'ดาวดิน'โต้การข่าวทหารมั่วยันไม่เคยรับเงินชู3นิ้ว
นศ.ดาวดิน โต้แม่ทัพภาค1 การข่าวทหารมั่ว ยันไม่เคยรับเงินจากนักการเมือง ให้ชู3นิ้ว ย้ำเคลื่อนไหวเพื่อสังคม
จากกรณีที่แม่ทัพภาคที่ 1 ระบุว่า นักศึกษาดาวดิน 5 คน ออกมาชู 3 นิ้วต่อหน้าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า ได้รับเงินจากนักการเมืองในพื้นที่ 50,000 บาท เพื่อให้มาเคลื่อนไหวกลบข่าวการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีนั้น
เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 1 ธ.ค. 57 กลุ่มเผยแพร่กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม(ดาวดิน) ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดส่งถึงนพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยเนื้อหาระบุว่า ด้วยปรากฏตามข่าวว่า พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.)ให้สัมภาษณ์ปรักปรำกล่าวหาว่าถูกว่าถูกจ้างมาเพื่อต้องการแย่งชิงพื้นที่สื่อ ของนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการว่าจ้างมาจำนวน 50,000 บาท จากนักการเมืองในพื้นที่นั้นอยากจะให้กรรมการสิทธิมนุษยชนตรวจสอบและพิจารณาเรื่องนี้โดยด่วน
โดย น.ส.ศศิประภา ไร่สงวน หนึ่งในนักศึกษาดาวดิน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า พอได้ยินข่าวดังกล่าวแล้ว ตอนแรกก็งงอยู่ แต่ตอนนี้ได้อ่านตัวข่าวอย่างชัดเจนก็ขอยืนยันว่าว่าข้อกล่าวหาของแม่ทัพภาคที่ 1 ไม่เป็นความจริง เพราะการเคลื่อนไหวของกลุ่มดาวดินทั้งหมดนั้น ได้มีการปรึกษาหารือกันก่อน โดยไม่ได้เป็นการตัดสินใจของเพื่อนแค่ 5 คนที่ไปชู 3 นิ้วเท่านั้น แต่เป็นการปรึกษาหารือเรื่องการเรียกร้องประชาธิปไตยและไม่ต้องการเผด็จการ รวมทั้งไม่ต้องการให้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก และทำรัฐประหาร ซึ่งเป็นความคิดเห็นทั้งหมดในกลุ่มไม่ได้มีการตัดสินใจกันเพียงลำพังคนใดคนหนึ่ง
ที่ผ่านมากลุ่มดาวเดินทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนในเรื่องกฎหมาย ทุกกรณีปัญหาที่ชาวบ้านเดือดร้อนโดยเฉพาะการแย่งชิงทรัพยากร กลุ่มดาวดินก็จะเข้าไปช่วยเหลือด้วย โดยไม่เคยรับเงินรับทองและยิ่งมาบอกว่าการเคลื่อนไหวในวันที่ 19 พ.ย.เป็นการเคลื่อนไหวโดยมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังยิ่งไม่เป็นความจริง เพราะการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นความคิดของนักศึกษาเองไม่มีนักการเมืองมาว่าจ้างใดๆทั้งสิ้น
"ไม่รู้ท่านแม่ทัพภาค 1 ได้ข่าวมาจากไหนก็ไม่รู้ และการให้ข่าวแบบนี้เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าท่านยังคุกคามเราอยู่หรือไม่ เพราะคนข้างนอกที่เขารู้ข่าว เขาจะรู้สึกอย่างไร นักศึกษาตัวเล็กๆอย่างเรากลายเป็นลูกน้องนักการเมือง ทำให้เราดูแย่มาก เพราะที่ผ่านมาดาวดินเราได้ไปเคลื่อนไหวเพื่อสังคมมาตลอด ทำไมเราต้องมารับใช้ในการเมือง ทั้งที่เราไม่เคยอยู่สีไหนหรือเข้าข้างการเมืองฝ่ายใดอยู่แล้ว พูดแบบนี้เป็นการกล่าวหากันลอยๆพูดไม่จริง"น.ส.ศศิประภา กล่าว
น.ส.ศศิประภา ยังกล่าวอีกว่า หลังเหตุการณ์ชู 3 นิ้วต้านรัฐประหาร ทำให้เพื่อนๆในกลุ่มดาวดินที่ไม่ได้ออกไปชู 3 นิ้วก็ได้รับความเดือดร้อนไปด้วย เพราะบ้านพักที่อยู่ด้วยกันมีทหารมาสังเกตการณ์ และมีการขับรถมาดูตลอดเวลา ทำให้ไม่มีใครกล้าอยู่บ้าน กลางวันมาอ่านหนังสือกัน พอกลางคืนก็รีบปิดบ้านหนี กลายเป็นว่าผู้ใหญ่คุกคามเด็ก พวกเราอยู่กันแบบหวาดผวามาก เพราะมีรถแปลกๆขับมาดูตลอด
ส่วนกระแสในมหาวิทยาลัยนั้น น.ส.ศศิประภา กล่าวว่า กระแสของน้องๆในคณะ มีทั้งให้กำลังใจและไม่เห็นด้วยบ้าง แต่ส่วนใหญ่ให้กำลังใจกันอยู่ เมื่อวันที่ 30 พ.ย.ไปซ้อมรับปริญญา มีหลายคนเดินเข้ามาถามว่า พวกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง บางคนก็มองด้วยสายตาซุบซิบนินทา แต่เราก็ไม่สนใจ เพราะเราเคารพทุกคน เขาเห็นต่างได้ เพราะสิ่งที่พวกหนูทำไม่ได้ทำอะไรที่รุนแรง"น.ส.ศศิประภา บอก
ส่วนกรณีที่มีนักศึกษาดาวดินไปขึ้นเวทีรับรางวัลของมูลนิธิอิศรา อมันตกูลนั้น น.ส.ศศิประภา บอกว่า ไม่ได้เป็นรางวัลของกลุ่มดาวดิน แต่เป็นรางวัลของไทยพีบีเอส ที่มาทำเรื่องเด็กดาวดิน จนสกู๊ปชิ้นนั้นได้รับรางวัลจากยูนิเซฟ ทางไทยพีบีเอสเลยมาเชิญกลุ่มดาวดินให้ไปขึ้นเวทีเพื่อรับรางวัลด้วย
ด้านนายวิบูลย์ บุญภัทรรักษา บิดาของ 1 ใน 5 นักศึกษากลุ่มดาวดิน จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ทันทีที่มีข่าวเรื่องรับเงินปรากฎ เขาได้เขียนในเฟสบุ๊คส่วนตัว ว่า ขนาดชายชาติทหาร ยังกล้าบิดเบือนป้ายสีให้ร้ายผู้อื่น การอ้างการข่าวแล้วนำมาพูดลอยๆ ใครๆ ก็พูดได้ ลองยกตัวอย่างเล่นๆ ว่าจากการข่าวที่ได้มาเหตุการณ์ นักศึกษามข.ชู 3 นิ้วต่อหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีนั้น มีนายทหารยศพลโทอยู่เบื้องหลัง โดยทหารคนนี้ได้รับเงินจากนักการเมือง 50 ล้านบาทเพื่อล้ม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และตนเองจะขึ้นยึดอำนาจแทน โดยพลโทคนนี้จะจ้างเด็กแค่คนละ 100 บาท แต่เด็กขอ 300 บาทตามแรงงานขั้นต่ำ พลโทดังกล่าวตกลง
"เห็นไหมว่าผมก็พูดลอย ๆ ได้ ต่างกันตรงผมเป็นประชาชนคนธรรมดาไม่มีใครเชื่อถือ หรือถูกมองว่าบ้าแต่คนที่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองพูด คนจะเชื่อถือดังนั้นชอบที่จะระมัดระวังก่อนพูด อีกทั้งตรวจสอบแหล่งข่าวไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน มิฉะนั้นต่อไปพอพูดถึงแหล่งข่าวทหารและคำพูดนายทหารระดับใหญ่ จะกลายเป็นเรื่องที่สังคมรับรู้ทั่วไปว่าเป็นเรื่องตลกที่ไม่ขำ ไม่มีสาระ น้ำเน่า หน่วยงานรัฐอื่นๆล้มเหลวสิ้นเชิงแล้ว เหลือของกองทัพไว้เชิดหน้าชูตาบ้างก็ดีนะครับ"นายวิบูลย์ ระบุ
ขอบคุณข่าวจาก

