบถ้วนและไม่เป็นปัจจุบัน ซึ่งมีโรงเรียนเพียง 4 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 5.00 เท่านั้นที่จัดทำทะเบียนคุมครุภัณฑ์แท็บเล็ตได้ถูกต้องครบถ้วนตามระเบียบฯ อีกจำนวน 14 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 17.50 ยังไม่ได้จัดทำทะเบียนคุมครุภัณฑ์
และมีโรงเรียนจำนวน 62 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 77.50 ที่มีการจัดทำทะเบียนคุมครุภัณฑ์แท็บเล็ตแล้วแต่ยังไม่ถูกต้อง ครบถ้วนตามระเบียบฯ เช่น ไม่กำหนดรหัสครุภัณฑ์ ไม่ระบุ Serial Numberและไม่ระบุชื่อผู้ครอบครอง เป็นต้น
2) โรงเรียนบางแห่งไม่ได้บันทึกรหัสครุภัณฑ์ไว้บนแท็บเล็ต หรือบางแห่งได้บันทึกรหัสไว้ที่ซองบรรจุแท็บเล็ต ทำให้ยากแก่การควบคุมและตรวจสอบเพราะอาจมีการสลับสับเปลี่ยนซอง
3) การปฏิบัติเกี่ยวกับการโอนแท็บเล็ตของโรงเรียนกรณีนักเรียนย้ายโรงเรียนไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน พบว่า มีโรงเรียนจำนวน 71 แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 88.75 ที่มีการโยกย้ายของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งในจำนวนนี้มีการโอนแท็บเล็ตกรณีที่นักเรียนโยกย้ายแตกต่างกันออกไป โดยไม่เป็นไปตามคำสั่ง สพฐ. ที่ 108/2547 เรื่อง มอบอำนาจการมอบโอนพัสดุ สั่ง ณ วันที่9 มกราคม 2547 และได้แจ้งเวียนให้กับ สพป. ทราบเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2555 กล่าวคือ กรณีโยกย้ายภายในสังกัด สพฐ. โรงเรียนบางแห่งไม่ได้มอบแท็บเล็ตให้กับนักเรียนไปด้วย แต่บางแห่งนักเรียนโยกย้ายไปอยู่ในสังกัดอื่น ๆ โรงเรียนได้มอบแท็บเล็ตให้ติดตามตัวไปด้วย อย่างไรก็ตาม กวพ.มีมติวินิจฉัยตามคำหารือของ สพฐ. เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2556 โดยให้ความเห็นว่า “เนื่องจากกรณีการจัดซื้อคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) เป็นการจัดหาตามนโยบายของรัฐบาลสำหรับโรงเรียนที่มีความพร้อม โดยเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้ประกอบการศึกษาของนักเรียนตลอดระยะเวลาที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนนั้น ๆ ซึ่งหากนักเรียนคนใดย้ายออกไปจากโรงเรียนดังกล่าวแล้ว กรณีนี้ นักเรียนย่อมต้องคืนคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ให้กับโรงเรียนเดิม ไม่สามารถโอนติดตัวนักเรียนไปให้กับโรงเรียนใหม่ได้ ประกอบกับในเรื่องของการจัดสรรและการควบคุมจะต้องควบคุมให้อยู่ในชุดเดียวกัน เมื่อคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) หมดอายุการใช้งานจะได้รับการจัดสรรใหม่ทั้งชุด” ดังนั้นแนวทางที่ถือ
ปฏิบัติเดิมตามคำสั่ง สพฐ. ที่ 108/2547 ก็ยังไม่สอดคล้องตามมติ กวพ.
4.2 การบันทึกฐานข้อมูลการครอบครองแท็บเล็ตในระบบติดตามและประเมินผลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-MES) ยังไม่ครบถ้วน ถูกต้อง และเป็นปัจจุบัน ทำให้ สพฐ. และ สพป. ไม่มีเครื่องมือสำหรับการวางแผน ตลอดจนการบริหารจัดการและการติดตามประเมินผลอย่างมีประสิทธิภาพ พบว่า จากการตรวจสอบข้อมูลตามรายงานบัญชีการจัดสรรแท็บเล็ตของ สพฐ. ระยะที่ 1ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2555 และระยะที่ 2 ลงวันที่ 2 ตุลาคม 2555 มียอดรวมทั้งสิ้น 566,583 เครื่องเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ สพป. ทั้ง 183 เขต บันทึกข้อมูลการจัดสรรแท็บเล็ตของทั้ง2 ระยะให้กับโรงเรียนในสังกัดมีจำนวนทั้งสิ้น 538,500 เครื่อง ซึ่งต่ำกว่าบัญชีจัดสรรจำนวน28,083 เครื่อง นอกจากนี้จากการสุ่มตรวจสอบการบันทึกข้อมูลของ สพป. จำนวน 12 เขต พบว่าสพป.กทม. ไม่มีการบันทึกข้อมูลแจกจ่ายแท็บเล็ตให้กับโรงเรียนลงในระบบ e-MES ทำให้ไม่อาจตรวจสอบข้อมูลในระบบได้ว่าโรงเรียนในสังกัดได้รับแท็บเล็ตไปกี่เครื่อง และแต่ละเครื่องนักเรียนคนใดเป็นผู้ครอบครอง
นอกจากนี้ยังพบว่า ข้อมูลการโยกย้ายของนักเรียนภายใต้การกำกับดูแลของ สพป.ทั้ง 12 เขต ไม่เป็นปัจจุบันทำให้ สพป. แต่ละแห่งไม่ทราบข้อมูลจำนวนแท็บเล็ตที่ถูกต้องในแต่ละช่วงเวลา โดยมีโรงเรียนเพียงบางแห่งเท่านั้นที่รายงานข้อมูลการโยกย้ายของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พร้อมรายการโอนแท็บเล็ตในแบบฟอร์มเอกสารให้กับ สพป. ทราบ
4.3 นักเรียนไม่สามารถควบคุม จัดเก็บ รักษาแท็บเล็ตได้อย่างเหมาะสม ในกรณีที่โรงเรียนมีนโยบายให้นำกลับไปใช้งานที่บ้าน โดยโรงเรียนได้มีการประชุมพิจารณาร่วมกับผู้ปกครองแล้ว ซึ่งพบว่ามีโรงเรียนร้อยละ 55.00 ไม่มีนโยบายให้นักเรียนนำแท็บเล็ตกลับไปใช้งานที่บ้าน ทั้งนี้โรงเรียนชี้แจงเหตุผลของผู้ปกครองส่วนใหญ่ซึ่งให้ไว้ในที่ประชุมว่า ไม่อยากรับภาระความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างที่นักเรียนนำแท็บเล็ตกลับบ้านเพราะนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 อายุเฉลี่ยประมาณ 7 ขวบ ถือว่ายังเล็กมากซึ่งอาจถูกแย่งชิงแท็บเล็ตโดยนักเรียนที่โตกว่าหรือมิจฉาชีพได้หรือไม่อยากรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างแท็บเล็ตอยู่ที่บ้าน และผู้ปกครองบางคนไม่มีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเพียงพอที่จะสอนบุตรหลานได้ และเหตุผลอีกส่วนหนึ่งของโรงเรียนเห็นว่า ไม่อาจควบคุมการใช้งานแท็บเล็ตของนักเรียนในระหว่างที่อยู่บ้านซึ่งอาจเข้าเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม และนักเรียนลืมนำแท็บเล็ตมาเรียน
อนึ่ง ผลจากการสังเกตการณ์สภาพแท็บเล็ตของโรงเรียนที่ไม่มีนโยบายให้นักเรียนนำแท็บเล็ต กลับไปใช้งานที่บ้าน พบว่า แท็บเล็ตส่วนใหญ่อยู่ในสภาพดี อุปกรณ์ประกอบต่าง ๆ เช่น สายชาร์ตแบตเตอรี่ หูฟัง ซองใส่แท็บเล็ตยังอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ กรณีแท็บเล็ตใช้งานไม่ได้ส่วนใหญ่ได้รับการซ่อมแซมแล้ว และอาการของแท็บเล็ตที่ใช้งานไม่ได้ส่วนใหญ่เป็นความบกพร่องของระบบ Software หรือความไม่สมบูรณ์ของโปรแกรมที่บรรจุในแท็บเล็ต และระบบการชาร์ตแบตเตอรี่ที่ใช้งานไม่ได้
สำหรับโรงเรียนที่มีนโยบายให้นักเรียนนำแท็บเล็ตกลับไปใช้งานที่บ้านได้นั้น พบว่ามีแท็บเล็ตใช้งานไม่ได้แล้วยังไม่ได้ส่งซ่อมที่ศูนย์ Advice เป็นจำนวนค่อนข้างมากและเป็นระยะเวลานานโดยพบว่าโรงเรียนจำนวน 36 แห่ง ที่มีนโยบายให้นักเรียนสามารถนำแท็บเล็ตไปใช้งานที่บ้านได้มีแท็บเล็ตใช้งานไม่ได้เป็นจำนวนถึง 323 เครื่อง หรือประมาณ 3 เท่า คิดเป็นร้อยละ 326.26 ของแท็บเล็ตที่ไม่ให้นำกลับบ้าน ซึ่งมีเพียง 99 เครื่องเท่านั้น นอกจากนี้ ยังพบว่ามีความเสียหายของอุปกรณ์แท็บเล็ต เช่น ที่ชาร์ตแบตเตอรี่ หูฟัง ซองใส่แท็บเล็ตเสียหายหรือสูญหายเป็นส่วนใหญ่ และพบว่าระยะเวลาที่ใช้งานไม่ได้ของแท็บเล็ตหรืออุปกรณ์ที่จำเป็นนั้นเกิดขึ้นก่อนเข้าสังเกตการณ์นานมาแล้วและยังไม่ได้รับการส่งซ่อมที่ศูนย์ Advice
ข้อเสนอแนะ ให้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สั่งการ ควบคุม กำกับดูแลหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาดำเนินการดังนี้
1. ให้มีระบบการควบคุมแท็บเล็ตที่จัดสรรตามโครงการฯ ให้เชื่อมโยงกันทุกระดับทั้ง สพฐ.สพป. และโรงเรียน โดยให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พร้อมทั้งกำกับ ดูแล ให้มีการจัดทำและปรับปรุงข้อมูลให้ครบถ้วน ถูกต้อง และเป็นปัจจุบัน สามารถสอบยันและใช้ตรวจสอบรายละเอียดการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของแท็บเล็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ที่ครอบครองแท็บเล็ตแต่ละเครื่องได้
2. ให้มีการทบทวน ทำความเข้าใจการปฏิบัติเกี่ยวกับการโอนและควบคุมแท็บเล็ต กรณีนักเรียนมีการโยกย้ายทั้งภายใต้สังกัดเดียวกัน และสังกัดอื่น เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ทั้งนี้ให้มีการจัดทำขั้นตอนหรือแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน พร้อมทั้งมีการแจ้งเวียนหรือซักซ้อมทำความเข้าใจให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ทั้ง สพป. และโรงเรียนเพื่อถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและให้ดำเนินการโดยเคร่งครัด
3. ทบทวนความสำคัญในการจัดเก็บและบันทึกข้อมูลลงระบบ e-MES ว่ามีความสำคัญหรือมีความจำเป็นต้องนำมาใช้ประกอบการควบคุม ดูแลแท็บเล็ตตามโครงการฯ หรือไม่ หากเห็นว่าการจัดเก็บและบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ของแท็บเล็ตมีความสำคัญหรือจำเป็นให้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขระบบการบันทึกข้อมูลในระบบ e-MES ให้สามารถบันทึกจัดเก็บข้อมูลได้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง และมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการติดตาม ตรวจสอบ และวางแผนการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสั่งการผู้ที่เกี่ยวข้องให้ถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด
4. ให้ทบทวนข้อดี – ข้อเสีย ของนโยบายให้นักเรียนนำแท็บเล็ตกลับไปใช้งานที่บ้านว่ามีผลดีมากกว่าผลเสียหรือไม่ อย่างไร เพื่อกำหนดแนวทางที่ชัดเจนให้โรงเรียนถือปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้ หากเห็นว่าการนำแท็บเล็ตกลับไปใช้งานที่บ้านควรปล่อยให้ยืดหยุ่นตามบริบทของแต่ละโรงเรียนดังเช่นที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน ให้สั่งการให้ผู้บริหารโรงเรียน ติดตาม ควบคุมการใช้งานและดูแลรักษาแท็บเล็ตอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกรณีโรงเรียนที่มีนโยบายให้นักเรียนนำแท็บเล็ตกลับไปใช้งานที่บ้าน ต้องหามาตรการให้นักเรียนนำแท็บเล็ตมาใช้เรียนที่โรงเรียนตามวันเวลาที่ครูประจำชั้นกำหนดไว้โดยพร้อมเพรียงกัน และหามาตรการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดจากการตกหล่น หน้าจอแตก การชาร์ต
แบตเตอรี่ไม่ถูกวิธี ตลอดจนป้องกันการเข้าเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น
ข้อสังเกต การชาร์ตไฟแท็บเล็ตของโรงเรียนส่วนใหญ่ยังไม่ปฏิบัติตามที่กำหนดในคู่มือฯ ในด้านความปลอดภัย
จากการสังเกตการณ์การชาร์ตไฟแท็บเล็ตของโรงเรียน พบว่า โรงเรียนบางแห่งมีความพร้อมในการชาร์ตไฟแท็บเล็ต เนื่องจากผู้บริหารโรงเรียนเห็นความสำคัญของการชาร์ตไฟ จึงได้จัดซื้อตู้สำหรับชาร์ตไฟที่มีความปลอดภัย โดยใช้งบประมาณของโรงเรียนเอง นอกจากนี้ ยังมีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รับผิดชอบในการชาร์ตไฟแท็บเล็ตโดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้จบการศึกษาด้านคอมพิวเตอร์โดยตรง แต่อาศัยความรู้จากที่เรียนสายอาชีวะมาใช้ ประกอบกับมีความสนใจส่วนตัว โดยมีปัจจัยสำคัญอยู่ที่ผู้บริหารโรงเรียนให้การสนับสนุน แต่จากการสังเกตการณ์การชาร์ตไฟแท็บเล็ตของโรงเรียน พบว่าการชาร์ตไฟแท็บเล็ตของโรงเรียนจำนวนมากถึง 41 แห่ง จากทั้งหมด 80 แห่งที่สุ่มตรวจสอบ หรือคิดเป็นร้อยละ 51.25 ยังไม่มีความปลอดภัยเพียงพอ เหมาะสม และไม่เป็นไปตามที่กำหนดในคู่มือฯ สรุปได้ 3 กรณี ดังนี้
1) การชาร์ตไฟโดยใช้อุปกรณ์ที่โรงเรียนทำขึ้น ดัดแปลง หรือใช้ปลั๊กต่อพ่วง โดยไม่มีระบบการชาร์ตไฟที่ปลอดภัย ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวไม่สามารถชาร์ตไฟแท็บเล็ตจำนวนมาก ๆ ในคราวเดียวกันได้อย่างปลอดภัย หรือโรงเรียนบางแห่งทำที่ชาร์ตไฟไว้ในตู้เหล็กซึ่งไม่มีฉนวนเพื่อป้องกัน
การเป็นสื่อนำไฟฟ้าอาจเกิดอันตราย ทำให้ไฟดูด หรือไฟช็อตเด็กนักเรียนได้
2) โรงเรียนให้เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นผู้ชาร์ตไฟแท็บเล็ตด้วยตนเอง โดยปราศจากการควบคุมดูแลจากครูประจำชั้น ทำให้เด็กอาจได้รับอันตรายได้ นอกจากนี้ หากให้เด็กชาร์ตไฟด้วยตนเอง อาจทำให้อุปกรณ์ชาร์ตไฟหรือแท็บเล็ตเสียหาย เนื่องจากเด็กยังขาดความรู้ใน
การชาร์ตไฟ อาจชาร์ตผิดวิธี หรือเสียบผิดช่อง หรืออาจทำให้หัวเสียบชาร์ตหักชำรุดเสียหาย หรือแบตเตอรี่หากชาร์ตไม่ได้ปริมาณเปอร์เซ็นต์ที่กำหนด อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด
3) มีการใช้งานแท็บเล็ตในขณะที่กำลังชาร์ตไฟไปพร้อม ๆ กัน โดยโรงเรียนใช้ปลั๊กต่อพ่วงขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะเรียนเพื่อให้เด็กชาร์ตไฟไปด้วยในขณะที่กำลังใช้งาน ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก เนื่องจากในคู่มือฯ การใช้งานได้มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า ห้ามมีการใช้งานแท็บเล็ตในขณะที่กำลังทำการชาร์ตไฟ เพราะเครื่องจะเกิดความร้อนมาก จนอาจเกิดการระเบิด และเป็นอันตรายต่อเด็กนักเรียน
ข้อเสนอแนะ ให้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานสั่งการให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบูรณาการร่วมกับศึกษานิเทศก์และครูที่มีความรู้ด้าน ICT ของโรงเรียนต่าง ๆสำรวจโรงเรียนในพื้นที่รับผิดชอบว่าโรงเรียนสามารถดำเนินการตามข้อกำหนดเกี่ยวกับความปลอดภัยในการชาร์ตไฟแท็บเล็ตได้ตามคู่มือฯ ที่กำหนดหรือไม่
หากโรงเรียนใดไม่สามารถจัดหาอุปกรณ์การชาร์ตไฟแท็บเล็ตที่มีความปลอดภัยได้ หรือยังไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในการชาร์ตไฟแท็บเล็ตของนักเรียน ให้รีบดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได้รับอันตรายจากการชาร์ตไฟ เช่น ไฟช็อต ไฟไหม้ หรือไฟดูด ตลอดจนให้มีการติดตามให้คำปรึกษาแนะนำโรงเรียนที่รับผิดชอบอย่างใกล้ชิด
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก Google
