“รมว.คลัง” เตรียมโยกเงินสำรองตั้งกองทุนมั่งคั่ง “กรณ์” อัดการเมืองแทรกแซงแบงค์ชาติ
รมว.คลังเอาแน่โยกเงินกองทุนสำรองฯ ตั้งกองทุนมั่งคั่ง อ้อนธนาคารโลกศึกษา พร้อมชวนเอดีบีร่วมพัฒนาอินฟราสตรัคเจอร์ฟันด์ "กรณ์"อัดทันทีการเมืองแทรกแซงแบงก์ชาติ เตือนคิดให้รอบคอบ
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มีผู้แทนจากองค์กรการเงินระหว่างประเทศ 2 องค์กร ได้แก่ ธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเชีย(เอดีบี)ได้มาเยี่ยมคารวะในโอกาสที่ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง(รมว.คลัง) เข้ารับตำแหน่งใหม่
ทั้งนี้ผู้แทนธนาคารโลกได้รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการของความร่วมมือระหว่างกลุ่มธนาคารโลกกับประเทศไทย เช่น การให้ความช่วยเหลือทางวิชาการในด้านปฏิรูประบบภาษี โครงการประเมินการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ การจัดทำรายงานการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น การเจริญเติบโตสีเขียว โครงการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน และการพัฒนาระบบการเงินฐานราก
"รมว.คลัง สนใจผลการศึกษาของธนาคารโลกเรื่องปฏิรูประบบภาษี เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดระบบภาษีที่ดึงดูดการลงทุนต่างประเทศ และขอให้ธนาคารโลกศึกษาแนวทางการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่ง (Sovereign Wealth Funds) ของประเทศไทย นอกจากนี้ยังเชิญชวนให้บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC) เข้ามาร่วมพัฒนาระบบการเงินฐานรากของไทย โดยเฉพาะธนาคารไปรษณีย์”
นายนริศ กล่าวว่า รมว.คลังยังแจ้งผู้แทนธนาคารโลกว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญเกี่ยวการแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นในองค์กร โดยจะจัดตั้งคณะกรรมการมาดูแล กำหนดกฎระเบียบเพื่อสร้างความโปร่งใสและสร้างอุปสรรคให้แก่ผู้จ่ายสินบน ซึ่งธนาคารโลกยินดีให้ความร่วมมือในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากธนาคารโลกได้มีความร่วมมือกับภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนการพบกับตัวแทนเอดีบี รมว.คลัง ได้เชิญชวนให้เข้ามาพัฒนากองทุนร่วมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไทย ที่จะดำเนินการได้ในอนาคตอันใกล้นี้.
ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีรัฐบาลมีเนวคิดตั้งกองทุนมั่งคั่ง โดยนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปลงทุน ว่าไม่ใช่หน้าที่ที่กระทรวงการคลังหรือฝ่ายการเมืองจะพิจารณา แต่เป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เป็นผู้พิจารณาว่ามีเงินทุนสำรองเพียงพอหรือไม่ หรือในส่วนที่นำมาลงทุนได้ อีกทั้งการลงทุนของกองทุนมั่งคั่ง ควรเป็นการลงทุนในต่างประเทศ หากนำมาลงทุนในประเทศและเกิดปัญหาจะยิ่งส่งผลกระทบ
"การเมืองไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ รมว.คลังที่ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ ทำให้เกิดความสับสน ไม่ควรเข้ามายุ่ง ไม่เช่นนั้นแค่เริ่มต้นจากฝั่งการเมืองก็ผิดแล้ว ควรลดดีกรีทางการเมืองลง"
อดีต รมว.คลัง กล่าวอีกว่า การนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง เพราะจะกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติ สิ่งที่ปรากฎวันนี้คือนักการเมืองมาบอกว่าควรไปลงทุนที่นั่นที่นี่ เป็นการชี้นโยบายไปยัง ธปท. เป็นการพยายามแทรกแซงการทำงานของ ธปท. และทำให้ประชาชนสับสน ทั้งที่ควรไปคุยกันเงียบๆ เมื่อได้ข้อสรุปแล้วค่อยอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ. 
