ยุติธรรมที่ไม่เท่าเทียมมีอยู่จริง “วันชัย” เผยลูกนักการเมือง-คนรวยที่มีเงิน มักลอยนวล "

"พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น" แฉ ระบบยุติธรรมไทยซื้อขายได้ แถมปล่อยให้มีผู้เล่นเพียงไม่กี่คน แนะ เปิดพื้นที่ให้คนนอกตรวจสอบ ด้านรองอธิบดีอัยการฯ เผย ระบบยุติธรรมไร้ประสิทธิภาพ ต้องแก้ที่โครงสร้าง
วันที่ 5 กันยายน โครงการปริญญาโท สาขาการบริหารงานยุติธรรม คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนาเชิงวิชาการเรื่อง “ทิศทางกระบวนการยุติธรรมไทยในอนาคต” ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพฯ โดยมีนายวัยชัย รุจนวงศ์ รองอธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภาสรรหา พล.ต.ต. ดร.ปัญญา มาเม่น รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และนายภีม ธงสันติ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ร่วมเสวนา
นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภาสรรหา กล่าวว่า ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 81 ว่าด้วยแนวนโยบายด้านกฎหมายและกระบวนยุติธรรม ถือเป็นธงในการปฏิบัติของรัฐ ไม่ว่าจะรัฐบาลอภิสิทธิ์ ยิ่งลักษณ์ หรือรัฐบาลทักษิณในอนาคตก็ตาม ซึ่งนั่นหมายความว่า การปฏิบัติและการดำเนินนโยบายของรัฐต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรมและทั่วถึง อีกทั้งรัฐต้องเห็นว่าการช่วยเหลือประชาชนเป็นเรื่องใหญ่ เพราะในสภาพความเป็นจริงแล้วคนจน คนรวย ไพร่ อำมาตย์ได้รับความยุติธรรมไม่เท่ากัน ดังนั้น รัฐต้องทำให้ธงการปฏิบัติงานเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
“ความยุติธรรมเป็นเรื่องใหญ่ ชนิดที่ว่าเจ็บป่วยไม่มีข้าวกินยังพอทน แต่หากไม่ได้รับความยุติธรรมต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ เพราะความยุติธรรมเป็นเรื่องของใจ”
สมาชิกวุฒิสภาสรรหา กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีการตั้งคำถามกันมากว่า คนมีเงิน มีอำนาจ มีพรรคพวก แม้จะโกงเงินหลวงเป็นแสนล้าน แต่กลับไม่ได้รับการลงโทษ เพราะมีกระบวนการตรวจสอบมากขั้นตอน รวมทั้งมีลักษณะของการแก้กฎหมายปรากฏอีกด้วย ขณะที่คนจนโกงเงินหลวงแค่ 20,000 บาทกลับโดนจำคุกเป็น 10 ปี
“นอกจากนี้คนที่มีสตางค์ประกันตัว มักจะลอยนวล ที่ชัดๆ ก็อย่างเช่น ลูกนักการเมือง ลูกคนรวย อีกทั้งยังมีการอ้างตัวบทกฎหมายจำนวนมากเพื่อต่อสู้ ส่วนคนจนการบังคับใช้กฎหมายกลับมีลักษณะตรงไปตรงมา สิ่งเหล่านี้จึงสะท้อนว่า สังคมไทยในขณะนี้ไม่มีความเท่าเทียมในการปฏิบัติอยู่จริง ดังนั้น แนวนโยบายของรัฐตามมาตรา 81 ดังกล่าวต้องเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมแก่ประชาชนทุกคน ขณะที่ประชาชนก็ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องให้เกิดการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญอีกทางหนึ่ง”
พล.ต.ต.ดร.ปัญญา มาเม่น รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่า ระบบยุติธรรมในสังคมปัจจุบัน เป็นไปในลักษณะที่ซื้อขายได้ เพราะเปิดโอกาสให้คนเพียงไม่กี่คนเป็นผู้เล่น ไม่ว่าจะในระดับตำรวจ อัยการ ศาล หรือกรมราชทัณฑ์ จนนำไปสู่ระบบยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม รวมทั้งระบบยุติธรรมที่ไร้ประสิทธิภาพ ไม่สามารถแสดงศักยภาพในเรื่องการป้องกันอาชญากรรมได้ จนผู้คนตกอยู่ในอาการหวาดระแวง ขณะเดียวกันในเรื่องการแก้ปัญหายาเสพติดก็พบว่า ระบบยุติธรรมในบ้านเราสามารถจับกุมได้เฉพาะผู้เสพหรือพ่อค้ารายย่อยเท่านั้น ส่วนตัวใหญ่กลับเอื้อมไม่ถึง ดังนั้น ทิศทางต่อไปของระบบยุติธรรม จะต้องเปิดกว้าง เปิดเผยให้คนนอกเข้าไปรวมในวงตรวจสอบได้ ทั้งในระดับตำรวจ อัยการ ศาล กรมราชทัณฑ์ดังกล่าว ไม่ใช่ปล่อยให้เล่นกันลำพัง
ด้านนายวันชัย รุจนวงศ์ รองอธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ กล่าวถึงปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมไทย โดยเฉพาะด้านคดีอาญาว่า เกิดจากการที่ประเทศไทยใช้ระบบกล่าวหา ซึ่งรัฐทำหน้าที่เป็นฝ่ายโจทย์ ขณะที่จำเลยต้องไปต่อสู้คดีด้วยตนเอง ระบบดังกล่าวจึงมีค่าใช้จ่าย และเงินกลายเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการยุติธรรม สุดท้ายจึงนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำ เพราะคนจนที่ไม่มีเงินประกันตัว
“ในระบบกล่าวหา ศักยภาพและฐานะของจำเลยมีผลอย่างมากต่อผลลัพธ์ทางคดี และแม้ว่าในระยะหลังศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลแรงงาน จะหันมาใช้ระบบไต่สวนมาใช้แล้วก็ตาม แต่เมื่อวิธีการปฏิบัติหรือวิธีพิจารณาความยังต้องเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย ระบบการไต่สวนก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ ดังนั้น ในอนาคตความเป็นธรรมจะเกิดขึ้นได้ คงต้องไปแก้ที่กันในระดับโครงสร้าง
นายวันชัย กล่าวถึงจุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมไทยคือ ไม่มีประสิทธิภาพในเรื่องการป้องกันคนหนี ซึ่งพบบ่อยครั้งว่า คนที่ได้รับประกันตัวแล้วหนีคดีมีจำนวนมาก รวมทั้งในส่วนชาวต่างชาติเอง นอกจากคดียาเสพติดที่ห้ามไม่ให้ประกันตัวแล้ว นอกจากนี้หนีคดีแทบจะ 100% แม้กระทั่งคดีข่มขืนก็ตาม ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศไทยใช้มาตรฐานเรื่องฐานะการเงินเป็นหลัก โดยไม่ดูศักยภาพ จึงไม่แปลกที่จะพบว่า นักโทษในคุกประมาณ 95% เป็นคนจนหรือไม่ก็พวกค้ายาเสพติด
ส่วนการปรับตัวในด้านกระบวนการยุติธรรมนั้น นายวันชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาเครื่องมือในการลงโทษของบ้านเรา มีการปรับตัวน้อย นั่นคือใช้วิธีประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับและยึดทรัพย์ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเลยตลอดระยะเวลา 50 ปี และถึงแม้ว่า ระยะหลังโทษประหารชีวิตจะมีน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่ปรับไปเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตแทน แต่ในส่วนของโทษปรับกลับมีอัตราที่น้อยมาก จนทำให้โทษปรับไม่เป็นที่นิยม สุดท้ายนักโทษก็มากขึ้นเรื่อยๆ
“บ้านเรายังไม่มีการสร้างกระบวนการยุติธรรมทางเลือก กระบวนการยุติธรรมสมานฉันท์ การประนีประนอมในชั้นศาล ทั้งคดีทางอาญาและทางแพ่ง เพื่อคัดกรองคดีที่ไม่สมควรเข้าสู่ระบบยุติธรรม จนทำให้เกิดปัญหาคดีล้นระบบตามมา ดังนั้น อนาคตต่อไปกระบวนการยุติธรรมต้องมีการปรับเปลี่ยนไม่สร้างภาระให้กับคนจน เปลี่ยนมาใช้ระบบไต่สวนแทน”
ขณะที่นายภีม ธงสันติ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา กล่าวถึงหน้าที่ของศาลว่า ประกอบด้วยการวินิจฉัยข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงและการคุ้มครองสิทธิของปัจเจกบุคคล แต่ปัจจุบันการทำหน้าที่ของศาลอาจไม่ถูกใจใครหลายคน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบ แต่เชื่อว่าเมื่อความจริงปรากฏก็จะคลี่คลายไปเอง
"ทั้งนี้ เพื่อให้ระบบยุติธรรมมีประสิทธิภาพ รวดเร็วและสะดวกมากขึ้น จึงได้มีการจัดตั้งศาลระดับจังหวัดขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ขณะเดียวกันก็ได้มีการแบ่งคดีที่มีลักษณะยาก ง่ายออกจากกัน เพื่อความรวดเร็วในการดำเนินคดี นอกจากนี้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการค้นหาความจริง รวมถึงแก้กฎหมายเรื่องการพิจาณาคดีในบางส่วนอีกด้วย เช่น การพิจารณาคดีผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนต์ เป็นต้น"
