นักเศรษฐศาสตร์ มธ. สับนโยบายรบ. ‘ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง’

ดร.พรายพล เปิดเวทีถามนโยบายราคาน้ำมัน ทำไมต้องอุดหนุนคน 'ไม่จน' ใช้ก๊าซหุงต้ม-ดีเซล ขณะที่ดร.ปราณี หนุนขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ แต่ต้องทำแบบขั้นบันได เชื่อทำแบบก้าวกระโดดคนว่างงานพุ่ง ส่วนดร.สกนธ์ แนะรัฐกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัด ไม่กระทบโครงสร้างการคลัง-งบลงทุนพัฒนาประเทศ
วันที่ 12 กันยายน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ กลุ่มจับตานโยบาย (Policy Watch) จัดการอภิปรายหัวข้อ "ช่องว่างนโยบายรัฐบาล: พลังงาน ค่าจ้าง และการคลัง" ณ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมี ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ ศ.ดร.ปราณี ทินกร และ รศ.ดร.สกนธ์ วรัญญูวัฒนา คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมอภิปราย ดำเนินรายการโดย รศ.ดร. ปัทมาวดี ซูซูกิ
ศ.ดร.พรายพล กล่าวถึงปัญหาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มและน้ำมันดีเซลไว้ต่ำว่า การชดเชยที่มากและนานเกินไปสร้างภาระให้กับภาครัฐ ซึ่งต้องนำเงินจากกองทุนน้ำมันจำนวนมากเข้าไปชดเชย อีกทั้งเมื่อมีการยกเลิกการเก็บภาษีเข้ากองทุนฯ ก็ส่งผลให้กองทุนฯ เริ่มติดลบ ขณะที่ผู้ผลิต ผู้ค้าและผู้ใช้ก็ต้องแบกรักภาระเช่นกัน เพราะนโยบายดังกล่าว เข้าไปอุดหนุน ‘คนไม่จน’ ให้ได้รับอานิสงค์ และทำให้คนใช้น้ำมันเบนซินต้องอุดหนุนคนใช้ดีเซลและก๊าซหุงต้ม สิ่งเหล่านี้จึงเป็นตัวอย่างของประชานิยมที่ ‘ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง’
“การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันที่เหมาะสมนั้น จึงต้องกำหนดราคาขายปลีกผลิตภัณฑ์น้ำมันภายในประเทศไม่ต่ำกว่าราคาตลาดโลก อีกทั้งจะต้องจัดเก็บภาษีน้ำมันทุกชนิดรวมกันคิดเป็น 15%-20% ของราคาขายปลีก โดยตั้งเกณฑ์อัตราขั้นสูงสำหรับเบนซิน และลดหลั่นภาษีให้กับผลิตภัณฑ์อื่นๆ รวมทั้งยกเว้นภาษีสรรพสามิตให้กับเอธานอลและไบโอดีเซล เพื่อส่งเสริมน้ำมันชีวภาพที่ผลิตจากพืชภายในประเทศ หรือในส่วนของก๊าซโซฮอลก็ควรกำหนดราคาให้ถูกกว่าเบนซินลิตรละ 3 บาทขึ้นไป”
ศ.ดร.พรายพล กล่าวต่อว่า พลังงานเพื่อคนจนเป็นเรื่องจำเป็น เพราะช่วยลดอัตราค่าครองชีพ แต่ควรช่วยเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย เช่น ดีเซลเพื่อประมงขนาดเล็ก หรือจัดทำคูปองก๊าซหุงต้มสำหรับผู้มีรายได้น้อย ควบคู่ไปกับการกำหนดขนาดและระยะเวลาในการช่วยเหลือด้วย ประการสุดท้ายจะต้องมีการปรับสมดุลระหว่างโครงสร้างการใช้และการกลั่น โดยเบนซิน ดีเซล แอลพีจี และเอ็นจีวี ควรมีราคาขายปลีกที่ไม่ต่างกันมากนัก ไม่เกินลิตรละ 2 บาทเมื่อปรับค่าความร้อนแล้ว
“ปัจจุบันโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 27.99 บาทต่อลิตร ขณะที่ก๊าซหุงต้มอยู่ที่ 18.13 บาทต่อลิตร ดังนั้น ผมจึงเสนอว่า ควรมีการปรับราคาดีเซลหมุนเร็วและก๊าซหุงต้มเป็น 32 บาทต่อลิตรและ 28 บาทต่อลิตรตามลำดับ ทั้งนี้ การปรับตัวดังกล่าวจะส่งผลดีต่อฐานะการเงินของกองทุนฯ ที่จะกลายเป็นบวก และจะทำให้การบิดเบือนโครงสร้างราคาน้ำมันน้อยลงอีกด้วย”
ขณะที่ ศ.ดร.ปราณี กล่าวถึงนโยบายด้านค่าจ้างและเงินเดือนของรัฐบาลที่จะให้แรงงานมีรายได้วันละไม่น้อยกว่า 300 บาทและผู้ที่จบการศึกษาปริญญาตรีมีรายได้เดือนละไม่น้อยกว่า 15,000 บาท ซึ่งช่วงหาเสียงและแถลงนโยบายสร้างความสับสนแก่ประชาชนระหว่างความต่างของคำว่ารายได้ ค่าจ้าง และเงินเดือน
“คำว่า รายได้ หมายถึง ค่าจ้างและเงินเดือน ที่หมายรวมถึงโบนัส ค่าล่วงเวลา ฯลฯ ส่วนค่าจ้าง หมายถึงผลตอบแทนแรงงานที่จ่ายเป็นรายชั่วโมง รายวัน หรือรายสัปดาห์ สำหรับเงินเดือน หมายถึง ผลตอบแทนต่อแรงงานที่จ่ายเป็นรายเดือน ทั้งนี้ ค่าจ้างขั้นต่ำ หมายถึง ค่าจ้างต่อวันต่ำสุดที่นายจ้างพึงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง ที่ทำให้มาตรฐานการดำรงชีวิตของแรงงานดีขึ้น บรรเทาภาวะความยากจน แต่หากค่าจ้างขั้นต่ำนั้นสูงเกินไปกว่าจุดที่พอดีของอุปสงค์ และอุปทาน อาจจะทำให้เกิดการว่างงานเพิ่มขึ้นได้”
ศ.ดร.ปราณี กล่าวถึงค่าจ้างขั้นต่ำต่อว่า ที่ผ่านมาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เป็นอยู่ ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่แท้จริงที่แรงงานได้รับต่อวัน หากพิจารณาแรงงานที่ได้รับค่าจ้างต่อวันต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่แท้จริงเฉลี่ยทั่วประเทศแล้ว พบว่า มีแรงงานที่ได้รับค่าจ้างต่อวันมากกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ จำนวน 10,613,123 คน คิดเป็น 77.1% ส่วนแรงงานที่ได้รับค่าจ้างต่อวัน "น้อยกว่า" ค่าจ้างขั้นต่ำ จำนวน 3,154,105 คน คิดเป็น 22.9%
“รัฐบาลต้องเข้าใจว่า ความแตกต่างของโครงสร้างค่าจ้างและเงินเดือน ที่แต่ละคนจะได้รับนั้น ขึ้นอยู่กับระดับการศึกษา อาชีพ ทักษะพิเศษและประสบการณ์ ความแตกต่างของค่าจ้างในแต่ละอุตสาหกรรม หรือแต่ละอาชีพขึ้นอยู่กับอุปสงค์ และอุปทานของแรงงาน รวมทั้งบัญชีเงินเดือนของแต่ละหน่วยงาน” ศ.ดร.ปราณี กล่าว และว่า โดยรวมแล้ว เห็นด้วยว่าควรปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของแรงงานขึ้น แต่จะต้องเป็นไปตามขั้นบันได ไม่ก้าวกระโดดอย่างที่รัฐบาลกำลังจะดำเนินการ ซึ่งรัฐบาลควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะช่วยเหลือให้ชัดเจน เพื่อความเป็นไปได้ และไม่กระทบต่อภาพรวมด้านอื่นๆ ของประเทศ
ส่วน รศ.ดร.สกนธ์ กล่าวว่า นโยบายส่วนใหญ่ของรัฐบาลที่ประกาศออกมาไม่เป็น “รายจ่ายประจำ” แต่เป็น “รายจ่ายการดำเนินการ” เช่น งบประมาณค่าจ้าง เงินอุดหนุนให้ท้องถิ่น โครงการพิเศษต่างๆ และงบดูงานต่างประเทศเฉลี่ยตลอด 10 ปี คิดเป็น 19% ต่อปี นับเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตลอด ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวนี้ ทำให้งบลงทุนในด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาโครงสร้างประเทศเฉลี่ยในรอบ 4 ปีต้องติดลบ และส่งผลต่อการบริหารการเงิน การคลังในระยะยาว
“ขณะนี้รัฐบาลมีภาระผูกพันกับนโยบายประชานิยมสูงอยู่แล้ว หากต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในนโยบายต่างๆ เหล่านี้ด้วยจะกระทบต่อสัดส่วนการลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างประเทศ ทำให้โครงสร้างการคลังทำได้ลำบาก ประสิทธิภาพการใช้เงินในการลงทุนมีปัญหามาก” รศ.ดร.สกนธ์ กล่าว และว่า มีประเด็นที่น่าห่วง 2 เรื่อง คือ จะเพิ่มรายได้อย่างไร ให้พอเพียงกับการลงทุนที่ผูกพันกับอนาคต และรัฐบาลจะมีการจัดลำดับความสำคัญของรายจ่ายอย่างไร ไม่ให้เป็นการมุ่งดำเนินการตามที่หาเสียงไว้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องใช้จ่ายโดยคำนึงถึงผู้รับประโยชน์อย่างแท้จริง
รศ.ดร.สกนธ์ กล่าวด้วยว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอของอาจารย์ปราณี ที่ว่ารัฐบาลควรกำหนดกลุ่มผู้รับประโยชน์ให้ชัดเจนก่อนที่จะดำเนินนโยบายต่างๆ ไม่เช่นนั้นรัฐบาลจะมีปัญหาด้านประสิทธิภาพการใช้จ่ายในอนาคตมากกว่าที่เป็นอยู่
