ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ:แด่ 6 ตุลาฯ อันเงียบเหงา“รื้อ-เล่า”ประวัติศาสตร์ชำรุด
"...หลัง 14 ตุลาฯ ขบวนการนักศึกษาไปเล่นการเมืองระดับชาติ ดังนั้น กลุ่มอิสระจึงหมดความหมาย สภาหน้าโดมจะไปล่าลายเซ็นต์ใคร เขาไม่มีใครมาเซ็นต์หรอก...เมื่อไปสู่การเมืองระดับชาติ ทำให้นักศึกษากลายเป็นเป้า ในวันที่ 6 ตุลาฯ ถึงต้องปราบ เพราะเราไม่ใช่กลุ่มการเมืองในมหาวิทยาลัยแล้ว เรากลายเป็นกลุ่มการเมืองนอกมหาวิทยาลัย..."

เนื่องในวาระครบรอบ 38 ปี เหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 และครบรอบ 41 ปี แห่งชัยชนะของพลังนักศึกษาประชาชน เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้สัมภาษณ์พิเศษ “ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ” อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ร่วมก่อตั้ง“สภาหน้าโดม” เมื่อปี 2513 ส่วนหนึ่งของฟันเฟืองประวัติศาสตร์ เสี้ยวน้อยของภาพใหญ่ที่ร่วมปลุกพลังนักศึกษา สร้างวิวาทะ ก่อความกล้าในการตรวจสอบอำนาจรัฐ วิพากษ์ชาติมหาอำนาจด้วยอหังการของคนหนุ่มสาว
ปมเงื่อนแห่งการทำลายขบวนการนักศึกษา, บรรยากาศเก่าๆ อันคึกคักของสภาหน้าโดม, โครงสร้างอำนาจในประวัติศาสตร์สังคม, การทวงถามถึงกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เอื้อมมาแตะประวัติศาสตร์บาดแผล, ความรุ่งโรจน์และแหลกสลายของอุดมการณ์ที่คนหนุ่มสาวเมื่อเกือบ 40 ปีก่อนเคยฝันไฝ่…บรรจุอยู่ในถ้อยคำสนทนา นับจากนี้
เพื่อร่วมรำลึกภาพรอยต่อของชัยชนะในเดือนตุลา 2516 ก่อนที่ขบวนการนักศึกษาจะก้าวเข้าสู่การเมืองระดับชาติและตกเป็นเป้าทำลายล้างในเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2519 และเพื่อที่อย่างน้อยเหตุการณ์ในครั้งนั้นจะยังคงถูกพูดถึง ตราบจนกว่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่อล้อมปราบทั้งที่ยังมีชีวิตหรือเสียชีวิตไปแล้วจะได้รับการเยียวยาบาดแผลที่แม้แต่ “ประวัติศาสตร์” ยังไม่อาจเยียวยา นอกจากรอคอยกระบวนการยุติธรรมที่จะสาดส่องมาถึงในวันใดวันหนึ่ง
@ : ในวาระที่ “6 ตุลาคม” เวียนมาถึงในปี 2557 ในฐานะอดีตคนเดือนตุลาฯ และนักประวัติศาสตร์ คุณคิดว่างานรำลึก 6 ตุลาคม ในธรรมศาสตร์จะออกมาแง่ไหน
ธเนศ : ก็คงเงียบๆ เพราะก็มีมติมาแล้วว่าไม่ให้จัดกิจกรรมทางการเมืองอะไร แต่ก็คงมีกลุ่มศิษย์เก่า คงมีคนมารำลึกตรงรูปปั้น 6 ตุลาฯ ก็คงเป็นงานเช็งเม้งไป จากพิธีทางการเมืองก็กลายเป็นพิธีทางศาสนา คือ ใครจะทำอะไรก็ทำไป แต่ห้ามใช้หอประชุม ไม่ให้มีงานเป็นทางการ ไม่ให้มีคนมาชุมนุม ไม่งั้นจะกระทบกับกฎอัยการศึก ก็คงเป็นงานที่เงียบ แต่ก็มีนักศึกษาและกลุ่มศิษย์เก่าจะจัดอภิปรายในวันที่ 5 ต.ค. และมีปาฐกถาโดยส.ศิวรักษ์ที่หน้าลานปรีดีฯเวลาบ่าย เขาก็เชิญผมไปด้วย ถ้ามีการจัดงานก็คงเงียบเหงา
@ : มองบรรยากาศการรำลึกเหตุการณ์เดือนตุลาฯ ที่เงียบเชียบนี้ ด้วยความรู้สึกแบบไหน
ธเนศ : เรื่องการรำลึกเหตุการณ์เดือนตุลาฯ ทั้ง 14 ตุลาฯ และ 6 ตุลาฯ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมไม่ได้ตื่นเต้น หรือเชิดชู ว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอะไรใหญ่โต เพราะเรารู้ว่าระบบโครงสร้างใหญ่นั้น จริงๆ แล้ว มันไม่ได้เปลี่ยน เราทำไม่ได้ขนาดนั้น เมื่อประเมินดูผลทั้งหมดแล้ว มันไม่ได้มีผลสะเทือนมากอย่างที่เราคิดหรือวาดเอาไว้
คือจริงอยู่ ในแง่ประวัติศาสตร์ มันใหญ่ มีคนเป็นแสน ที่รัฐบาลต้องล้มไป แต่เมื่อพูดขึ้นมาทุก 5 ปี 10 ปี แล้วจะพูดไปเพื่ออะไร เพราะพูดแล้วก็หมุนกลับมาเป็นเผด็จการอีก ผมก็นึกไม่ออก ว่าเราจะไปฉลองอะไร ผมก็ไม่รู้ว่าเราจะไปพูดอะไร เชิญผมขึ้นไปพูดแล้วเราจะเอาอะไรไปพูด
@ : ถ้าคุณมองว่าโครงสร้างอำนาจหลักไม่ได้เปลี่ยน ขณะที่มีหลายชีวิตต้องสูญเสียเพื่อหวังให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ถ้าเช่นนั้น หากมีคนมองอย่างง่ายๆ ว่า สุดท้ายแล้ว นักศึกษาประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ หรือ 6 ตุลาฯ สุดท้ายแล้ว ก็คือเหยื่อ
ธเนศ : ก็แรงเกินไป คือถ้าจะพูดแบบนั้น ก็อาจกล่าวว่าทุกคนในปัจจุบันล้วนเป็นเหยื่อของอดีต ดังนั้น จึงต้องมีนักประวัติศาสตร์ในความหมายกว้างๆ คือเพื่อมาชำระประวัติศาสตร์ให้เข้าที่เข้าทาง และจากนั้นคนที่ได้รับประโยชน์ ผู้สานต่อ ผู้ที่มีคุณูปการ ในหน้าประวัติศาสตร์ก็จะโผล่ขึ้นมา แล้วเราจะมองเห็นเอง ไม่เช่นนั้นเราก็จะเป็นเหยื่อของประวัติศาสตร์ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่มีผู้ชนะเพียงคนเดียว หรือมีผู้แพ้เพียงคนเดียวหรือฝ่ายเดียว
สำหรับผมอดีตก็คืออดีต ควรรับมาเฉพาะส่วนที่ทำให้เข้าใจปัจจุบัน ได้ ไม่ต้องไปยึดกับความเป็นเดือนตุลาฯ เพราะมันก็ไม่ได้มีความหมายหรอก ถ้าแม้แต่คนรุ่นหลังจะจำวันก็ยังจำไม่ได้ ผมก็มองแบบนี้นะ คือไม่อยากให้มันเกิน ไม่อยากให้ทำพิธีเกินไปอยากให้มองถึงแค่ สาระหลักๆ ว่า “ประชาธิปไตย” ในตอนนั้น หมายถึงอะไร ที่เรามุ่งหวังกันนั้น เราได้ไหม ถ้าได้แล้วได้แค่ไหน แต่ปัจจุบัน สาระตรงส่วนนี้มันถูกทำให้เบลอๆ ไป ผมว่าที่เดือนตุลาฯ มันถูกดึงขึ้นมา เพราะมีความต้องการใช้มาเป็นเครื่องวิพากษ์รัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องการอ้างว่าเมื่อรัฐบาลเป็นเผด็จอำนาจแล้ว
เหตุการณ์ในอดีตบอกว่าถ้ารัฐบาลทำแบบนี้ จะต้องโดนประท้วง ต้องโดนแบบนี้ โดยเฉพาะสื่อฯ ที่โตมากับ 14 ตุลาฯ หรือหลังจากนั้น ก็จะใช้วาทกรรม 14 ตุลาฯ เช่น “อำนาจประชาชน” มันก็เลยกลายเป็นกลไก หลายๆ ครั้งต่อมา มันก็ไม่สามารถก้าวพ้นกลไกเหล่านี้ไปได้
ขณะที่ผมรู้สึกว่า เราควรจะก้าวพ้นกลไกแบบนี้ ก้าวพ้นกลไกเรื่องซ้ายสุดขั้ว ขวาสุดขั้ว แต่ลองมองบทบาทผู้หญิง ผู้ชาย ในตอนนั้นบ้าง หรือมองว่า สังคมได้อะไรบ้าง ได้มาอย่างไร ทำอย่างไร แต่เมืองไทยเรา เมิ่อมาพบมารำลึกกันทุก 5 ปี แล้วก็ขึ้นข่าวใหญ่และสดุดีกันใหญ่ จนมันผิดสังเกตนะว่าเกิดอะไรขึ้น มันขาดหรือมันเกิน
ประวัติศาสตร์ ในตัวมันเอง มันต้องไปตีความ มันมีการต่อสู้ระหว่างฝ่ายต่างๆ เวอร์ชั่นที่รับได้มากที่สุดอาจถูกมองว่าคือความจริง แต่ปัญหาของสังคมไทยคือเวอร์ชั่นที่ออกมานี้ ถูกกดไว้ด้วยอำนาจ มันเลยมีแค่เวอร์ชั่นเดียว
@ การชำระประวัติศาสตร์ 6 ตุลาคม 2519 ทุกวันนี้ เพียงพอแล้วหรือยัง ?
ธเนศ : มันไม่พอหรอก เพราะเงื่อนไขที่เอื้อต่อการชำระยังมีไม่พอ คือเรายังไม่ถึงขั้น การชำระนี่ ต้องถึงขั้นพงศาวดาร คือเขียนขึ้นใหม่ และผู้ชนะเป็นผู้เขียน แต่ที่เราทำได้ตอนนี้ก็เพียงเพิ่มมิติที่ทำให้คนปัจจุบัน ได้ใช้ประสบการณ์ของเขา คือให้เขาสามารถอ่านประวัติศาสตร์ด้วยประสบการณ์ปัจจุบันได้
ประวัติศาสตร์แบบเก่าคือเอาประสบการณ์ปัจจุบันไปแตะไม่ได้เลย เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าชาวบ้านหรือเจ้าในยุคอยุธยาเป็นอย่างไร นี่คือปัญหาของประวัติศาสตร์แบบเก่า แต่การศึกษาประวัติศาสตร์ในตะวันตก เขาทำถึงขั้นว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร แต่ถ้าคุณไปอยู่ในประวัติศาสตร์ตอนนั้น คุณจะสามารถเชื่อมโยง และคิดได้ว่าถ้าเป็นคุณในตอนนั้น ในยุคนั้นคุณจะผลิตสิ่งนี้ไหม คุณจะสร้างสิ่งนี้ไหม คุณจะปฏิวัติไหม นี่คือโพสต์โมเดิร์น คือประวัติศาสตร์เป็นของคนทุกคนได้ แต่ของเรา เรายังไปถึงตรงนั้นไม่ได้ ต้องใช้เวลาอีกนาน
@ : ตอนนี้ ดูเหมือนอย่างน้อยก็ทำได้เพียงเพิ่มมิติประวัตศาสตร์เดือนตุลาฯ ให้มีหลายแง่มุมขึ้น
ธเนศ : เพียงเท่านั้น
@ : ในความเห็นคุณ จิตวิญญาณของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นับจากวันที่เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จนถึงวันนี้ ธรรมศาสตร์เปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน
ธเนศ : ภาพรวมของเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ จนถึงวันนี้ก็ 38 ปี ก็ต้องถือว่าครึ่งชีวิตคน คือความเปลี่ยนแปลงในระดับนั้น ถ้าเป็นสมัยก่อนอาจจะนาน ก็ถือว่าเป็นระยะเวลาที่ผ่านอะไรเยอะ อะไร หลายๆ อย่างในยุคโลกาภิวัฒน์ การเคลื่อนไหวของ ข่าวสาร ความรับรู้นั้นก็เร็วมาก ในแง่หนึ่ง ก็เลยรู้สึกว่าเวลา 30 กว่าปี ยังเป็นเวลาที่สั้น
แล้วการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง ความสัมพันธ์ทางอำนาจที่แสดงออก ในทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมของ สังคมไทย ยังเปลี่ยนไม่มากเท่าไหร่ แม้มีการปรับให้เข้ากับสภาพการณ์ต่างๆ แต่ความสัมพันธ์พื้นฐานของโครงสร้างอำนาจไม่เปลี่ยนเท่าไหร่ อำนาจยังกระจุกอยู่ที่คนส่วนน้อย ที่มีภูมิหลังทางจารีตประเพณีเกี่ยวพันกัน ยังเป็นคนส่วนน้อย ที่กำหนดความเป็นไป การรับรู้ การถ่ายทอดความเป็นจริง หรือเรียลลิตี้ ยังขึ้นอยู่กับคนจำนวนน้อย นี่คือ สภาพที่สังคมสมัยใหม่ โดยทั่วไปควรจะก้าวพ้นตรงนี้ คือเมื่อโครงสร้างสังคมลดช่องว่างลง ทำให้คนเข้าสู่โอกาส ให้คนได้อิสระขึ้น ทัดเทียมกันมากขึ้น ข้อมูลความเป็นจริงคืออะไร ก็ตกไปอยู่ที่คนส่วนมากเยอะขึ้น ซึ่งส่วนนี้ ผมว่าสังคม ไทยยังไปไม่ถึง แม้มีความพยายามที่จะไป ดังนั้น เรื่องอะไรที่เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ จึงยังซ้ำอยู่กับที่ ถูกแช่แข็ง หยุดอยู่กับที่
@ ประวัติศาสตร์เดือนตุลาฯ โดยเฉพาะ 6 ตุลา 2519 มีที่ทางอย่างไรในสังคมไทย?
ธเนศ : ประวัติศาสตร์เดือนตุลาฯ ยังขึ้นอยู่ที่ว่าใครเป็นคนพูด ถ้าคนพูด สัมพันธ์กับเรื่องนั้น ด้วยประสบการณ์แบบหนึ่ง เขาก็จะเล่าเรืองนั้น ด้วยมิติแบบหนึ่ง คนที่ไม่มีความสัมพันธ์กับเหตุการณ์นั้น ก็อยู่ที่ว่าสังคมให้เขารับรู้ในแบบใด เขาก็รับรู้แบบนั้น ก็เป็นการถูกปิดกั้นอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น ภาพรวมก็คือประวัตศาสตร์โดยทั่วไปของเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ก็เปลี่ยนแปลงน้อย เพราะฉะนั้น เราจึงมักได้ยินว่าเวลาที่เกิดความขัดแย้ง ความไม่ลงรอยในสังคม เขาไม่รู้จะไปแก้อย่างไร
การเอาประวัติศาสตร์มาแก้ปัญหานั้น ประวัติศาสตร์เราก็เขียนคล้ายๆ กัน คือที่เน้นเอกภาพ (Consensus) ประวัติศาสตร์ของไทย เน้นเรื่องนี้มากกว่าที่อื่น ขณะที่ตัวอย่างเช่นสหรัฐอเมริกา ประเทศเขาไม่ปิดบังความขัดแย้ง กรณีต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา คือ มันปฏิเสธ ไม่ได้ ประวัติศาสตร์ของเขา กว่าจะมีเอกภาพ มีเสรีภาพ มีประชาธิปไตย ก็ต้องผ่านการต่อสู้จัดการกับความขัดแย้งจนกระทั่งไปสู่จุดของการยอมรับกันนั้น แต่ประวัติศาสตร์ของเรา มักเริ่มต้นที่ทุกอย่างดีอยู่แล้ว ความขัดแย้งเริ่มจากคนข้างนอก หรือเริ่มจากคนข้างล่าง
ประวัติศาสตร์ของเรา มันไม่ถูกแรงปัจจัยภายนอกมากระทำมากนัก คือชาติอาณานิคมเขาก็ไม่ได้มาปกครองเราโดยตรง เหมือนที่อื่น การถูกทำลายเยอะๆ จากภายนอกจึงไม่เกิด สงครามโลกครั้งที่ 1 เราก็ไม่กระเทือน สงครามโลกครั้งที่ 2 เราก็ไม่กระเทือน สงครามที่เราถูกญี่ปุ่นทำลาย นิยายเราก็ยังรักญี่ปุ่น เรายังรักโกโบริ ขณะที่ประเทศอื่นที่เผชิญเหตุการณ์เช่นนี้ไม่สามารถเขียนแบบนี้ได้เลย ประวัติศาสตร์ของเราในรูปแบบนั้นไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นจินตนาการที่คนส่วนหนึ่งอยากให้เป็น เด็กบางส่วนจึงรู้สึกได้ว่าว่ามันเป็นนิยาย เป็นนิทาน นี่คือภาพรวมของความเป็นจริง กับประวัติศาสตร์ความรับรู้ของสังคมไทย คราวนี้ พอเรามาดูเหตุการณ์ เดือน ตุลาฯทั้ง 2 ครั้ง รวมทั้งพฤษภาฯ 2535 มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ประวัติศาสตร์เหล่านี้ มันไม่มีที่ทางในสังคมไทย เพราะเหตุการณ์เหล่านี้มันไม่มีบรรยากาศของความสมานฉันท์ ความสามัคคี
@ คือไม่ลงรอยกับขนบของประวัติศาสตร์ที่เน้นความสมานฉันท์ ?
ธเนศ : ประเด็นหนึ่งที่เหมือนกันคือ สังคมไทยไม่มีที่ให้เหตุการณ์เหล่านี้ในประวัติศาสตร์ แต่ปรากฏว่าเหตุการณ์และผลสะเทือน ที่ส่งทอดต่อไปยังผู้คนเหล่านั้น มันก็ยังคงดำรงอยู่ เขาก็ยังมีความทรงจำ และประวัติศาสตร์ยังคงถูกถ่ายทอดผ่านบุคคล ต่างๆ เช่นที่ทุกปีก็ยังมีการรำลึก ไม่ใช่แค่เดือนตุลาฯ แต่ยังมีการรำลึก 24 มิถุนา ( พ.ศ.2475 วันก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยคณะราษฎร ) และการรำลึกเหตุการณ์พฤษภาเลือด ( พฤษภาทมิฬ 2535 )
เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าประวัติศาสตร์เดือนตุลาฯ ช่วยเน้นบางสิ่ง คือเหตุการณ์ เดือนตุลาฯ เริ่มพูดถึง ความแตกแยก มากขึ้น เน้นที่จุดแตกแยกไม่ใช่จุดสมานฉันท์ ในแง่หนึ่ง นี่คือความไม่ลงรอยของประวัติศาสตร์ จึงทำให้ฝ่ายที่เป็นทางการ หรือเจ้าหน้าที่ที่เขาดูแล มองว่ามีปัญหา ทำอย่างไร ไม่ให้มันเดินต่อไปได้ แต่เขาก็ปิดกั้นไม่ได้
เพราะกรณี ของ 6 ตุลาฯ เป็นประวัติศาสตร์ที่เมื่อพูดแล้ว มันจะเห็นความแตกแยก เห็นความขัดแย้งที่มันรุนแรง เพราะมันมีการสังหารโหดแบบรวมหมู่ เป็นความจงใจ ตั้งใจ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ขณะที่ 14 ตุลาฯ กรณีที่ตำรวจตีพวกเดินขบวนที่บริเวณสวนจิตรฯ อาจยังเป็นไปได้ว่าเนื่องจากเพราะความหงุดหงิด เหนื่อยล้า ที่มีการชุมนุมมาแล้วหลายวัน
แต่เหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาฯ เป็นความจงใจ หรือฆาตกรรมทางการเมือง ทั้งแขวนคอ เผาเป็นครึ่งค่อนวัน และคนที่มีส่วนร่วมจากฝ่ายรัฐก็มีทั้งตำรวจตระเวณชายแดน ทหารก็มีฝ่ายกอ.รมน. เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่ผู้ใช้อำนาจรัฐสังหารประชาชน ซึ่ง ประชาชนไม่ว่าเขาจะผิดหรือถูกก็ไม่ควรถูกปราบปรามอย่างนั้น แต่ปัจจุบันนี้ เรื่องนี้ก็ยังไม่มีการขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมเช่นศาล แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าหน้าที่รัฐก็ปฏิเสธไม่ได้ จะเขียนอย่างไร มันก็คือเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่รัฐสังหารประชาชนที่ออกมาประท้วง
@ ขอย้อนกลับไปช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ บ้าง ทราบว่าคุณเคยเป็นสมาชิกสภาหน้าโดม?
ธเนศ : ผมเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเลยล่ะ สภาหน้าโดม ตั้งก่อน 14 ตุลาฯ 2516 คือเราก่อตั้ง ปี 2513 เพราะปี 2512 มีเลือกตั้งของ จอมพลถนอม ตอนจะเลือกตั้งเขาก็มีการรณรงค์ การเลือกตั้ง ตอนนั้น เราเป็นชาวรัฐศาสตร์ เราก็คุยกันทุกเช้า เราคุยกันเรื่องการเมืองอยู่แล้ว แต่คุยกันในรูปแบบที่ยังไม่เป็นทางการ เราก็ทำให้เป็นกลุ่มที่ทุกคนรู้ว่าเป็นที่ที่พูดคุยเรื่องการเมือง ตอนนั้น เรามักจะนั่งที่หน้าคณะรัฐศาสตร์ มันก็ไม่เป็นกิจลักษณะ มันไม่เป็นทางการ ในที่สุด วันหนึ่ง ก็นัดกัน รวมตัวกันได้ 16 คนแล้วเราก็เดินไปที่หน้าโดมที่ตอนนั้นยังเป็นสนามเทนนิส เป็นสนามหญ้า เราก็ตัดสินใจ ว่า เอาตรงนี้แหละ ไว้มาพูดคุยกัน แล้วก็ชวนคนมาร่วมฟัง
ตอนนั้น จรัล ( ดิษฐาอภิชัย ) ก็พูดว่า งั้นเราก็ต้องมีชื่อ จรัลเป็นคนเสนอ เออ เราก็เป็นสภานะ แล้วตอนนี้เราก็มานั่งอยู่หน้าโดม งั้นก็เรียก สภาหน้าโดมแล้วกัน แล้วผมก็พิมพ์ใบปลิวไปแปะ ว่าสภาหน้าโดมนี้มีใครบ้างเป็นผู้ก่อตั้ง เราจะนัดกันทุกวันศุกร์ บ่าย 3 มาพูดกันเรื่องการเมือง ก็มีคนมานั่งฟังนะ มหาวิทยาลัยเขาก็ไม่ว่าอะไร
ครั้งหนึ่งช่วงใกล้เลือกตั้ง มีการหาเสียง เราเคยเชิญคุณประพันธ์ศักดิ์ กมลเพชร มาหาเสียง ก็ให้สถานที่เขาได้พูด แล้วตอนนั้น ธรรมศาสตร์มีเรียนภาคค่ำ เขาก็มาว่าเราว่าหนวกหู เราก็เถียงเขา ว่า ประชาธิปไตยนะ ต้องมีเสรีภาพ การเรียนเป็นเรื่องรอง ต้องให้การเมืองก่อน ( หัวเราะ ) คือเราก็ถูกมองว่าเป็นพวกเพี้ยนๆ เป็นคนส่วนน้อย ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ ก็ไม่มีใครคิดว่าจะมีผลสะเทือนอะไร ผมนึกๆ ย้อนไปแล้วก็ตลกดี
@ ประวัติศาสตร์บันทึกไว้แล้วว่า สภาหน้าโดมก็ถือเป็นหนึ่งในส่วนริเริ่ม
ธเนศ : ก็เพราะหลังจากนั้น เราก็ทำกิจกรรมแล้วไปปะทะกับพลังอื่นๆ คือ อย่างเช่น เราต่อต้านฟุตบอลประเพณี ( จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ) เขาก็จะมาถล่มเรา คือสร้างสิ่งที่เรียกว่า วิวาทะ ความคิดทางการเมืองก็เริ่มชัดขึ้น แต่ตอนนั้นก็แปลก คือ ที่อื่นก็คิดคล้ายๆ กันนะ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรก็มี สภากาแฟ, ที่จุฬาฯ มีชมรมฟื้นฟูโซตัสใหม่ แต่ที่ ธรรมศาสตร์ แปลกตรงที่ ไม่ได้มีแค่สภาหน้าโดม คือสภาหน้าโดม นี่เป็นพวกคณะรัฐศาสตร์ แต่คณะอื่นเช่น คณะนิติศาสตร์ เขาก็มีนิติศึกษา, คณะเศรษฐศาสตร์ เขาก็มีเศรษฐธรรม นอกจากนี้ ธรรมศาสตร์ก็มีชมรมผู้หญิง ด้วย คือตอนนั้น มีกลุ่มการเมือง อย่างน้อย 4 กลุ่มในธรรมศาสตร์ คือเข้มข้นมาก
กลุ่มผู้หญิง กลุ่มกรรมกรอ้อมน้อยก็มี กลุ่มผู้หญิงที่ร่วมเคลื่อนไหวกับเสกสรรค์ ( ประเสริฐกุล ) ก็มี ซึ่งหลายคนในวันนั้น ที่ยังแอคทีฟอยู่ในวันนี้ก็มี
@ เมื่อหลังจบเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ สภาหน้าโดมเป็นอย่างไร
ธเนศ : เมื่อจบ 14 ตุลาฯ สภาหน้าโดมก็สลายเลย คือตอน 14 ตุลาฯ เราช่วยตั้งเวทีที่ อ.เสก ( เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ) ขึ้นไปพูด คือก่อนเกิดการเดินเรียกร้องรัฐธรรมนูญ กลุ่มสภาหน้าโดมประชุมกันว่าจะจัดกิจกรรมประท้วงสงครามเวียดนามของสหรัฐฯคือต่อต้าน อเมริกา แล้วตอนปี 2513 เราก็พิมพ์ หนังสือที่ต่อต้านภัยขาว คือต่อต้านมหาอำนาจ ต่อต้านสงครามเวียดนาม
จริงๆ แล้ว ตอนนั้น ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาฯ ( ศนนท. ) ก็ขึ้นมานำ คือก่อนหน้านี้ เขาก็มีมาก่อนแล้ว เพียงแต่ยังง่อนแง่น คือการเคลื่อนไหวของกลุ่มอิสระคล่องตัวกว่า แต่พอหลัง 14 ตุลาฯ แล้ว เมื่อ อ.สัญญา ธรรมศักดิ์ขึ้นมาเป็นนายกฯ ก็นำเอาศูนย์นิสิตฯ มาช่วย เราก็สลายเลย ส่วนเสกสรรค์ เขาก็ไปตั้งกลุ่มของเขา คือกลุ่มธรรมศาสตร์เสรี อะไรตามมา ต่อมาไปร่วมกับกลุ่มนักศึกษาสถาบันอื่นจัดตั้งเป็นสหพันธ์นักศึกษาเสรีแห่งประเทศไทย เพราะศูนย์นิสิตฯ ไม่ได้จับเรื่อง กรรมกร ชาวนามากนัก อ.เสก เขาก็เอาพวกนักศึกษาอีกกลุ่มไปตั้ง แล้วธีรยุทธ ( บุญมี ) กับ พิภพ ( ธงไชย ) ก็แยกไปตั้งอีกกลุ่มคือกลุ่มประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(ปช.ปช.) ( หมายเหตุผู้เขียน-ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ เสกสรรค์ ประเสริฐกลุ จรัล ดิษฐาอภิชัยและเทียนชัย วงษ์ชัยสุวรรณล้วนเป็นอดีตสมาชิกสภาหน้าโดม )
คือกล่าวได้ว่ากลุ่มนักศึกษาอิสระเล็กเกินไปแล้ว เพราะนักศึกษาไปเล่นการเมืองระดับชาติแล้ว มีการเลือกตั้งใหญ่ มีพรรคการเมือง อ ปราโมทย์(นาครทรรพ) ก็ไปตั้งพรรคการเมืองพลังใหม่ อ.บุญสนอง(บุณโยทยาน) ก็ไปตั้งพรรค สังคมนิยม คือกลุ่มอิสระนั้นเล่นการเมืองในมหาวิทยาลัย สภาหน้าโดมก็เป็นกลุ่มที่เล่นการเมืองในมหาวิทยาลัย แต่หลัง 14 ตุลาฯ ขบวนการนักศึกษา ไปเล่นการเมืองระดับชาติ ดังนั้น กลุ่มอิสระจึงหมดความหมาย สภาหน้าโดมจะไปล่าลายเซ็นต์ใคร เขาไม่มีใครมาเซ็นต์หรอก เพราะต้องเป็นพรรค หรือเป็นศูนย์กลางนิสิต เขาไปรวมกันที่ ศนนท. เป็นส่วนใหญ่
สภาหน้าโดมเราก็สลายไปโดยอัตโนมัติ ปิดตัวกลุ่มอิสระ ขบวนการนักศึกษาเข้าสู่การเมืองระดับชาติ อย่างเต็มตัว
ผมว่านี่เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ที่ยังไม่มีใครพูดถึง คือจากขบวนการนักศึกษากลุ่มอิสระ ไปสู่องค์กรการเมืองระดับชาติ
@ การที่นักศึกษาก้าวไปสู่การเมืองระดับชาติ เป็นหนึ่งในปมสำคัญที่นำไปสู่เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ หรือไม่
ธเนศ : ใช่ ต่อเนื่องไปจนถึง 6 ตุลาฯ เพราะเมื่อไปสู่การเมืองระดับชาติ ทำให้นักศึกษากลายเป็นเป้า ในวันที่ 6 ตุลาฯ ถึงต้องปราบ เพราะเราไม่ใช่กลุ่มการเมืองในมหา’ลัยแล้ว เรากลายเป็นกลุ่มการเมืองนอกมหา’ลัย ทำให้เรากลายเป็นเป้า กลุ่มกระทิงแดง เขาก็กล่าวหาว่าเราไปปลุกระดมกรรมกร ชาวนา
เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ มีการตระเตรียมกันว่าจะเอานักศึกษาลง ต้องปราบ เพราะตอนนั้น ความคิดของเรามันพัฒนาไปเต็มขั้นแล้ว มันไม่ใช่แค่เหมือนตอนก่อน 14 ตุลาฯ นักศึกษายังไม่คิดเรื่องการเมือง เพราะรัฐธรรมนูญ หรือรัฐบาลตอนนั้นไม่เอื้อให้ทำอะไร เราทำไปเราก็กลัวถูกกล่าวหาว่าเป็น คอมมิวนิสต์ กลัวว่ารัฐบาลจะมาตามรอยเราได้ไหม แต่พอหลัง 14 ตุลาฯ ทุกอย่างก็เปลี่ยน เปิดกว้าง พรรคสังคมนิยมก็เกิดขึ้นมา แม้แต่ หม่อมเสนีย์ ปราโมช ยังพูดเลยว่า พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังเป็นสังคมนิยม แต่เป็นอ่อนๆ นะ เพราะฉะนั้น เราก็เลยยิ่งชัวร์ว่าที่เราคิดตอนนี้ มันถูกแน่ๆ มันไปได้
เพียงแต่กลุ่มการเมือง เขาไม่กล้า เราเลยคิดว่าถ้าเราหนุน เราเชียร์ ให้นักการเมืองเดิน แนวคิดของเรามันก็น่าจะไปได้
แต่ฝ่ายต้านเขาก็เล่นแรงเลยว่าถ้าเขาเอานักการเมืองลงไม่ได้ ก็เอานักศึกษาลง
@ จากยุคเฟื่องฟูของประชาธิปไตยหลัง 14 ตุลาฯ กระทั่ง นักศึกษาเข้าสู่การเมืองระดับชาติ คุณมองเห็นสัญญาณอันตรายอะไรบ้าง ก่อนเหตุการณ์ล้อมปราบ 6 ตุลาฯ 2519
ธเนศ : ผมเห็นสัญญาณอันตรายตั้งแต่ต้นปี 2518 คือพูดง่ายๆ ว่า จากข่าว จากข้อมูลที่เราได้มา เรารับรู้ว่ามันมีเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงทุกอาทิตย์เลย และมีคนมาแทรกแซงอยู่บ่อยครั้ง ประเมินรวมๆ แล้ว มีคนถูกโจมตีเยอะ ทั้งชาวนา เกษตรกร กรรมกร ถูกลอบยิง ผู้นำนักศึกษาก็ถูกลอบยิง ผมยังรู้สึกเลยว่าไม่รู้เราจะไปได้รอดสักกี่น้ำ เพียงแต่ ประเมินไม่ได้ว่าจะจบลงอย่างไร จะมีรัฐประหารไหม เพราะเราไม่รู้ว่าฝ่ายทหารแท้ที่จริงแล้วใครนำ เราคิดว่าฝ่ายการเมือง ตอนนั้นยังคุมได้ ทหารก็คงยังออกมาไม่ได้ ตอนนั้น เราก็คิดว่า สงัด ชลออยู่ก็ไม่มีใครรู้จัก คงไม่มีอะไร เรานึกไม่ออก ว่าจะแรงขนาดไหน
@ ตอนเหตุการณ์ที่มีการเล่นละครที่ลานโพธิ์ และถูกหนังสือพิมพ์นำภาพไปตกแต่ง ปลุกระดมว่านักศึกษาหมิ่นองค์รัชทายาท คุณเห็นภาพที่ถูกตกแต่งในหนังสือพิมพ์แล้ว ประเมินสถานการณ์อย่างไร
ธเนศ : ตอนนั้น ผมสอนอยู่ที่ มช. ( มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ) ผมเห็นภาพจากหนังสือพิมพ์ ผมก็ว่าเดาว่าเหตุการณ์ก็ตึงเครียดแล้ว ที่ มช. เองนักศึกษาก็ต่อต้านการลอบสังหารในเหตุการณ์ครั้งนั้น และที่ มช. ก็มีเหตุการณ์รุนแรงมาก เพราะกลุ่มกระทิงแดงก็บุกเข้ามาถล่มนักศึกษา พวกกระทิงแดงปีนรั้วเข้ามา นักศึกษา ก็วิ่งหนี พวกเราก็พานักศึกษาไปช่วยกันล็อคประตู ไม่ให้เขาเข้ามาได้ ก็ชุลมุนพอสมควร ในช่วงนั้น พ่อหลวงอินถา ก็ถูกยิง ปี 2518 อาจารย์บุญสนองก็ถูกยิง ปี 2518 เช่นเดียวกัน ปี 2518 เด็กนักเรียนเทคนิค มช. ก็ถูกวางระเบิดตาย ช่วงนั้นเคยมีคนมาบอกผมถึงขั้นว่า เวลานอนอย่านอนที่บ้าน ต้องย้ายที่นอน เวลาเดินก็ต้องคอยสังเกตุว่ามีรถมอร์เตอร์ไซค์ขับตามไหม
@ : ตอนนี้ อดีตนักศึกษาหลายคน ที่อยู่ในเหตุการณ์ล้อมปราบ,เคยถูกจับในเหตุการณ์6 ตุลาฯ อย่างเช่น สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, จรัล ดิษฐาอภิชัย, วัฒน์ วรรลยางกูล หลายคนในวันนั้น ดูเหมือนชะตากรรมหมุนกลับมาซ้ำจุดเดิม
ธเนศ : ก็ต้องดูว่าเขาอยู่กับความจริงชุดไหน หากในแง่หนึ่งเขาสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อเสรีภาพ ก็หมายความว่าสิ่งที่เขาสู้มา 40 กว่าปี มันยังไม่พ้น บางครั้งคือในปี 2535 หรือปี 2540 ( หมายเหตุผู้เขียน- ปี 2540 มีรัฐธรรมนูญที่ถือว่ายึดโยงกับประชาชนมากที่สุดครั้งหนึ่ง ) มันดูเหมือนจะพ้นแล้ว แต่มันก็ไม่พ้น
ผมคิดว่า คนอย่างจรัล, สมศักดิ์ ก็เป็นตัวอย่างของแกนนำกลุ่มประชาชนฝ่ายหนึ่ง ขณะที่แกนนำของประชาชนอีกฝ่ายหนึ่งก็มี ขึ้นอยู่กับว่า สถานการณ์แต่ละช่วงเอื้อต่อฝ่ายไหน
ประชาชนส่วนหนึ่งเขาอาจจะมีมุมมองเรื่องประชาธิปไตยในแง่หนึ่งและประชาธิปไตยแบบของเขาต่อต้านระบบทักษิณ แต่ขบวนการนั้นก็ปะทะกับประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่สุดท้ายแล้ว ขบวนการประชาธิปไตยเหล่านั้น มันไม่เปิดไปสู่การเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ และเปิดทาง เปิดประตูให้กองทัพก้าวเข้ามา
เอาเข้าจริงแล้ว มันดูเหมือนว่าขบวนการประชาธิปไตยของเราที่ฝ่าฟันขึ้นมา สุดท้ายแล้วก็เป็นขบวนการประชาชนด้วยกันนั่นเองที่มีส่วนทำลายผลพวงทั้งหมดที่สร้างมาลงไป ซึ่งอันนี้ มันก็สะท้อนถึงปัญหาพื้นฐานของมุมมองด้านรัฐศาสตร์ว่า การเคลื่อนไหวทางการการเมืองใดๆ ควรต้องมีความเป็นสถาบันรองรับหรือไม่ คือมีสถาบันการเมืองที่ให้การรองรับ ไม่ใช่ มีแค่แกนนำแล้วเคลื่อนพลเป็นหมื่นเป็นแสน จะเอานั่นลง เอานี่ขึ้น เพราะเมื่อไม่มีความเป็นสถาบันชัดเจน มันต่อรองไม่ได้
สถาบันประชาธิปไตยของฝ่ายประชาชนของเรายังอ่อน หรือที่มีก็เปิดช่องให้กับการตีความที่อีกฝ่ายก็มุ่งจะมาล้มอีกฝ่ายเลย เช่น โจมตีว่าอีกฝ่ายคือปัญหา หรือประเด็นเรื่องการคอร์รัปชั่น ก็มีทุกที่ทั่วโลก แต่สิ่งที่ควรทำคือการใช้กระบวนการตรวจสอบและดำเนินคดีทางกฎหมายให้เข้มข้น จริงจัง ซึ่งในทางปฏิบัติคือการมีระบบรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพที่มีความรับผิดชอบ เพื่อสร้างการเปลี่ยนผ่านอำนาจรัฐอย่างสันติและต่อเนื่อง แต่กลุ่มพลังการเมืองของเราเลือกใช้กติกานอกระบบเปิดช่องให้แก่ฝ่ายมีกำลังอาวุธในมือเข้ามาแทรกแซงการเมืองได้อย่างไม่มีข้อค้านเขาได้ นั่นคือที่มาของการเลือกใช้ยาแรงที่ถึงขั้นมาสู่จุดนี้ได้
จุดอ่อนของขบวนการประชาชนที่ผ่านมาในแต่ละประเทศ เปลี่ยนไม่ผ่านก็เพราะเหตุนี้ เหมือนเหตุการณ์ทวนกลับมาที่เก่าอีก ทั้งที่หลายอย่างเราเดินไปแล้ว ไปสู่พื้นที่ ใหม่ วุฒิภาวะใหม่ แต่โครงสร้างเก่า ดึงทุกอย่างกลับไปสู่ที่เก่าและทำลายคน ทำลายบุคลากรลงไปด้วยวิธีที่สั้นที่สุด
@ : หอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ มีบทบันทึกเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ มากแค่ไหน เพียงพอหรือยัง
ธเนศ : ยังต้องการอีกเยอะ ประวัติศาสตร์การเมืองส่วนนี้ เป็นประวัติศาสตร์ที่อำนาจรัฐไม่ค่อยยอมรับ และกลุ่มคนที่มีอำนาจเก่าไม่ค่อยยอมรับ เพราะฉะนั้นประวัติศาสตร์ส่วนนี้ ที่มีความสำคัญจะค่อยๆ หายไป ลดไป ถ้าเราไม่เริ่มเก็บ ที่ผ่านมาก็มีการริเริ่มเก็บจากการผลักดันของ อ ชาญวิทย์ ( เกษตรศิริ ) แต่ประวัติศาสตร์ 6 ตุลาฯ ก็ยังต้องการข้อเท็จจริงอีกเยอะ เพียงแต่ตอนนี้ แค่สถานที่ที่จะเก็บรักษาสิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่มีเลย
…
ทั้งหมดนี่ คือ แง่คิดที่ฝากไว้ แด่เดือนตุลาฯ อันเงียบเหงา แห่งปี พ.ศ.2557
( อ่านประกอบ : รำลึกอดีต “ฅนเดือนตุลา” กับจุดยืน (วันนี้) ที่อยู่คนละขั้วการเมือง )
ภาพประกอบจาก : ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ
