จม.ผอ.รพ.อุ้มผางถึง"หมอรัชตะ" วิพากษ์ซ้ำ สปสช.
"การที่แพทย์ปฏิบัติหน้าที่โดยใช้หลักมนุษยธรรม เปรียบเทียบกับแพทย์ที่ยึดหลักกฎเกณฑ์หรือกฎหมาย เราควรจะปรับหลักมนุษยธรรมเข้ามาหากฎเกณฑ์ต่างๆ หรือควรปรับกฎเกณฑ์ต่างๆให้เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม"

วันที่ 13 ธันวาคม 2557 นายวรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง จังหวัดตาก เขียนจดหมายถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
กราบขออภัยท่านอาจารย์นะครับที่ผมได้รบกวนโดยเขียนจดหมายถึงอาจารย์ ตามที่มีการเผยแพร่จดหมายถึงพี่พูลลาภ (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตาก) ที่ผมเป็นคนเขียนขึ้นเอง และขอให้พี่พูลลาภช่วยนำข้อเสนอตามความรู้สึกของผมและข้อเท็จจริงที่ผมทำงานในพื้นที่นี้มากว่า 23 ปีแล้ว เพื่อนำเรียนอาจารย์ผู้ใหญ่ทุกท่านทั้งในกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้ช่วยแก้ปัญหาให้
ผมเขียนจดหมายฉบับนั้นเองโดยไม่ได้รับแรงกดดันจากใครทั้งสิ้น เพราะคนในอาชีพแพทย์นั้นไม่ชอบให้ใครบังคับจิตใจอยู่แล้ว และผมก็ไม่เลือกว่าจะต้องอยู่ข้างใดข้างหนึ่งที่ขัดแย้งทางความคิดกันอยู่ในปัจจุบันนี้ เพราะพวกเราควรอยู่ข้างเดียวกันหมดไม่ใช่หรือครับ
ขอกราบเรียนว่าข้อความในจดหมายที่เผยแพร่นั้นไม่ได้กล่าวหาเกินเลยไปหรอกครับ หลายๆท่านไม่ได้ประสบด้วยตนเองอย่างผมจึงไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ และมีอคติในการที่จะรับฟังความเห็นที่แตกต่าง จึงยิ่งเพิ่มความไม่เข้าใจให้มากขึ้น
ผมและน้องๆทุกคนที่นี่ทำงานด้านการแพทย์และการสาธารณสุขด้วยการยึดมนุษยธรรมเป็นหลักครับ ท่านอาจารย์ผู้ใหญ่หลายๆท่านที่ผมเคารพนับถือด้วยความบริสุทธิ์ใจ ท่านก็พยายามช่วยจริงๆครับ อาจารย์มงคลท่านเกษียณแล้วท่านก็ช่วยประสานให้บริษัทเอกชนมาทำ CSR ที่พื้นที่นี้ ผมต้อนรับท่านและท่าน ก็ยังสอนผมให้ยึดหลักมนุษยธรรมด้วย
อาจารย์วิชัย ตอนท่านช่วยของบประมาณจาก สปสช. เพื่อสนับสนุนให้โรงพยาบาลอุ้มผางดำเนินการได้โดยไม่ยากลำบากเกินไปนัก (ผมไม่เคยคิดว่าโรงพยาบาลต้องกำไรหรือขาดทุนนะครับ เพราะพันธกิจหลักของเราเป็นเรื่องมนุษยธรรม ซึ่งใช้ “ใจ” เป็นตัวกลาง ถ้าคิดถึงเรื่องกำไรขาดทุน นั่นหมายความว่าเรากำลังใช้ “เงิน” เป็นตัวกลาง) ท่านยังต้องตอบคำถามของผู้บริหาร สปสช.เลยครับ ว่า ที่น้องเค้าต้องทำอย่างนั้นเพราะเค้ายังเป็นหมออยู่ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าท่านยังเป็นแพทย์อยู่ด้วย (ดังนั้นที่ผมเรียนพี่พูลลาภไปว่า อาจารย์ผู้บริหาร สปสช.ท่านขาด “สติ” (ระลึกรู้) ว่า ยังเป็นแพทย์อยู่ด้วยจึงเป็นคำพูดของอาจารย์วิชัยนะครับ)
ตอนอาจารย์ศิริวัฒน์ท่านเกษียณ ท่านได้จัดงานขึ้นมาเพื่อระดมทุนขอรับเงินบริจาคได้มากกว่า2 ล้านบาท เพื่อมอบให้ผมตั้งมูลนิธิโรงพยาบาลอุ้มผางเพื่อมนุษยธรรมขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ยากไร้ที่โรงพยาบาลต้องดูแลรักษา โดยที่ผมไม่เคยได้ทำงานกับอาจารย์ท่านมาก่อนเลยครับ
หลังจากนั้นอาจารย์สุวิทย์ ได้มอบเงินจากการบริจาคในงานศพของคุณแม่อาจารย์แก่มูลนิธิโรงพยาบาลอุ้มผางเพื่อนมนุษย์ธรรม เป็นจำนวนเงินกว่า 1 ล้านบาท และมีวัตถุประสงค์เช่นเดียวกับอาจารย์ศิริวัฒน์ และหลังจากที่อาจารย์สุวิทย์ท่านเกษียณ ท่านได้มาเที่ยวที่อำเภออุ้มผางพร้อมอาจารย์บุศย์ ผมยังพาท่านไปที่สุขศาลาบ้านก้อเชอในประเทศเพื่อนบ้าน ท่านยังได้สอนผมให้ยึดหลักมนุษยธรรมด้วย ทั้งยังเอ่ยถึงอาจารย์มงคลเลยครับ ว่าถ้าเป็นอาจารย์มงคลอยู่ที่อุ้มผาง ท่านอาจขยายงานสาธารณสุขนี้ไปถึงเมืองหลวงของประเทศเพื่อนบ้านแล้ว
ตอนประเทศไทยมีโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าใหม่ๆ (ปี 2544) หลายพื้นที่มีปัญหาการได้รับงบประมาณไม่เพียงพอต่อการดำเนินงาน อาจารย์สงวน (เลขา สปสช.ในขณะนั้น) ได้มาเยี่ยมผมเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2544 ผมเป็นคนขับรถและได้พูดคุยกับอาจารย์ท่านด้วยตนเองจึงได้ทราบถึงจิตใจของอาจารย์สงวนว่า ท่านมีจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยเจตสิกฝ่ายคุณธรรมและมนุษยธรรมอย่างแท้จริง ท่านจึงลงมาสำรวจพื้นที่และคุยกับน้องๆด้วยตนเอง ท่านจึงรับรู้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม
ผมจึงขออนุญาต ยกย่องท่านเป็นปูชนียบุคคลด้านสาธารณสุขของเพื่อนมนุษย์ในโลกนี้ได้โดยบริสุทธิ์ใจครับ และอาจารย์สงวน ได้พูดกับผมว่าจะขอใช้เวลา 3 ปีเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแบบมนุษยธรรมให้ได้ โดยจะพยายามอย่างเต็มความสามารถ (คำพูดนี้จึงเป็นคำพูดของอาจารย์สงวนครับ)
หลังจากอาจารย์สงวนท่านจากไปคณะผู้บริหารใหม่เข้ามา แต่ท่านไม่เป็นแบบอาจารย์สงวนครับ ท่านไม่ได้รับฟังและสำรวจปัญหาในแต่ละพื้นที่ ซึ่งแตกต่างกัน อาจเพราะท่านไม่ได้มีความรู้สึกถึงความเป็นธรรมแบบมนุษยธรรมแบบอาจารย์สงวน ท่านยึดความเป็นธรรมแบบของท่าน ผมก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอย่างไรดี จึงเรียกว่า ความเป็นธรรมแบบคณิตศาสตร์ และทำให้ท่านไม่เข้าใจปัญหาของพื้นที่ชายแดนอย่างถ่องแท้ ว่าตอนประเทศไทยแบ่งพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้านนั้น เส้นแบ่งเขตแดนได้ตัดผ่ากลางพื้นที่ของคนเชื้อชาติกระเหรี่ยงออกเป็นสองส่วนคือในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
ดังนั้นบุคคลเชื้อชาติกระเหรี่ยงที่อยู่อาศัยในเขตประเทศไทยนี้ จึงควรมีสัญชาติไทย เพราะอยู่ดั่งเดิมมานานแล้ว แต่เนื่องจากชาวบ้านเหล่านี้อยู่ไกลทุรกันดารมาก คลอดเองตามธรรมชาติโดยหมอตำแย (ปัจจุบันนี้มีหมอตำแยในเขตอำเภออุ้มผางเกือบสองร้อยคน ทำคลอดปีละเป็นร้อยราย) และไม่ได้มาแจ้งเกิด ทำให้กลายเป็นคนตกหล่นและขาดสิทธิในหลักประกันสุขภาพไปโดยอัตโนมัติ (ไม่ได้เป็นคนสัญชาติอื่นตามที่ท่านอาจารย์หลายๆท่านเข้าใจหรอกครับ)
ผมยังคิดเปรียบเทียบกับตัวผมเองเลยครับว่าบรรพบุรุษของผมมาจากเมืองจีนทั้งหมด แต่โชคดีอาศัยอยู่ในเขตเมือง ปัจจุบันนี้ผมเลยมีสัญชาติไทยแล้ว แต่ชาวบ้านที่นี่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ตลอดยังไม่ได้สัญชาติไทยเลย โรงพยาบาลอุ้มผางเลยมีการตั้งคลินิกกฎหมาย โดยมีอาจารย์พันธุ์ทิพย์ (คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) เป็นที่ปรึกษา ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2553 และอาจารย์ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสถานะบุคคลและมีมนุษยธรรมสูงมากครับ ผมว่าสูงกว่าหลายๆท่านที่ใช้คำว่านายแพทย์นำหน้า)
เมื่อปี 2556 นี้เองครับ ทาง สปสช.ได้ตัดสิทธิในหลักประกันสุขภาพ (UC) กับชาวบ้านทั่วประเทศประมาณ 150,000 คน ทางกระทรวงสาธารณสุขโดยอาจารย์ทรงยศ (รองปลัดกระทรวงในสมัยนั้น) ได้มีหนังสือสั่งการให้ทุกโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขให้บริการกับประชาชนที่ยากจนกลุ่มนี้ต่อไปเหมือนเดิมแม้ว่าจะถูกตัดสิทธิ UC ไปแล้ว หนังสือสั่งการนี้บอกได้ถึงจิตใจอันมีคุณธรรมและมนุษยธรรมอย่างแท้จริง
ในหลายครั้งหลายเวทีที่ผมได้มีโอกาสพบท่านอาจารย์ผู้บริหาร สปสช. และได้เสนอให้ท่านส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกา ตีความเรื่องบุคคลใน พรบ.ประกันสุขภาพแห่งชาติว่าหมายถึงคนเลข 13 หลักเท่านั้น หรือหมายถึงทุกๆคนที่เป็นมนุษย์ในแผ่นดินนี้ (เพราะถ้าไม่รวมถึงทุกคนจะตกหล่นบุคคลไปเยอะมาก เราจะตกหล่นเรื่องมนุษยธรรม และเรื่องการควบคุมโรคติดต่อ ซึ่งมีผลต่อความมั่นคงของชาติด้านสุขภาพด้วย) ซึ่งอาจารย์ท่านก็รับปากไม่รู้ว่าแบบเสียไม่ได้หรือเปล่านะครับ แต่ก็ไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ เป็นเวลาหลายปีจนถึงปัจจุบัน ผมใช้คำว่า “ใจดำ” เพราะอาจารย์ท่านละเว้นการดำเนินการทางด้านมนุษยธรรม และการควบคุมโรคติดต่อ (บางท่านใช้คำพูดทำนองว่า “ก็ไปรักษาเค้าเอง" ด้วย) จึงน่าจะเป็นคำที่เหมาะสมที่สุด
สุดท้ายนี้ ขอรบกวนท่านอาจารย์ได้โปรดพิจารณาด้วยครับว่าการที่แพทย์ปฏิบัติหน้าที่โดยใช้หลักมนุษยธรรม ซึ่งเป็นหลักที่อ้างอิงกับศาสนาได้ทุกศาสนาแล้ว เปรียบเทียบกับแพทย์ที่ยึดหลักกฎเกณฑ์หรือกฎหมาย ที่กลุ่มบุคคลเขียนขึ้นมาและตีความหมายไปในแบบที่ตนเองเห็นพ้อง แต่ไม่ได้เป็นไปตามหลักมนุษยธรรมนั้น เราควรจะปรับหลักมนุษยธรรมเข้ามาหากฎเกณฑ์ต่างๆ หรือควรปรับกฎเกณฑ์ต่างๆให้เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม ผมจะได้ใช้สอนนักศึกษาแพทย์และบอกกล่าวกับบุคคลอื่น ซึ่งจะมาทำหน้าที่ดูแลสังคมนี้ต่อจากเราต่อไป กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มากครับ
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
ผอ.รพ.อุ้มผางวิพากษ์ สปสช.:ใจดำ ขาดสติ ยึดความเป็นธรรมแบบคณิตศาสตร์
