ประมวล 4+6 โครงการพิรุธ! จัดซื้อภาครัฐ ปมกังขาใน"ปภ.-กสทช.-ทร.-สพฐ."
ในรอบปี 2557 มีโครงการจัดซื้อจัดจ้างหน่วยงาน-องค์กรของรัฐ ที่ถูกสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบความไม่ชอบมาพากลจำนวนมาก บางโครงการปรากฎหลักฐานที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติชัดเจน และมีหลายโครงการที่หน่วยงานด้านการตรวจสอบรับเรื่องนำข้อมูลไปขยายผลการสอบสวนเชิงลึกต่อ

ทั้งนี้ เพื่อให้สาธารณชนเห็นภาพความผิดปกติของแต่ละโครงการแบบชัดๆ อีกครั้ง สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้รวบรวมข้อมูลโครงการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐ ที่ตรวจสอบพบข้อสังเกต พิรุธในการดำเนินงานที่ชัดเจน
อาทิ กระบวนการได้งานของเอกชนหรือองค์กรของรัฐ รวมทั้งวงเงิน ความคุ้มค่า การผูกขาดสัญญากับหน่วยงานนั้นๆ บางโครงการตรวจสอบพบว่ามีการผูกขาดมานับแต่รัฐบาลก่อน หรือย้อนไปหลายรัฐบาลก่อนหน้านี้ และยังคงผูกขาดการได้งานจากหน่วยงานรัฐมาจนกระทั่งถึงยุค คสช. ที่ประกาศลั่นว่าจะเดินหน้าตรวจสอบความโปร่งใสในการใช้งบประมาณของหน่วยงานรัฐ
ทว่า หลายโครงการเหล่านี้ กระบวนการตรวจสอบและดำเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องยังไม่ถึงที่สุด และส่วนใหญ่มีความล่าช้า จึงยังคงเป็นบทพิสูจน์เจตนารมณ์ในการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่น ภายใต้รัฐถาธิปัตย์ คสช.ว่ายึดมั่นในหลักการตามที่ได้ประกาศไว้อย่างจริงจังเพียงใด

@ เปิดเครือข่ายคว้างาน 7,000 ล. จัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง ปภ.
สืบเนื่องจากสำนักข่าวอิศราตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 57 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ทำสัญญาจัดซื้อกับเอกชน 7 รายการรวมวงเงิน 1,758,989,000 บาท และจากการตรวจสอบพบว่า 3 ใน 4 บริษัทที่ได้งานครั้งนี้มีความเชื่อมโยงกัน คือ บริษัท เชส เอ็นเตอร์ไพรส์ (สยาม) จำกัด, บริษัท วีม่า (ไทยแลนด์) จำกัด และ บริษัทดี แอล เอ็ม โซลูชั่นส์ จำกัด นอกจากนี้ ข้อมูลระหว่างปีงบประมาณ 2555-2557 สำนักข่าวอิศราตรวจสอบพบว่า บริษัท เชส เอ็นเตอร์ไพรส์ (สยาม) จำกัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ถึง 20 โครงการ รวมเงินรวม 5,509,706,900 บาท ซึ่งในจำนวน 20 โครงการที่ เชส เอ็นเตอร์ไพรส์ (สยาม) จำกัด เป็นผู้ชนะกวดราคาพบว่าบริษัท วีม่า (ไทยแลนด์) จำกัด เข้าร่วมประกวดราคาด้วยถึง 17 โครงการ
ขณะที่สัญญา ทั้ง 7 โครงการที่ลงนาม เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 57 สำนักข่าวอิศราพบว่ามี 4 โครงการ ที่มีกำหนดส่งงานงวดแรก ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2557 ได้แก่ โครงการที่ ปภ.ลงนามสัญญากับ บริษัทวีม่า ( ไทยแลนด์ ) จำกัด 2 โครงการ, โครงการที่ ปภ.กับ บริษัทดี แอล เอ็ม โซลูชั่นส์ จำกัด และ โครงการที่ปภ.กับ บริษัทอีซูซุประกิจมอเตอร์บ้านโป่ง จำกัด แต่จากการสอบถามรักษาการผู้อำนวยการกองคลังของ ปภ. ได้รับคำตอบว่า ทั้ง 4 โครงการยังไม่มีการส่งมอบงานงวดแรกแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ดำเนินการตรวจสอบกระบวนการได้งาน ปภ. ของเอกชนกลุ่มดังกล่าวแล้ว

@ เครือข่ายองค์กรรัฐผูกจัดซื้ออาหารดิบ กรมราชทัณฑ์
เนื่องจากกรมราชทัณฑ์มีนโยบายจัดซื้ออาหารสำหรับเลี้ยงผู้ต้องขังในเรือนจำ ทัณฑสถาน สถานกักกัน และสถานกักขัง ทั่วไปประเทศโดย”วิธีกรณีพิเศษ” จากหน่วยงาน 5 แห่งคือ องค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย (ชสท.) องค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์ และสหกรณ์การเกษตรในพื้นที่ ทว่า การจัดซื้อโดยวิธีกรณีพิเศษถูกร้องเรียนว่าเอื้อประโยชน์ให้หน่วยงานของรัฐบางราย เนื่องจากการจัดซื้อโดยวิธีดังกล่าว นำมาสู่ปัญหาสำคัญคือเรือนจำบางแห่งเรียกหน่วยงานของรัฐเพียงแห่งเดียวมาเสนอราคา และในกระบวนการจัดซื้อบางแห่ง พบว่าอาจมีการแก้ไขเอกสารการเสนอราคาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ผู้ร่วมเสนอราคาบางราย อาทิ มีการเสนอราคาก่อนกำหนดระยะเวลา ตามประกาศของจังหวัด อีกทั้งยังมีการร้องเรียนว่าองค์กรของรัฐที่ผูกขาดการจัดซื้อโดยวิธีกรณีพิเศษอาจตั้งเอกชนเป็นตัวแทนอีกทอดและผูกขาดการได้งานในหลาย
นอกจากนี้ ตั้งแต่ ปี 2543 เป็นต้นมาจนถึงปีงบประมาณ 2557 กรมราชทัณฑ์ได้จัดซื้ออาหารดิบฯ สำหรับเลี้ยงผู้ต้องขังเรือนจำทั่วประเทศจาก 4 หน่วยงาน คือ องค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย และ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย องค์การคลังสินค้า รวม 1,419 ครั้ง วงเงิน 13,047,267,333 บาท ในจำนวนนี้ องค์การตลาด กระทรวงมหาดไทยคว้างานมากสุด จำนวน 793 ครั้ง วงเงิน 6,788,756,887 บาท
ทว่า ปัจจุบัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา มิได้มีคำสั่งยกเลิกการจัดซื้ออาหารดิบ โดยวิธีกรณีพิเศษแต่อย่างใด แม้ตัวเลขและข้อมูลเหล่านี้ อาจสะท้อนนัยของการผูกขาดก็ตาม
@ การจัดซื้อจัดจ้างของ สำนักงาน กสทช. ที่เต็มไปด้วยคำถาม

- ป้อมยามฉาว กสทช.
สำนักข่าวอิศราตรวจสอบกรณีการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.ที่ลงนามสัญญาจ้างบริษัทจัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน ) ให้ติดตั้งป้อมยามรักษาความปลอดภัย ณ ประตู ด้านหน้าของสำนักงาน กสทช. วงเงินสูงถึง 435,704.00 บาท แต่จากการตรวจสอบพบ ว่าภายในป้อมยามมีอุปกรณ์ชำรุดและยังขาดความพร้อมหลายอย่าง ภายหลังการนำเสนอข่าวของสำนักข่าวอิศรา นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. มีคำสั่ง ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว โดยมีนายสมสกุล ชัยกาญจนาศักดิ์ ผู้เชี่ยวชาญรักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักการคลังเป็นประธานกรรมการสอบข้อเท็จจริง โดยผลสอบระบุว่าเป็นเรื่องการจ้างช่วงงานต่อ เนื่องจากบริษัทจัสมินฯ ไม่ได้ประกอบกิจการที่เกี่ยวกับการทำป้อมยามเอง การจ้างช่วงเข้าใจว่ามีการบวกกำไรเพิ่ม
ทั้งนี้ ผลสอบข้อเท็จจริงไม่มีการชี้ประเด็นที่ บ.จัสมินฯ ตั้งราคาแพงกว่าปกติว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ และไม่มีการตรวจสอบเชิงลึกถึงบริษัท ย่อยๆ ที่ บ.จัสมินฯ ไปจ้างช่วงต่อ ด้านนายฐากร ระบุว่า ลงนามเห็นชอบผลสอบข้อเท็จจริงแล้ว แต่ได้ตักเตือนให้เจ้าหน้าที่รักษาประโยชน์ของราชการยืนยันว่า ไม่ได้เข้าข้างลูกน้อง ผลสอบชี้ว่าราคาสูงกว่าในท้องตลาดจริง แต่มีเหตุผล เพราะต้องมีการวางระบบต่างจากป้อมยามอื่น และมีการเชื่อมกับระบบซีซีทีวีใหญ่ ไปยังสำนักงาน กสทช. ด้วย และกล่าวว่าทางสำนักงาน กสทช.มีความจำเป็น ต้องจ้าง บ.จัสมินฯ เนื่องจาก ว่ามีการเดินสายเชื่อมระบบซีซีทีวี ซึ่งเป็นงานเดิมของ บ.จัสมิน ที่ต้องเชื่อมสัญญาน โดยราคาป้อมยาม จริงๆ แล้ว ประมาณหนึ่งแสนแปดหมื่นบาท ที่เหลือเป็นค่าวางระบบ และค่าอื่นๆ
คำถามสำคัญคือ การติดตั้งป้อมยามของบริษัท จัสมินฯ เป็นไปด้วยความล่าช้าหรือไม่? ราคาที่แพงกว่าท้องตลาด มีความเหมาะสมหรือไม่ และเหตุใดสำนักงาน กสทช.ไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมหรือขยายผลไปถึงการตรวจสอบราคาจากต้นทุนที่แท้จริงหรือไม่ และเหตุใดจึงไม่มีการตั้งกรรมการสอบ หรือพิจารณาการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนในการลงนามสัญญา ว่าเพระเหตุใดจึงอนุมัตรตามกรอบวงเงินดังกล่าว
ทั้งที่มีราคาสูงกว่าท้องตลาด และเหตุใด ในปัจจุบันไม่ว่าทั้งป้อมเก่าและป้อมใหม่ ที่อยู่ในการดูแลของ บ.จัสมินฯ ยังมีอุปกรณ์หลายอย่างชำรุด ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์

- ต่อเติมโรงอาหาร กสทช. ใช้งบ 3.4 ล้านบาท
สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา สำนักงาน กสทช. ลงนามสัญญาใบสั่งเลขที่ พย.(จ)(พย.) 138/2557 จ้าง บริษัทพีพีพลัส เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ปรับปรุงต่อเติมร้านค้ารวมถึงทัศนียภาพบริเวณอาคารโรงอาหาร สำนักงาน กสทช. ด้วยวิธีสอบราคา วงเงินตามสัญญาจ้าง 3,473,814.84 บาท เมื่อผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณปรับปรุงต่อเติมดังกล่าวที่โรงอาหาร สำนักงาน กสทช. พบว่า มีการสร้างล็อคสำหรับร้านค้าจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้นมาใหม่ 4 ล็อค โดยแต่ละล็อคมีความกว้างประมาณ 2.5 เมตร ยาวประมาณ 3.5 เมตร ภายในมีเครื่องดูดควัน มีก๊อกน้ำและอ่างสำหรับล้างจาน ส่วนด้านหน้ามีป้ายไฟติดไว้
จากการสอบถามนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช.ถึงความเหมาะสมของวงเงินจำนวนดังกล่าว นายฐกรกล่าวว่า จะตรวจสอบให้ เบื้องต้น เรียก รองเลขาธิการ กสทช. คือ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุลมาสอบถามแล้ว เขาตอบได้หมด ในรายละเอียดทั้งหมด ตอบได้ทุกประเด็น
ด้านนางสุวรรณี เจียรานุชาติ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร ที่ชี้แจงร่วมกับนายฐากรกล่าวว่าโรงอาหารนี้ สร้างมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่สำนักงานแห่งนี้ ยังเป็น กรมไปรษณีย์โทรเลข การปรับปรุง คร้งนิ้มีการวางระบบ บำบัดน้ำ ท่อแก๊สมีการวางระบบป้องกัน แก๊สรั่ว และเนื่องจาก พนักงานเพิ่มมากขึ้น บริเวณโดยรอบก็ต้องทำเพิ่ม โรงอาหารก็ต้องทำเพิ่ม และระบุด้วยว่า โครงการดังกล่าวมี 4 บริษัท มาเสนอราคา แต่สรุปแล้วอีก 2 บริษัท ไม่เสนอราคา ขณะที่อีกบริษัทมีเอกสารไม่ครบถ้วน ในที่สุด จึงเหลือเพียงบริษํทเดียวมาเสนอราคา

- รองเลขาฯ กสทช.อนุมติงบ 10 ล. จัดทำของที่ระลึกปีใหม่
สำนักข่าวอิศราตรวจ สอบพบว่า รองเลขาธิการ กสทช. อนุมัติหลักการ ตามที่ผู้อำนวยการสำนักการพัสดุและบริหารทรัพย์สิน สำนักงาน กกสทช. เสนอการจัดสรรงบทำของที่ระลึกสำหรับ กสทช. และงบประมาณในการจัดทำของที่ระลึกของสำนักงาน กสทช. รวมวงเงิน 10 ล้านบาท โดยจัดสรรเป็นการจัดทำของที่ระลึกสำหรับ กสทช. จำนวน 4,000,000 บาท และจัดทำของที่ระลึก ของสำนักงานแจกจ่ายในวาระต่างๆ ได้แก่ วาระปีใหม่ จำนวน 6,000,000 บาท
จำแนกเป็นการจัดสรรงบประมาณ สำหรับประธาน กสทช.จำนวน 500,000 บาท และสำหรับ กสทช. ท่านละ 300,000 บาท ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศราถึงกรณีดังกล่าว ว่า กสทช.ตั้ง งบประมาณในการจัดทำของที่ระลึกให้กรรมการ กสทช. ซึ่งเดิมทีมีการจัดทำรวมไว้ทั้งหมด เช่นสำหรับกรรมการ กสทช. วงเงินรวม 3 ล้านบาท หรือ 5 ล้านบาท โดยเป็นของที่ระลึกที่จัดทำในนาม สำนักงาน กสทช. ทั้งหมด แต่ก่อนนี้ เมื่อทำของที่ระลึก เช่น ทำปฏิทินออกไป บางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ชอบ ในที่สุด จึงเฉลี่ยงบให้กรรมการแต่ละคนไปทำเองแต่ทำในรูปแบบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและยืนยันว่า กสทช.มีกระบวนการในการตรวจสอบ
อย่างไรก็ตาม การใช้งบประมาณสำหรับจัดทำของที่ระลึก ทั้งสำหรับ กสทช. และ กรรมการ กสทช. เป็นวงเงินรวม 10 ล้านบาท ยังนำไปสู่คำถามถึงความเหมาะสมในการใช้งบประมาณ ความคุ้มค่าและความจำเป็น รวมถึงความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ที่ สำนักงาน กสทช. ควรเปิดเผยว่า งบประมาณดังกล่าว ถูกนำไปจัดหาขอที่ระลึกตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในรูปแบบใด วิธีใด ของที่ระลึกนั้นคืออะไร

- เช่ารถโฟล์คตู้ วงเงิน 14 ล.รับรองแขกวีไอพี
สำนักข่าวอิศราตรวจสอบข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2556 พบว่าสำนักงาน กสทช. ลงนามสัญญาเลขที่ พย.(ช)(พย.) 70/2556 เช่ารถยนตร์จำนวน 3 คัน จากบริษัท โฟล์ครามรัชโยธิน จำกัด ด้วยวิธีพิเศษ วงเงิน 14,220,000 บาท จากการลงพื้นที่ตรวจสอบ ได้รับข้อมูลว่า โดยส่วนใหญ่ รถโฟล์คดังกล่าวใช้เพียงละ 2-3 ครั้งต่อเดือน
ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช.ชี้แจงสำนักข่าวอิศราในกรณีนี้ว่าวงเงินจำนวน 14 ล้านบาท เป็นราคาเช่ารถ ไม่ใช่ราคาจัดซื้อรถ และระบุด้วยว่า กสทช. เช่ารถ เดือนละ 60,000-70,000 ต่อเดือน ซึ่งเป็นราคาที่อิงกับราคามาตรฐานที่ส่วนราชการอื่นเช่า และสำนักงบประมาณ กำหนดไว้ว่าเช่ารถโฟล์คตู้กำหนดราคาเช่าเท่าไหร่ ส่วนกรณีที่ราคาแพง นายฐากรกล่าวว่าเนื่องจากสำนักงาน กสทช.ไม่ จ้างพนักงานขับรถเอง แต่ให้บริษัทคู่สัญญาบวกค่าจัดหาคนรถมาด้วยโดยรวมอยู่ในค่าเช่ารถ อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวอิศรา ยังคงตั้งคำถาม ถึงความจำเป็นและความเหมาะสมของการใช้งบประมาณในวงเงินดังกล่าว เพราะจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายยานพาหนะ ได้รับข้อมูลว่า สำนักงาน กสทช. มีรถตู้สำหรับรับ-ส่งพนักงาน อยู่แล้ว 10 คัน
ดังนั้น จำเป็นหรือไม่ ที่ต้องทุ่มงบประมาณไปจนถึงเพดานสูงสุดของกรอบวงเงินตามที่มีการกล่าวอ้าง สามารถเลือกใช้ยานพาหนะที่คุ้มค่า ทว่า ราคาเหมาะสมกว่าได้หรือไม่ และจำเป็นแค่ไหน ที่ต้องมีรถรับรองแขกของกรรมการ กสทช. ในเมื่อกรรมการ แต่ละคนล้วนมีรถประจำตำแหน่งอยู่แล้วทั้งสิ้น สามารถยืม หมุนเวียนกันใช้สอยได้หรือไม่
นี่คือข้อสังเกตของสำนักข่าวอิศรา ต่อการใช้งบประมาณในส่วนนี้ ของ กสทช.

- ปริศนานามบัตร 6 บ. ตราครุฑทองหน้า-หลัง
สำนักข่าวอิศราตรวจสอบข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ประจำเดือนกันยายน 2556 พบว่า สำนักงาน กสทช. ลงนามสัญญาใบสั่งเลขที่ พย.(จ)(อส.) 792/56 จ้างร้านเวิร์ค-ดี พิมพ์นามบัตรจำนวน 7,000 ใบ ด้วยวิธีตกลงราคา วงเงินตามสัญญาจ้าง 42,000 บาท เฉลี่ยนามบัตรใบละ 6 บาท แต่จากการสอบถามบริษัทรับทำนามบัตร ระบุว่า ปกติหากเป็นนามบัตรสี่สีปกติ พิมพ์จำนวนขั้นต่ำ 300 ใบ เฉลี่ยเพียงใบละไม่ถึง 1 บาทและหากสั่งทำจำนวนมาก ราคายิ่งถูกลง หรือหากมีการพิมพ์ลายสีทอง ปั๊มนูน ก็ตกราคาเพียงใบละ 5 บาทเท่านั้น
ด้านนางสุวรรนีย์ เจียรานุชาติ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร ปฏิบัติการแทนเลขาธิการ กสทช. ได้ส่งหนังสือชี้แจงกรณีดังกล่าวมายังสำนักข่าวอิศรา ใจความสำคัญระบุว่ามิใช่เป็นการจัดพิมพ์นามบัตรบุคคลเดียว จำนวน 7,000 ใบ แต่เป็นการจัดพิมพ์จำนวน 14 รายๆ ละ 500 ใบ ทั้ง 14 ชื่อกลุ่มงาน การจัดพิมพ์ พิมพ์ด้วยกระดาษ พี.วี.ซี. ปั๊มครุฑทองหน้า-หลัง ตัวหนังสือสีน้ำเงินฟ้า ด้านหน้า ( ภาษาไทย ) ด้านหลัง (ภาษาอังกฤษ) และระบุว่าจากการสำรวจโรงพิมพ์ของส่วนราชการ เช่น สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา แสดงให้เห็นว่าสำนักงาน กสทช. มิได้จัดจ้างพิมพ์นามบัตรราคาแพงกว่าท้องตลาด ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เปิดเผยกับสำนักข่าวอิศรา ถึงกรณีการจัดพิมพ์นามบัตร ใบยละ 6 บาทว่า ไม่ทราบว่า นามบัตรของตน มีราคาเท่าไหร่ และได้มอบนามบัตรให้กับผู้สื่อข่าว โดยนามบัตรของนายฐากร มีการพิมพ์ 2 หน้า และมีตราครุฑทอง ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีลักษณะหรือสเปกตามหนังสือชี้แจงของสำนักสื่อสารองค์กร ทว่า นามบัตร ของกรรมการ กสทช. รายอื่นๆ อาทิ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา มีการพิมพ์เพียงด้านเดียว ด้านหลังเป็นพื้นที่ว่าง
ข้อสังเกตของสำนักข่าวอิศราคือ มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด ที่ เลขา กสทช. และกรรมการ กสทช. ต้องพิมพ์นามบัตรลักษณะแตกต่างกัน เหตุใดไม่เลือกใช้นามบัตรที่มีราคาเหมาะสมและมีลักษณะเดียวกันทั้งองค์กร

- ปธ-เลขา-กรรมการ กสทช.ตัดชุดสูท รวมวงเงิน 3 แสน
สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.พบว่าได้ลงนามสัญญาจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้องเสื้อบรอดเวย์ โดยวิธีตกลงราคา เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2556 สัญญาเลขที่ พย.(จ.)(บย.) 1289/2556 ให้จ้างตัดเย็บสูทสากลสำหรับคณะกรรมการ กสทช.และเลขาธิการ กสทช. วงเงินตามสัญญาจ้าง 367,224.00 บาท จากการสอบถามห้องเสื้อบรอดเวย์ถึงการจ้างตัดเย็บสูทสากลให้กับกรรมการ กสทช. พนักงานห้องเสื้อแห่งนี้กล่าวว่ากรรมการ กสทช. มาตัดเสื้อที่ร้านบรอดเวย์จริง โดยทางร้านตัดให้คนละชุด และต่อมามี กสทช.บางรายมาตัดเองต่างหากเพิ่ม เพราะใส่แล้วถูกใจก็เลยมาตัดเพิ่มอีกผู้สื่อข่าวถามว่า ราคาค่าตัดเย็บชุดละเท่าไหร่ พนักงานร้านกล่าวว่า ราคาหน้าร้านอยู่ที่ราคาชุดละ 3 หมื่นบาท แต่การตัดให้หน่วยงานราชการแต่ละครั้งไม่ทราบว่าเจ้าของร้านคิดราคาชุดละเท่าไหร่
ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ชี้แจงสำนักข่าวอิศราที่สอบถามถึงความเหมาะสมในการใช้งบประมาณขององค์กรตัดชุดสูทครั้งนี้ ว่า เนื่องจากเมื่อมีกรรมการ กสทช.ครั้งแรก ในปี 2554 ประธาน กสทช.เห็นว่าอยากให้รูปที่ถ่ายติดไว้ที่สำนักงาน ออกมาดูดี ซึ่งรูปที่เห็นทั้งหมดนั้น สูทมาจากร้านบรอดเวย์. นายฐากรกล่าวด้วยว่าสาเหตุที่ตัดชุดสูทให้เหือนกันเพื่อจะทำให้รูป กสทช.ที่ติดออกมาดูดี และยืนยันว่าการตัดชุดสูทนี้ ตัดเพียงคนละ 1 ชุดเท่านั้น และเป็นครั้งนั้น เพียงครั้งเดียวที่ตนได้รับสูทจาก กสทช. ไม่เคยมีการใช้งบจ้างตัดสูทอีก ตนไม่เคยตัดอีกเลย นายฐากรยืนยันด้วยว่า การที่มี กรรมการ กสทช.ไปตัดชุดสูทเพิ่ม เป้นงบส่วนตัว ไม่ใช่งบองค์กร เพราะ สำนักงานสั่งตัดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ด้านนางสุวรรนีย์ เจียรานุชาติ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร ที่ชี้แจงสำนักข่าวอิศราในประเด็นดังกล่าว ร่วมกับนายฐากร ระบุว่าพนักงานก็ขอให้ท่านตัดด้วย ไม่อย่างนั้น ถ่ายภาพออกมา สูทบางคนจะดำ บางคนน้ำเงิน
ขณะที่นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช.ให้สัมภาษณ์ยืนยันสำนักข่าวอิศรา กรรมการ กสทช. มีการตัดสูทไว้ใช้งานจริง แต่ไม่ทราบรายละเอียดเรื่องราคาว่าจ้าง เพราะในขั้นตอนการดำเนินงานทางสำนักงาน กสทช.เป็นผู้รับผิดชอบ โดยตนได้รับหนังสือเวียนแจ้งมา ว่าให้มีการตัดสูท เพื่อใช้ในงานพิธีการต่างๆ จากนั้นมีช่างมาวัดตัว และตัดไป ตนรู้เพียงเท่านี้ เมื่อมาเห็นราคาจากข้อมูลที่สำนักข่าวอิศราลงรู้สึกตกใจ คิดว่าราคาน่าจะแพงเกินไปและระบุด้วยกว่าการทำหนังสือแจ้งเวียนตัดเสื้อของสำนักงาน กสทช. ที่ส่งเข้ามาให้กรรมการ กสทช. มีหลายครั้ง ไม่เฉพาะการตัดสูทเท่านั้น มีทั้งเสื้อโปโล แจ็คเก็ต และเสื้อตามเทศกาลต่างๆ แต่ไม่รู้ว่าไปจ้างตัดที่ไหนบ้าง

@ มหากาพย์ ห้องเย็น ทร.
คดีนี้ สืบเนื่องจากคณะกรรมการสวัสดิการสัตหีบ ให้เอกชนเข้ามาบริหารกิจการห้องเย็นสวัสดิการสัตหีบ กองบัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ กองทัพเรือ จนเกิดความเสียหาย 39.9 ล้านบาท โดยเมื่อปี 2548 กิจการห้องเย็นสวัสดิการสัตหีบ ชักนำร้าน KO ซึ่งเป็นกิจการของภรรยาของ พล.ร.ต.คนหนึ่ง ที่มีตำแหน่งเป็น รอง ผบ.ฐส.สส.ขณะนั้นให้เข้ามาขายกับกิจการห้องเย็นแทนร้านผักร้านหนึ่งที่มีอยู่เดิม โดยกิจการห้องเย็นได้มอบหมายให้ร้าน KO เป็นผู้จัดส่งเสบียงให้แก่หน่วยทหารของ ทร. และเอกชนในพื้นที่สัตหีบและใกล้เคียง รวมทั้งเก็บเงินจากลูกค้าเอง ซึ่งในการดำเนินการ กิจการห้องเย็นเป็นผู้ออกเงินทุนให้ก่อน โดยไม่มีการทำสัญญาหรือข้อตกลงไว้ต่อกัน ต่อมาสำนักตรวจสอบภายใน กองทัพเรือ เสนอให้กิจการห้องเย็นทำบันทึกข้อตกลงหรือสัญญากับร้าน KO เนื่องจากการดำเนินงานก่อนหน้านี้ไม่มีการทำสัญญา
ในเวลาต่อมา เมื่อประธานกรรมการสวัสดิการสัตหีบ และ ผู้จัดการกิจการห้องเย็นรายใหม่ เห็นว่าเงินทุนของสวัสดิการสัตหีบขาดสภาพคล่อง เนื่องจากมีเงินค้างอยู่ที่ร้าน KO จำนวนมาก จึงสั่งระงับการจ่ายเงินทุนค่าเสบียงให้แก่ร้าน KO ทางร้าน KO ก็สั่งระงับการจ่ายเงินตามเช็คล่วงหน้าที่ให้ไว้แก่กิจการห้องเย็น จำนวน 12 ฉบับ รวมเป็นเงิน 36,850,053.10 บาท กับเงินทุนจำนวน 3,029,264.05 บาท ที่ได้รับไปแล้วแต่ยังไม่ได้ออกเช็คล่วงหน้า รวมเป็นเงินที่ร้าน KO ไม่ได้คืนให้แก่กิจการห้องเย็น เป็นเงิน 39,979,317.15 บาท จากนั้น ประธานกรรมการสวัสดิการ ทร.และ ผบ.ทร. (พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ) ได้อนุมัติแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีดังกล่าวเมื่อปี 2553
โดยประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง สรุปผลสอบสวนและรายงานผลสอบสวนเสนอ ทร. มีความเห็นให้ ประธานกรรมการสวัสดิการ สัตหีบ และ ผบ.ฐท.สส. หรือผู้แทนไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีอาญากับนางอังคณา เจ้าของร้าน KO ขณะที่สำนักงานพระธรรมนูญทหารเรือ ได้ทำรายงานผลสอบสวนข้อเท็จเท็จจริงความผิดทางละเมิด เสนอ ทร. ในปี 2554 ระบุว่ากรณีดังกล่าวมีผู้ต้องรับผิด 6 ราย ส่วนเจ้าหน้าที่อีก 6 รายที่ไม่ได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหายจึงไม่ต้องรับผิด จากนั้นกองทัพเรือได้ร้องทุกข์กล่าวโทษบุคคลที่กระผิดในข้อหาร่วมทุจริตจนเกิดความเสียหายในกรณีดังกล่าวต่อคณะกรรมการ ป้องกันและปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) นำมาสู่การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง
ต่อมากรมบัญชีกลาง (สำนักความรับผิดทางแพ่ง) กระทรวงการคลัง มีความเห็นว่ามีผู้ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 2 กลุ่ม รวม 14 คน คือกลุ่มที่ผู้กระทำโดยจงใจให้ทางราชการได้รับความเสียหาย 3 คน และกลุ่มที่กระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำนวน 8 คน ส่วนความคืบหน้าล่าสุด เมื่อ 1 พ.ย.56 เจ้าหน้าที่ห้องเย็น ที่ถูกกองทัพเรือทำหนังสือแจ้งว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่มีความผิดทางละเมิด และให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 15,991,726.86 บาท ได้ยื่นฟ้องผู้บัญชาการกองทัพเรือกับพวกเป็นจำเลยต่อศาลปกครอง ระยองขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งทางปกครองจากกรณีที่กองทัพเรือมีคำสั่งให้ชดใช้เงินค่าเสียหาย จำนวน 15,991,726.86 บาท โดยเจ้าหน้าที่รายนี้ อ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
ปัจจุบันคดีดังกล่าวยังค้างอยู่ที่ ป.ป.ช. และศาลปกครอง ท่ามกลางคำถามจากสังคมว่าการดำเนินคดีเอาผิดทางวินัยกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเอื้อประโยชน์ให้เอกชน กระทั่งสร้างความเสียหายกว่า 39.9 ล้านบาท กระบวนการตรวจสอบและเอาผิด ดำเนินไปอย่างล่าช้าเกินควรหรือไม่

@ ฟุตซอลสุดฉาว ของ สพฐ.
สืบเนื่องจากกรณีโครงการก่อสร้างสนามสนามฟุตซอลโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือกว่า 10 จังหวัดวงเงินงบประมาณเกือบ 700 ล้านบาท โดยสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า มีบริษัท 5 แห่งที่ได้รับการจ้างงานก่อสร้างสนามฟุตซอลให้โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะ กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) รวมจำนวนทั้งสิ้น 37 แห่ง วงเงิน 133 ล้าน ล้วนเป็นเครือข่ายเดียวกัน และมีความเชื่อมโยงกับอดีต ส.ส.อีสานพรรคเพื่อไทย นอกจากนี้ เอกชนที่เป็นผู้รับเหมา 21 ราย ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคอีสาน และ 7 จังหวัดภาคเหนือ เมื่อจำแนกบุคคลที่เกี่ยวข้องระหว่างบริษัทแล้ว พบความเชื่อมโยงเป็น 2 เครือข่ายหลัก ขณะที่บริษัทกลุ่มย่อยบางแห่งเกี่ยวพันกับเครือญาตินักการเมืองในพื้นที่
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. พบว่าสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2555 ให้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาในจังหวัดต่าง ๆ ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 3 จังหวัด รวม 76 แห่ง เป็นเงินจำนวน 277.5 ล้านบาท โดยงบประมาณดังกล่าวได้มาจากการแปรญัตติของ ส.ส. ที่ระบุเป็นค่าก่อสร้าง-ปรับปรุง ซ่อมแซมอาคารเรียน อาคารประกอบ และสิ่งก่อสร้างที่ชำรุดทรุดโทรมที่ประสบอุบัติภัย แต่การดำเนินการได้นำไปก่อสร้างสนามฟุตซอล โดยเจาะจงส่งงบประมาณไปในจังหวัดข้างต้นที่กลุ่มการเมืองต้องการ โดยกลุ่มการเมืองกำหนดให้ดำเนินการตามแนวทางการจัดซื้อจัดจ้าง การประกวดราคา การกำหนดราคากลาง รวมทั้งร่างบันทึกการกำหนดขอบเขตงาน (TOR) เพื่อให้บริษัทห้างร้านของกลุ่มการเมืองดังกล่าวเป็นผู้ได้รับงาน
ด้านเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยสำนักข่าวอิศราว่าโรงเรียนที่เหลืออีกจำนวน 304 โรงเรียน ในพื้นที่ 16 จังหวัด ป.ป.ท. จะร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบข้อมูลต่อไปจนครบถ้วน
นอกจากนี้ ป.ป.ท.จะทำงานร่วมกับ สตง., ป.ป.ช., ป.ป.ง. และดีเอสไอในการขยายผลไปถึงเครือข่ายของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง และกระบวนการอันนำไปสู่การเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มนายทุนหรือบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
...
เหล่านี้ คือโครงการจัดซื้อจัดจ้างหน่วยงาน องค์กรของรัฐ ที่สังคมมีคำถามถึงความโปร่งใสในกระบวนการแต่ละขั้นตอน รวมถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินการทางวินัยเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
โดยในหลายกรณีไม่มีการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ส่วนในกรณีที่มีการตรวจสอบก็พบว่าดำเนินไปอย่างล่าช้าโดยบางโครงการใช้เวลานานหลายปีและยังไร้ข้อยุติ บ้างก็ไม่มีการขยายผลสอบในประเด็นเชิงลึกเพิ่มเติมแต่อย่างใด
