แบบจำลองคิดค่าเสียหายคดีโลกร้อนมีปัญหา นักวิชาการ ชี้อันตรายถ้าบังคับใช้เป็นกม.
นักวิชาการเห็นพ้องแบบจำลองประเมินค่าความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมในคดีโลกร้อนมีปัญหา เป็นแบบจำลองที่คิดขึ้นโดยคนกลุ่มเดียว ยันอันตรายถ้านำมาบังคับใช้ในกฎหมาย ด้าน คปท. เร่งเดินหน้าฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่ง
วันที่ 12 กันยายน คณะทำงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย กรณีรัฐประกาศให้พื้นที่เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า รวมทั้งเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์อื่นๆ ภายใต้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ ร่วมกับเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.) กลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน และโครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม จัดงานประชุมเชิงวิชาการ แบบจำลองมูลค่าของระบบนิเวศป่าไม้ กับความถูกต้องทางวิชาการ ณ ห้องประชุมสภาทนายความ ชั้น 3 ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ เพื่อแลกเปลี่ยนและแสดงความคิดเห็นต่อแบบจำลองสำหรับประเมินค่าเสียหาย ทางสิ่งแวดล้อม
ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า งานวิชาการที่เกิดเป็นเพียงความคิดของคนเพียงกลุ่มเดียว ทีเป็นความคิดของนักวิชาการในกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งหากจะนำไปใช้ในทางกฎหมายต้องมีการมองให้รอบด้านมากกว่านี้ ไม่ให้กระทบต่อประชาชน มีการเก็บข้อมูลที่ทั่วถึง ฟังและทบทวน มองต่างมุม รวมทั้งมีข้อมูลทางวิชาการในมุมมองของภาคประชาชนเข้ามาร่วมด้วย เพราะหากนำข้อมูลเพียงเล็กน้อยเหล่านี้มาใช้ประโยชน์จริงๆ ถือว่า อันตรายมาก ดังนั้นจึงยังไม่มีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้
ด้าน รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย กล่าวในมุมมองเศรษฐศาสตร์ว่า เป้าหมายของด้านเศรษฐศาตร์คือทำให้สังคมน่าอยู่ ทำให้สังคมอยู่แล้วมีความสุข ไม่ใช่ศาสตร์เพียงแค่ตัวเลข คือทำอย่างไรที่จะทำให้สังคมมีมูลค่า และทำอย่างไรที่ทำให้เม็ดเงินที่เกิดขึ้นเกิดความเป็นธรรมและเกิดการกระจายไปยังกลุ่มต่างๆ ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกละเลย และทำให้ประเทศสูญเสียประโยชน์มากมาย
“ความรู้พื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ที่กรมป่าไม้ไม่ได้พูดถึงเลย คือ เวลาที่จะดำเนินการอะไรบางอย่าง ต้องดำเนินได้สองทาง เช่น ในกรณีการบุกรุกโดยผู้มีอิทธิพล ก็อาจจะใช้วิธีปรับหรือการดำเนินคดี เนื่องจากคนเหล่านี้อยู่ในฐานะที่จะจ่ายได้ และรู้ด้วยว่าที่ทำอยู่ไม่ถูกต้อง แต่ในส่วนของผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส แนวทางต้องไม่เหมือนกัน แนวทางอาจเป็นว่ารัฐจะเข้าไปส่งเสริมในการประกอบอาชีพ เพื่อจะได้ไม่ต้องบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน รัฐบาลให้การดูแลด้านการศึกษาด้านนี้แล้วหรือยังให้มีทักษะวิชาชีพอย่างอื่น นอกจากการปลูกพืชไร่”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการแลกเปลี่ยนและแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้ นักวิชาการในที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันเกี่ยวกับปัญหาของแบบจำลองนี้ว่า เป็นแบบจำลองที่มีปัญหาตั้งแต่แนวคิดพื้นฐานเริ่มต้นในการสร้างแบบจำลอง รวมถึงรายละเอียดและวิธีการ ซึ่งมีความเชื่อมโยงทางด้านวิทยาศาสตร์ในการคำนวณผลกระทบและการคิดมูลค่าความเสียหาย
จากนั้นดร.อานนท์ กล่าวสรุปปัญหาของแบบจำลองในส่วนของกระบวนการธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอากาศ ดิน และน้ำ มีจุดอ่อนคือการคิดแบบแยกส่วน เป็นการคิดเชิงเดียวในแต่ละด้าน โดยขาดการเชื่อมโยงภายใน นอกจากนี้ในส่วนของเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ ก็ไม่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การใช้งานในรูปแบบนี้ น่าจะมีเครื่องมือหรือกลยุทธ์ที่ดีกว่า และค่าสัมประสิทธิ์ที่ใช้ในแบบจำลองนี้ ก็มีการตั้งคำถามว่าได้มาจากการทดลองหรือการตรวจวัดที่อาจจะไม่มากพอ หรือไม่ หลากหลายพอ ที่จะครอบคลุมสิ่งที่จะเป็นจริงในประเทศไทยได้
“ตัวแปรต้นและตัวแปรตามก็ไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน เหมือนเป็นการหยิบขึ้นมาจากความเชื่อของนักวิจัยเอง จึงทำให้เป็นแบบจำลองของความคิดของคนแค่คนเดียว มากกว่าการนำความคิดวงกว้างมาใช้ในการสร้างแบบจำลอง และที่สำคัญกระบวนการในการนำข้อมูลหรือผลงานทางวิชาการเพียงที่มาจากกลุ่มเดียว และนำมาเป็นเครื่องมือในการบังคับใช้กฎหมายนั้นอันตรายมาก ขาดการทบทวนที่มากพอ และขาดการตรวจสอบ และขาดการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย”
อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการดำเนินงานด้านวิชาการ แบ่งเป็น 2 ส่วน โดยในระยะสั้น ข้อมูลวิชาการจะนำมาหยุดเรื่องการดำเนินคดีให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานวิชาการ และคงต้องใช้กระบวนทาง กฎหมายและการเมืองเข้ามาร่วมด้วย ส่วนในระยะยาว เพื่อป้องกันไม่ให้ความไม่เป็นธรรมแบบนี้เกิดขึ้นโดยใช้วิทยาศาสตร์เป็นข้ออ้าง เพราะฉะนั้นกระบวนการตรวจสอบนักวิชาการ หรือนักวิทยาศาสตร์ ต้องเร่งเกิดขึ้นโดยเร็ว ขณะนี้มี พระราชบัญญัติวิชาชีพวิทยาศาสตร์ โดยมีสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์มาควบคุมกันเอง ซึ่งต้องควรจะมีการออกพระราชกฤษฎีกา เพื่อออกมากำหนดจรรยาบรรณ และจริยธรรมของนักวิทยาศาสตร์ ควรจะเป็นอย่างไร เพื่อเป็นการปิดช่องว่างต่อไป
สำหรับแนวทางต่อการทำงานต่อไปนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย จะมีการผลักดันในช่องทางต่างๆ ซึ่งในส่วนของวิชาการ จะมีการรวบรวมข้อมูลและการวิจัยทางวิชาการ และมีกระบวนการในการตรวจสอบต่อไป ซึ่งอาจจะไปยื่นเสนอต่อกรมป่าไม้อีกครั้ง รวมถึงช่องทางการตรวจสอบในการด้านของวิชาชีพของนักวิทยาศาสตร์ เพื่อตรวจสอบความไม่เป็นธรรม ความไม่น่าเชื่อถือในทางวิทยาศาสตร์โดยเอามาบังคับใช้ในทางกฎหมายและก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน และทางด้านกฎหมาย จะมีการยื่นต่ออนุกรรมการ ที่ตั้งขึ้นโดยสภาทนายความ เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลปกครองต่อไป
