เตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ นักเศรษฐศาสตร์ หนุนรบ.สานต่อกองทุนเงินออมฯ
อ.เศรษฐศาสตร์ มธ. เผยคนวัยทำงานมีจำนวนลดลง ขณะที่ยอดผู้สูงอายุพุ่ง จี้รัฐส่งเสริมการออม สร้างหลักประกันให้คนชรามีรายได้เลี้ยงตนเอง ขณะที่ผู้บุกเบิกโครงการ NTA ถอดบทเรียน พบปี 2490-2500 ญี่ปุ่นอ่วมไม่ได้เตรียมความพร้อม ทั้งเจอวิกฤติเศรษฐกิจ จนทำให้เกิดปัญหาตามมา
วันที่ 6 กันยายน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดแถลงข่าวเพื่อนำเสนองานวิจัยเบื้องต้นเรื่อง “บัญชีเงินโอนประชาชาติ (National Transfer Account: NTA) การเตรียมความพร้อมด้านเศรษฐศาสตร์ เครื่องมือจัดการสังคมผู้สูงอายุ บทเรียนในเอเชียและประเทศไทย” ณ โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ โดยมี ดร.มัทนา พนานิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ศึกษาวิจัย และ ศ.นาโอะฮิโร โอกาวา จาก Nihon University Population Research Institute ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกโครงการ NTA ในประเทศญี่ปุ่น ร่วมแถลงข่าว
ดร.มัทนา กล่าวว่า ชีวิตคนเราในบางช่วงสามารถหารายได้จากการทำงานได้มากกว่าความต้องการใช้จ่าย ในทางกลับ บางช่วงก็หารายได้ได้น้อยกว่า เช่น วัยเด็ก วัยเริ่มทำงานและวัยสูงอายุ ดังนั้น จึงต้องมีวิธีการถ่ายโอน (Transfer) จากผู้ที่มีมาก เพื่อไปจุนเจือผู้ที่ขาด
“ที่ผ่านมาระบบถ่ายโอนดังกล่าวเกิดขึ้นผ่านกลไกครอบครัว พ่อแม่จุนเจือลูก หรือลูกจุนเจือพ่อแม่ที่สูงอายุ ขณะเดียวกันก็มีการจุนเจือผ่านกลไกของรัฐบาล (public transfer) อย่างเช่น การเก็บภาษี ที่นำรายได้ไปช่วยเหลือประชาชนในเรื่องการศึกษาฟรี การรักษาพยาบาลฟรี รวมทั้งเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ แต่ในอนาคตอาจทำได้ไม่ครอบคลุม เพราะตัวเลขในปี 2553 พบว่าประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุ 8.01 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 11.9 จากจำนวนประชากร 67.4 ล้าน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวจะถีบตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต ดังนั้น จึงต้องมีการจัดเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ”
ดร.มัทนา กล่าวถึงผลการศึกษา NTA โดยเปรียบเทียบระหว่างประชากรเขตเมืองและชนบทว่า การบริโภคของเฉลี่ยของประชากรในเขตเมืองอยู่ที่ประมาณ 103,137 บาทต่อคนต่อปี ขณะที่บริโภคในเขตชนบทจะมีรายจ่ายเฉลี่ย 67,456 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งน้อยกว่าของคนเมืองร้อยละ 35 โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ จะพบว่าผู้สูงอายุในชนบทจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าผู้สูงอายุเขตเมืองถึงร้อยละ 42
“ขณะที่สภาพการณ์ในปัจจุบันผู้สูงอายุมีในเขตเมืองมีรายได้จากการทำงาน สินทรัพย์และการจุนเจือจากครอบครัว ส่วนผู้สูงอายุในชนบทกลับพึ่งรายได้จากการทำงานและสินทรัพย์มากกว่าการจุนเจือจากครอบครัว ทั้งนี้ เนื่องจาก คนวัย 25-59 ปีที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองใช้รายได้ร้อยละ 52 เพื่อการใช้จ่ายส่วนตัว ร้อยละ 37 จุนเจือครอบครัว และอีกร้อยละ 12 จุนเจือผู้อื่นผ่านกลไกของรัฐบาล แต่คนชนบทมีสัดส่วนของรายได้น้อยกว่า จึงต้องใช้จ่ายถึงร้อยละ 77 ของรายได้ ทำให้มีเงินจุนเจือผู้อื่นไม่มากนัก ทำให้แนวโน้มของผู้สูงอายุในปัจจุบันจำต้องช่วยตนเองจากการทำงาน หรือมีรายได้จากสินทรัพย์มาชดเชย เพราะการจุนเจือจากครอบครัวเริ่มลดลง”
ดร.มัทนา กล่าวต่อว่า เมื่อประชากรมีสัดส่วนของผู้สูงอายุมากขึ้น การดูแลผู้สูงอายุจึงต้องมีการจัดระบบที่ดี อีกทั้งใน 4 ข้างหน้าอัตราคนวัยทำงานจะลดลง การพึ่งครอบครัวอย่างเดียวจึงไม่สามารถกระทำได้ ดังนั้น สังคมต้องเข้ามารองรับ ให้หลักประกันทางเศรษฐกิจ การเงินแก่ผู้สูงอายุ โดยเริ่มต้นจากการออม เพื่อทำให้ "ชิ้นเค้ก" มีขนาดใหญ่ขึ้น
“ประเทศไทยมีการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว แม้จะมีมูลค่าการออมที่ไม่มากนัก แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ควรได้รับการสานต่อจากรัฐบาลชุดปัจจุบัน ขณะเดียวกันในระยะยาว จะต้องมีการเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน เพื่อยืดระยะเวลาในการทำงานให้นานขึ้น เพราะการพึ่งการโอนจากรัฐบาลผ่านนโยบายประชานิยมเป็นสิ่งไม่ยั่งยืน อีกทั้งความไม่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่สูงจะเป็นการทำร้ายผู้สูงอายุทางอ้อม เพราะดอกเบี้ยจากเงินออมย่อมเพิ่มไม่ทันอัตราเงินเฟ้อแน่นอน”
ด้าน ศ.นาโอะฮิโร โอกาวา กล่าวถึงโครงการศึกษาบัญชีเงินโอนประชาชาติ เป็นบัญชีรายได้อีกแบบหนึ่งที่มีการวัดรายละเอียดด้านประชากร โดยเฉพาะรายได้จากการทำงาน รายจ่ายเพื่อการบริโภค และการโอนเงินในวัยต่างๆ ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งสูงอายุ ซึ่งโครงการดังกล่าวมีการศึกษาและวิจัยในหลายประเทศ เนื่องจากสถานการณ์ในประเทศในแถบเอเชียกำลังเปลี่ยนไป อัตราการเจริญพันธุ์ลดลง ขณะที่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อโครงสร้างทางครอบครัวเปลี่ยนแปลงไป ก็ส่งผลให้ลักษณะการใช้จ่ายเปลี่ยนแปลงไปด้วย ท้ายที่สุดย่อมมีผลต่อการกระจายทรัพยากร
“อย่างประเทศญี่ปุ่น หลังปี พ.ศ.2490-2500 มีปัญหาอย่างมากเรื่องอัตราการเกิดของประชากรลดลงถึงร้อยละ 50 ซึ่งนั่นหมายความว่า ผู้สูงอายุต้องมีมากขึ้น แต่ญี่ปุ่นก็ยังไม่ได้มีการเตรียมความพร้อม เพราะเห็นว่ารัฐบาลได้จัดระบบประกันสังคมไว้รองรับ สัญญาไว้มาก โดยไม่ได้ฉุกคิดว่า ประเทศได้ผ่านช่วงเวลาแห่งการตักตวงจากคนวัยทำงานไปแล้ว อีกทั้งยังไม่คาดคิดว่าประเทศจะมีวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้เกิดปัญหาตามมา ดังนั้น บทเรียนของญี่ปุ่น น่าจะนำมาสู่การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของประเทศไทยได้บ้าง”
ศ.นาโอะฮิโร โอกาวา กล่าวต่อว่า ในปีที่ผ่านมาประเทศญี่ปุ่นมีประชากรที่อายุมากกว่า 100 ปีจำนวน 44,000 คน ทำให้ต้องมีคนเข้ามาดูแล โดยเฉพาะทางด้านการเงิน แต่ขณะเดียวกันแนวคิดและความสามารถในการดูแลพ่อแม่ ผู้สูงอายุในญี่ปุ่นได้เปลี่ยนไป ภาระหน้าที่ในการดูแลผู้สูงอายุจึงตกแก่รัฐบาล ดังนั้น ในส่วนของประเทศไทยก็ต้องติดตามการเปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องหลักคิดและค่านิยมในการเลี้ยงดูพ่อแม่ ผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน เพื่อรัฐจะได้กำหนดนโยบายที่สอดคล้อง
