ค้านไม่เอา "แก่งเสือเต้น" เอ็นจีโอ เสนอผันน้ำเข้าทุ่ง แทนสร้างเขื่อน
ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำฯ ชี้สร้างเขื่อนที่ผ่านมาไม่ตอบโจทย์ แถมสูญเสียพื้นที่ป่า 2 ล้านไร่ เสนอหยุดสร้างแก่งเสือเต้น เปลี่ยนเป็นจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ผันเข้าไปเก็บไร่นาแทน
เร็วๆ นี้ มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร จัดกิจกรรม “รำลึก 21 ปี สืบ นาคะเสถียร จากป่า สู่เมือง” ขึ้น ณ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ภายในงานมีการรายงานวิชาการหัวข้อ “ทำไมต้องค้านเขื่อน” โดย นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ
นายหาญณรงค์ กล่าวว่า เขื่อนถูกสร้างเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนา คนมองว่าประเทศจะพัฒนาได้ต้องมีเขื่อน โดยไม่รับรู้ว่าที่ผ่านมาผลกระทบจากการสร้างเขื่อน ทำให้ชาวบ้านที่ต้องถูกอพยพได้รับความเดือดร้อน จากประมาณ 40 เขื่อนในปัจจุบันยังไม่พบว่า มีชุมชนใดที่ได้ใช้น้ำจากชลประทานเลย
“ชุมชนที่ได้รับผลกระทบกว่า 2 หมื่นครอบครัว และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอีกประมาณมากกว่า 2 ล้านไร่ ไม่พบว่าชาวบ้านที่ต้องถูกย้ายจากการสร้างเขื่อน แล้วมีชีวิตดีขึ้นกว่าเดิม หรือย้ายไปแล้วได้ใช้น้ำจากเขื่อนที่สร้างขึ้นเลยสักแห่ง บางพื้นที่ที่ย้ายออกมาอยู่รอบๆเขื่อน ใช้เวลากว่า 20 ปีถึงจะได้ใช้น้ำประปา หรือกระแสไฟฟ้าที่มาจากเขื่อน”
ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ กล่าวอีกว่า เรื่องของการสร้างเขื่อน มีเรื่องของการจัดการน้ำเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่ผ่านมาเราไม่ได้มีการจัดการน้ำอย่างแท้จริง ประเทศไทยมีการวางแผนการใช้น้ำเกินกว่าตนเอง เช่น ในลุ่มน้ำมีน้ำอยู่ 2 พันล้านลูกบาศก์เมตร แต่เราวางแผนการใช้น้ำ 3 พันล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งต้องไปยืมน้ำจากลุ่มน้ำอื่นมาจากต่างประเทศ ซึ่งคงไม่มีประเทศไหนจะให้น้ำเรายืมได้
“ณ วันนี้ การจัดการน้ำในปัจจุบันต้องยอมรับและทำความเข้าใจให้ตรงกัน คือ เรื่องของน้ำท่วมนั้นยังต้องมีอยู่ ถ้านักการเมืองบอกว่าจัดการลุ่มน้ำนี้แล้วน้ำจะไม่ท่วมเลย นั่นคือคำโกหกตั้งแต่เริ่มพูด เพราะว่าระบบนิเวศน์น้ำท่วมเป็นระบบหนึ่งของประเทศไทย แต่วิธีการคิดคือต้องจัดการน้ำท่วมอย่างไรไม่ให้มีปัญหา และต้องจัดการควบคุมปัญหานั้นให้ได้ ให้ท่วมชุมชนน้อยที่สุด เราต้องนำข้อมูลทางสถิติของแต่ละลุ่มน้ำมาใช้ทุกครั้งเมื่อมีการพูดถึงการจัดการน้ำและการสร้างเขื่อน และต้องใช้อย่างจริงจัง พร้อมทั้งชาวบ้านเองก็ต้องมีข้อมูลเหล่านั้นด้วย จะได้ถกเถียงกันให้เข้าใจ”
นายหาญณรงค์ กล่าวสรุปว่า ฉะนั้นเหตุผลที่ต้องค้านเขื่อน แท้จริงแล้ว คือ การสร้างเขื่อนไม่ได้ตอบโจทย์ หรือวัตถุประสงค์อย่างแท้จริง นอกจากนี้อีกประการคือ การสร้างเขื่อนที่เหลือในปัจจุบันหรือแม้ตั้งแต่ในอดีต ทำให้ต้องสูญเสียพื้นที่ป่ากว่า 2 ล้านไร่
“ผมไม่เห็นด้วยกับการสูญเสียพื้นที่ป่าเพื่อนำมาสร้างเขื่อน ไม่เห็นด้วยกับการผลิตกระแสไฟฟ้าเพียง 5-6 ร้อยเมกะวัตต์ แล้วทำลายแม่น้ำทั้งระบบ ไม่เห็นด้วยกับการลงทุนที่มองไม่เห็นว่าความคุ้มมันอยู่ตรงไหน โดยเฉพาะการสร้าง เดินหน้าสร้างโดยไม่ชี้แจงวัตถุประสงค์ ไม่ทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และไม่เห็นด้วยกับการนำการเมืองมากดดันต่อวิถีชีวิตต่อผลกระทบต่อการสร้างเขื่อน”
นอกจากนี้ ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ กล่าวถึงกรณีการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นว่า การสร้างเขื่อนยมบน ยมล่าง ก็ไม่ต่างอะไรกับการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น เพราะอยู่ในแนวลุ่มน้ำเดียวกัน ฉะนั้นจัดการ โดยการเอาน้ำเข้าไปในไร่นาของเกษตรกร โดยต้องเร่งการเก็บเกี่ยวให้เร็วขึ้น
“กรณีถ้าไม่เอาแก่งเสือเต้นจะจัดการลุ่มน้ำยมอย่างไร ผมคิดว่า เราต้องเอาน้ำเข้าไปในไร่นา โดยต้องเร่งให้ชาวนาเกี่ยวข้าวเร็วขึ้น เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จ ข้าวไปอยู่ในนาก็ไม่เดือดร้อน เพราะคนบางระกำ สุโขทัย ไม่ปลูกข้าวในหลังเดือนกันยายน"นายหาญณรงค์ กล่าว และว่า ฉะนั้นมีวิธีการ น้ำจากลุ่มน้ำยมประมาณ 1 พันล้านลูกบาศก์เมตร ก็เอาเข้าทุ่งประมาณ 4 แสนไร่ เป็นการเอาน้ำเข้าไปเก็บแทนการสร้างเขื่อน แต่เดิมในลุ่มน้ำยมมีระบบพื้นที่ชุ่มน้ำอยู่แล้วประมาณ 5-6 ร้อยตารางกิโลเมตร แต่ปัจจุบันมีการสร้างมหาวิทยาลัย และหน่วยงานราชการ ซึ่งเคยเป็นที่เก็บน้ำ แต่พอมีการสร้างอาคารขึ้นมา "น้ำ" จึงต้องไปหาที่อยู่ใหม่ เช่น เป็นพื้นที่โซนทำการเกษตร เป็นต้น
