อ.เศรษฐศาสตร์ มธ.ชมนโยบายรัฐเพื่อคนยาก แต่ ติงสร้างปัญหาตามหลัง

รศ.ดร.ภาณุพงศ์ ชี้แม้เป้าหมายถูกต้อง แต่ “แก้ปัญหาได้อย่างหนึ่ง แต่เกิดปัญหาอย่างหนึ่งตามมา” ขณะที่รองประธานกรรมการหอการค้าไทยฯ ถามเรากำลังอยู่ในทาง 2 แพร่ง เศรษฐกิจแนวใหม่ยุคที่ 3 รัฐบาลเห็นภาพ และเตรียมรับมืออย่างไร
เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดการเสวนาเรื่อง “เดินหน้านโยบายปากท้อง” ณ ห้องประชุมใหญ่ชั้น 5 คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. ท่าพระจันทร์ วิทยากรประกอบดัวย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และรศ.ดร.ภาณุพงศ์ นิธิประภา คณะบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. ดำเนินรายการโดย อาจารย์ปกป้อง จันวิทย์
นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจ สังคม การเมือง เชื่อมโยงกัน หากมีความแตกต่างกันมากสังคมจะเกิดความวุ่นวายได้ การที่รัฐเดินหน้าทำนโยบายที่เน้นการบริโภคภายในประเทศ ผ่านการกระจายรายได้ ทั้งเรื่องนโยบายค่าแรง 300 บาท และการรับจำนำข้าว ฯลฯ รัฐบาลคิดนโยบายโดยมีวัตถุประสงค์ต้องการให้มีการกระจายรายได้ดีขึ้น ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการสร้างความเข้าใจ และชี้แจงนโยบายให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ส่วนนโยบายการรับจำนำข้าวนั้น นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ยอมรับหากทำไม่ดี ทุกขั้นทุกตอนมีโอกาสทุจริต เสียหายได้ ดังนั้นนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงกำชับต้องดูแลควบคุมอย่างใกล้ชิด อย่าให้ใครมาได้ผลประโยชน์จากโครงการนี้เด็ดขาด
ขณะที่นายพรศิลป์ กล่าวถึงนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำว่า ช่วงเดือนที่ผ่านมาพยายามหาข้อสรุปให้ได้ ด้วยมองว่า เรื่องนี้เป็นการเมืองค่อนข้างแรง การที่รัฐบาลออกมาหาเสียงและเอาจริงเอาจัง และหากเอกชนออกมาค้าน ก็คงจะมีปัญหาแน่นอน
“ประเด็นการขึ้นค่าแรง ไม่มีใครไม่เห็นด้วย เพราะเราทราบดีว่า ความเหลื่อมล้ำทางสังคม รายได้ต้องมีการพัฒนาให้ดีขึ้น เราเห็นด้วยในหลักการ แต่ในรายละเอียดต้องคุยกัน ซึ่งตัวเลขค่าแรงไม่ใช่ประเด็น ประเด็นที่รัฐบาลต้องตอบ ก็คือ รัฐบาลจะใช้นโยบายเศรษฐกิจอะไร ต้องชัดเจน ต่อไปข้างหน้าระบบเศรษฐกิจที่ถูกชี้นำตลอดเวลาแบบนี้ไมได้แล้ว โดยเฉพาะหากมีการข้ามช่อง มาอยู่ในช่องเอกชน มันก็จะอีหลักอีเหลื่อพอสมควร”
นายพรศิลป์ กล่าวอีกว่า ภายใต้บริบทของโลก ขณะนี้เราเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่แล้ว เศรษฐกิจแนวใหม่ยุคที่ 3 ที่ต้องใช้เทคโนโลยีสูงมาก ใช้วิทยาศาสตร์ ความรู้สูงมาก ซึ่งยังไม่เห็นว่า รัฐบาลเห็นภาพนี้หรือไม่ หรืออีก 4 ปีข้างหน้าเราจะรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่ได้อย่างไร
“เรากำลังอยู่ในทาง 2 แพร่ง กำลังจะเดินแล้ว ขณะที่ทั่วโลกตอนนี้ตันไปหมด จะเดินต่อไปไม่ได้ ดังนั้นเราต้องเดินในอีกรูปแบบ หากเอาเกษตรเป็นหลัก ก็ต้องมาคิด กระบวนการผลิตก็ต้องเปลี่ยน กระบวนการฟื้นฟูธรรมชาติ ใช้เทคโนโลยีอะไรผลิตให้ได้มากกว่าเก่า การตอบคำถามการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น”
รองประธานกรรมการหอการค้าไทยฯ กล่าวด้วยว่า โจทย์ใหม่ ภาพธุรกิจใหม่ ซ้ายมือเปิดเสรี ขวามือปิดตลาด เราจะทำอย่างไร รับมือกันอย่างไร เพราะต่อไปการแข่งขันในประเทศไทย กระทรวงเศรษฐกิจจะไม่ใช่กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง อีกต่อไปแล้ว กระทรวงที่มีภารกิจสำคัญใหญ่ยิ่งจะไปอยู่ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และกระทรวงสิ่งแวดล้อม มิเช่นนั้นเราก็จะไปซื้อเทคโนโลยีเข้ามาเหมือนเดิม
“ในโลกทุกประเทศ ยืนอยู่ที่เดียวกันหมด จึงเป็นโอกาสประเทศไทยต้องจับจุดให้ถูก ระบบต่างๆ ต้องเปลี่ยน รื้อวิธีคิดใหม่หมด หากจะอุดช่องว่าง การแข่งขันทางการค้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับต้นทุนอย่างเดียวแล้ว วิธีการจัดการกระบวนการผลิตสินค้าตัวหนึ่ง ทุกๆ คนต้องไปอยู่ในที่เดียวกัน แข่งขัน และมีเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงกันหมด รวมทั้งผู้บริโภคก็ต้องไล่ให้ทันด้วย”
ส่วนรศ.ดร.ภาณุพงศ์ กล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ ที่เห็นใจคนยากจน ผู้ยากไร้ กรรมกร รวมถึงเกษตรกร และหันมาเพิ่มเรื่องค่าจ้าง การกระจายรายได้ ดูสินค้าเกษตรนั้น ถือว่า มีเป้าหมายถูกต้อง ขอชื่นชม แต่นโยบายการกระตุ้นการบริโภคในประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความพยายามให้มีบ้านหลังแรก ลดภาษีรถยนต์คันแรก ที่ออกมา กลับมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การจราจรติดขัด มีการใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้น เป็นการแก้ปัญหาได้อย่างหนึ่ง แต่เกิดปัญหาอย่างหนึ่งตามมา
“ผมไม่ได้มองว่า นโยบายของรัฐบาลชุดนี้เป็นประชานิยม เพราะปกติประชานิยมจะใช้กับรัฐบาลที่จะมีการเลือกตั้งในอนาคต และมีการรีบเร่งใช้จ่ายเงินเพื่อให้เกิดผล แต่กรณีนี้ หากนโยบายที่หาเสียงไว้ รัฐบาลทำไม่สำเร็จ ก็มีอันเป็นไปได้เหมือนกัน ดังนั้น ผมจึงคิดว่า บางครั้งเมื่อเราตัดสินใจบางอย่างไปแล้ว เราสามารถเปลี่ยนใจได้ หากได้ไม่คุ้มเสีย”
