“เอ็นนู” หนุนขึ้นราคาข้าว ชี้เพิ่ม1.3 หมื่นทำได้ 1.5 หมื่น ก้าวกระโดดไป

“อดีตรองผจก.ธกส.” ชี้ประเด็นที่รัฐต้องเร่งดูแล คือ ให้มีความโปร่งใส หรือหากจะขาดทุนก็ต้องขาดทุนในหลักการที่ถูกต้อง แนะอนาคตเร่งส่งเสริมชาวนาปลูกข้าวพันธุ์ ดี มีเอกลักษณ์แข่งในตลาดโลก จะได้ไม่ต้องเดินเข้าวงจรรับจำนำอีก
เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดแถลงข่าว “กลับไปสู่การจำนำข้าวเปลือก” โดยเปิดเผยตัวเลขหนี้สินจากโครงการจำนำข้าวปี 2547/48 ถึงปี 2549/50 ว่า รัฐบาลมีหนี้คงค้างกับ ธ.ก.ส. เป็นจำนวน 1.408 ล้านบาท (ณ 31 ก.ค. 2554) สำหรับโครงการจำนำข้าวเปลือกระหว่างปี 2547 ถึงปี 2552 (ซึ่งรวมการจำนำข้าวในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช จนถึงสมัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วย) ซึ่งหนี้คงค้างดังกล่าวเป็นบัญชีจำแลงที่อยู่นอกระบบงบประมาณแผ่นดินนั้น
“ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย” สัมภาษณ์ นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ อดีตรองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และประธานเครือข่ายปฏิรูปเพื่อคุณภาพชีวิตเกษตรกร ในคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) เกี่ยวกับ “นโยบายรับจำนำข้าว” ที่รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะนำกลับมาใช้ใหม่และภาระหนี้สินจากการดำเนินตามมาตรการจำนำข้าว
นายเอ็นนู กล่าวว่า เมื่อพิจารณานโยบายรัฐบาลที่จะรับจำนำข้าว 25 ล้านตัน ในราคาที่สูงกว่าเดิมค่อนข้างมาก จากเดิมข้าวขาว 100% ปกติให้ราคาประมาณ 10,000 บาท ขณะนี้ยกระดับราคาเป็น 1,5000 บาท ข้าวหอมมะลิที่เคยมีราคา 15,000-16,000 บาท ก็ยกระดับเป็น 20,000 บาท เมื่อราคายิ่งเพิ่มสูงขึ้นมาก เกษตรกรก็ยิ่งแห่มาจำนำมาก เนื่องจากคงไม่มีโรงสีไหนกล้าให้ราคาสูงกว่าที่รัฐกำหนด
“ผมเห็นด้วยว่า ควรปรับให้ราคาขยับตัวขึ้น ไม่อย่างนั้นชาวนาก็จะเลิกทำนา แต่การที่เราขยับเร็วไป ด้วยตัวเลขก้าวกระโดดไกลไป ซึ่งตัวเลขที่พอดีสำหรับข้าวทั่วไปควรระอยู่ในราคา 12,000-13,000 บาท น่าจะหาช่องทางการตลาดระบายข้าวได้ เมื่อเพิ่มราคาสูงกว่าเดิม ก็คาดว่าจะต้องใช้เงินประมาณ 2 แสนล้านบาท หรือไม่ต่ำกว่า 2-3 เท่าจากของเก่าเพื่อดำเนินตามมาตรการจำนำข้าว”
นายเอ็นนู กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมารัฐบาลจะใช้เงินจากธ.ก.ส. แต่จุดที่น่าหนักใจคือเมื่อรับจำนำไปแล้ว รัฐจะหาวิธีระบายข้าวหรือขายข้าวออกได้มากน้อยแค่ไหน ก่อนอื่นกรรมการที่ทำหน้าที่ระบายข้าวต้องเข้าใจและยอมรับก่อนว่า ข้าวที่ขายออกไปจะได้ราคาต่ำกว่าต้นทุนอย่างแน่นอน และกรรมการขายข้าวมักจะกังวลเรื่องนี้ ทำให้ไม่ได้ขายหรือระบายออก
“รัฐบาลต้องยอมรับว่า ขาดทุนแน่นอน แต่ต้องมีหลักการพิจารณาที่เหมาะสมว่าจะขายอย่างไรในราคากลาง ทำอย่างไรให้ขาดทุนน้อย หรือขาดทุนแล้วมีเหตุผล ไม่อย่างนั้นข้าวจะค้างสต็อกไปเรื่อยๆ ส่งผลต่อผู้ซื้อและผู้ส่งออกทั้งในและต่างประเทศ ส่วนการระบายข้าว กระทรวงพาณิชย์ ผู้ส่งออก นักวิชาการ ต้องร่วมกันคิดให้เป็นปัญหาของประเทศ ไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องของรัฐบาลและข้าราชการที่ไม่ได้เก่งเรื่องธุรกิจ”
อดีตรองผจก.ธกส. กล่าวอีกว่า นโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบในแง่ "โครงสร้าง" ระบบการตลาดข้าว ซึ่งเคยฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่มีนโยบายประกันรายได้ กลายเป็นว่า ระบบตลาดของเอกชนจะต้องหยุดชะงักกลับมารับจ้างรัฐบาล รับจ้างแปรรูป รับจ้างเก็บข้าวมากกว่าที่จะดำเนินการด้วยตัวเองและเป็นไปตามกลไกตลาด ผู้ซื้อหรือผู้ส่งออกจะต้องกลับมา "วิ่งเต้น" ตามเดิม เพื่อให้ได้เป็นผู้ประมูลในราคาที่กำหนด ประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องติดตามดูแลว่ามีความโปร่งใสหรือไม่ ถึงแม้จะขาดทุนก็ต้องขาดทุนในหลักการและเหตุผลที่ถูกต้อง
“เมื่อรัฐบาลไม่มีทางถอย ต้องเดินหน้านโยบายตามที่ได้หาเสียงไว้ แน่นอนว่า ประโยชน์เฉพาะหน้าเป็นของชาวนา แต่รัฐบาลต้องไม่ลืมว่าต้องเข้ามาวางแผนดูแลภาระด้านงบประมาณอย่างใกล้ชิด ดูแลกระบวนการจำนำให้เป็นไปอย่างถูกต้องถึงมือชาวบ้านหรือไม่ ถ้าขาดทุนแล้วขาดทุนให้ชาวนาก็ยังพอฟังได้ เพราะนโยบายคาดหวังว่าชาวนาจะได้รับประโยชน์มากขึ้น เพียงแต่ว่าไปกำหนดราคาสูงมากและก้าวกระโดดเกินไป ที่อาจเกิดภาระผูกพันสะสมแง่การเมืองในปีต่อๆ จะไม่มีใครกล้ากำหนดราคาที่ต่ำกว่านี้ต่อไป”
กรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวถึงการสต็อกข้าวไว้นานจะมีค่าใช้จ่ายตามมา ทั้งค่าแปรรูป ค่าเก็บรักษา และเมื่อยิ่งเก็บนานคุณภาพก็ยิ่งด้อยลง ราคาก็จะลดลงตามคุณภาพข้าว เป็นการเสียหลายต่อ ซึ่งเป็นภาระใหญ่ของรัฐบาลที่จะหางบประมาณมาใช้คืน ธ.ก.ส. ทั้งของเก่าและของใหม่ที่จะสะสมไปเรื่อยๆ
“ทั้งนี้ มีปัญหาย่อยๆ ที่สำคัญ เช่น การควบคุมดูแลให้กระบวนการจำนำเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม ไม่เกิดการทุจริตคอรัปชั่นที่ทำให้เกษตรกรต้องออกมาเรียกร้อง การตรวจชั่งน้ำหนัก คุณภาพ ความชื้นทั้งหลาย ต้องดูแลว่าเกษตรกรจะได้รับเงินถูกต้องตามคุณภาพจริง ไม่ตกหล่น การเก็บรักษามีการตรวจสอบว่าข้าวเหล่านั้นอยู่ครบ คุณภาพถูกต้องตามที่ได้จำนำไว้ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาเก่าที่เคยเจอมาแล้ว ควรจะนำบทเรียนที่ได้มาป้องกันและติดตามแก้ไข”
สำหรับปัญหาระยะยาวที่รัฐบาลจะต้องวางมาตรเตรียมไว้ล่วงหน้านั้น นายเอ็นนู กล่าวว่า คือการพัฒนาความรู้ให้ชาวนาเรื่องลดต้นทุนการผลิต เพราะถ้าให้ราคาจำนำสูง โดยที่ชาวนาไม่ได้ลดต้นทุนการผลิต สุดท้ายชาวนาก็ได้ประโยชน์ไม่มากหรือแทบไม่ได้เลย รวมถึงต้องให้ชาวนาใส่ใจในพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ ไม่คำนึงแค่ผลผลิต หรือราคาขาย
“หากส่งเสริมให้ชาวนาปลูกข้าวพันธุ์ ดี ก็จะขายได้ราคาดี โดยไม่ต้องจำนำข้าว และข้าวก็มีเอกลักษณ์ที่จะไปแข่งขันในตลาดโลกได้ เพราะหากเข้าสู่สมาคมเศรษฐกิจอาเซียน แล้วราคาข้าวในบ้านเรายังสูงขนาดนี้ โดยไม่มีรัฐบาลไหนกล้าเข้ามาลดราคาลง จะเกิดผลสืบเนื่องทำให้ข้าวจากประเทศรอบๆ เราทะลักเข้ามาสวมสิทธิ์จำนำข้าวอย่างที่เป็นอยู่”
