คำสอน "มหาชนกชาดก" แห่งภาพ ส.ค.ส. ในหลวงปี 2558
"..บุคคลเมื่อกระทำความเพียร แม้จะตายก็ชื่อว่า ไม่เป็นหนี้ในระหว่างหมู่ญาติเทวดา และบิดามารดา อนึ่ง บุคคลเมื่อทำกิจอย่างลูกผู้ชาย ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง.."

ภาพ "ส.ค.ส." ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานในปี 2558 ให้กับประชาชนชาวไทย โดยเป็นภาพนางมณีเมขลาและพระมหาชนกที่กำลังว่ายอยู่กลางทะเล เป็นภาพตอนหนึ่งในทศชาติชาดก ของพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยชาติเป็นพระมหาชนก ซึ่งบำเพ็ญวิริยปรมัตถบารมี
เมื่อครั้งออกเรือสำเภาไปกับพ่อค้า เพื่อไปค้าขายที่เมืองมิถิลานคร แต่เรืออับปางกลางทะเล ผู้คนในเรือต่างตายสิ้น ยกเว้นแต่พระมหาชนก และทรงว่ายน้ำเจ็ดวันเจ็ดคืนเพื่อว่ายไปหาฝั่ง และเมื่อมาถึงวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง จึงบ้วนพระโอฐด้วยน้ำเค็ม ทรงสมาทานอุโบสถศีล หรือ ศีลแปด
ในกาลนั้น ท้าวโลกบาลทั้งสี่มอบให้เทพธิดาชื่อ "มณีเมขลา" เป็นผู้ดูแลรักษาสัตว์ทั้งหลาย ผู้ประกอบด้วยคุณ มีบำรุงมารดาเป็นต้น เป็นผู้ไม่สมควรจะตายในมหาสมุทร นางมณีเมขลามิได้ตรวจตรามหาสมุทรเป็นเวลาเจ็ดวัน
เล่ากันว่า นางเสวยทิพยสมบัติเพลินก็เผลอสติมิได้ตรวจตรา นางเทพธิดาไปเทพสมาคมเสีย นางคิดได้ว่า วันนี้เป็นวันที่เจ็ดที่เรามิได้ตรวจตรามหาสมุทร มีเหตุอะไรบ้างหนอ.
เมื่อนางตรวจดูก็เห็นพระมหาสัตว์ จึงคิดว่า ถ้ามหาชนกกุมารจักตายในมหาสมุทร เราจักไม่ได้เข้าเทวสมาคม คิดฉะนี้แล้ว ตกแต่งสรีระ สถิตอยู่ในอากาศไม่ไกลพระมหาสัตว์ เมื่อจะทดลองพระมหาสัตว์ จึงกล่าวคาถาแรกว่า
"นี้ใคร เมื่อแลไม่เห็นฝั่ง ก็อุตสาหะพยายามว่ายอยู่ ท่ามกลางมหาสมุทร ท่านรู้อำนาจประโยชน์อะไร จึงพยายามว่ายอยู่อย่างนี้นักหนา"
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปสฺสนฺตีรํ แปลว่า แลไม่เห็นฝั่งเลย. บทว่า อายุเห ได้แก่ กระทำความเพียร.
ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ทรงดำริว่า "เราว่ายข้ามมหาสมุทรมาได้เจ็ดวันเข้าวันนี้ ไม่เคยเห็นเพื่อนสองของเราเลย นี่ใครหนอมาพูดกะเรา" เมื่อแลไปในอากาศก็ทอดพระเนตรเห็นนางมณีเมขลา จึงตรัสคาถาที่สองว่า
"ดูก่อนเทวดา เราไตร่ตรองเห็นปฏิปทาแห่งโลกและอานิสงส์แห่งความเพียร เพราะฉะนั้น ถึงจะมองไม่เห็นฝั่ง เราก็ต้องพยายามว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร"
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิสมฺม วตฺตํ โลกสฺส ความว่า เรานั้นไตร่ตรอง คือใคร่ครวญวัตร คือปฏิปทาของโลกอยู่. บทว่า วายมสฺส จ ความว่า พระมหาสัตว์แสดงความว่า เราไตร่ตรอง คือเห็นอานิสงส์แห่งความเพียรอยู่. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเราไตร่ตรองอยู่ คือรู้ว่า ชื่อว่าความเพียรของบุรุษย่อมไม่เสียหาย ย่อมให้ตั้งอยู่ในความสุข ฉะนั้น แม้จะมองไม่เห็นฝั่งก็ต้องพยายาม คือกระทำความเพียร อธิบายว่า เราจะไม่คำนึงถึงข้อนั้นได้อย่างไร.
นางมณีเมขลาปรารถนาจะฟังธรรมกถาของพระมหาสัตว์ จึงกล่าวคาถาอีกว่า
"ฝั่งมหาสมุทรลึกจนประมาณไม่ได้ ย่อมไม่ปรากฏแก่ท่าน ความพยายามอย่างลูกผู้ชายของท่าน ก็เปล่าประโยชน์ ท่านไม่ทันถึงฝั่งก็จักตาย"
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปตฺวา ว ความว่า ยังไม่ทันถึงฝั่งเลย ท่านก็จักตาย.
ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ตรัสกะนางมณีเมขลาว่า "ท่านพูดอะไรอย่างนั้น เราทำความพยายาม แม้ตายก็จักพ้นครหา" ตรัสฉะนี้แล้ว จึงกล่าวคาถาว่า
"บุคคลเมื่อกระทำความเพียร แม้จะตายก็ชื่อว่า ไม่เป็นหนี้ในระหว่างหมู่ญาติเทวดา และบิดามารดา อนึ่ง บุคคลเมื่อทำกิจอย่างลูกผู้ชาย ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง"
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อณโน ความว่า ดูก่อนเทวดา บุคคลเมื่อกระทำความเพียร แม้จะตาย ก็ย่อมไม่เป็นหนี้ คือไม่ถูกติเตียน ในระหว่างญาติทั้งหลาย เทวดาทั้งหลาย และพรหมทั้งหลาย.
ลำดับนั้น เทวดากล่าวคาถากะพระมหาสัตว์ว่า
"การงานอันใด ยังไม่ถึงที่สุดด้วยความพยายาม การงานอันนั้นก็ไร้ผล มีความลำบากเกิดขึ้น การทำความพยายามในฐานะอันไม่สมควรใด จนความตายปรากฏขึ้น ความพยายามในฐานะอันไม่สมควรนั้นจะมีประโยชน์อะไร"
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปารเณยฺยํ ความว่า ยังไม่ถึงที่สุดด้วยความพยายาม. บทว่า มจฺจุ ยสฺสาภินิปฺผตํ ความว่า การทำความพยายามในฐานะอันไม่สมควรใด จนมัจจุ คือความตายนั่นแลปรากฏขึ้น ความพยายามในฐานะอันไม่สมควรนั้นจะมีประโยชน์อะไร.
เมื่อนางมณีเมขลากล่าวอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์เมื่อจะทำนางมณีเมขลาให้จำนนต่อถ้อยคำ จึงได้ตรัสคาถาต่อไปว่า
"ดูก่อนเทวดา ผู้ใดรู้แจ้งว่าการงานที่ทำ จะไม่ลุล่วงไปได้จริงๆ ชื่อว่าไม่รักษาชีวิตของตน ถ้าผู้นั้นละความเพียรในฐานะเช่นนั้นเสีย ก็จะพึงรู้ผลแห่งความเกียจคร้าน"
"ดูก่อนเทวดา คนบางพวกในโลกนี้เห็นผลแห่งความประสงค์ของตน จึงประกอบการงานทั้งหลาย การงานเหล่านั้นจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม"
"ดูก่อนเทวดา ท่านก็เห็นผลแห่งกรรมประจักษ์แก่ตนแล้วมิใช่หรือ คนอื่นๆ จมในมหาสมุทรหมด เราคนเดียวยังว่ายข้ามอยู่ และได้เห็นท่านมาสถิตอยู่ใกล้ๆเรา เรานั้นจักพยายามตามสติกำลัง จักทำความเพียรที่บุรุษควรทำ ไปให้ถึงฝั่งแห่งมหาสมุทร"
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อจฺจนฺตํ ความว่า ผู้ใดรู้แจ้งการงานนี้ว่า แม้ทำความเพียรก็ไม่อาจให้สำเร็จได้ ไม่ลุล่วงไปได้จริงๆ ทีเดียว ดังนี้ ไม่นำช้างดุร้ายและช้างตกมันเป็นต้นออกไปเสีย ชื่อว่าไม่รักษาชีวิตของตน. บทว่า ชญฺญา โส ยทิ หาปเย ความว่า ถ้าผู้นั้นละความเพียรในฐานะเช่นนั้นเสีย ก็จะพึงรู้ผลแห่งความเกียจคร้านนั้น คำที่ท่านกล่าวนั้นๆไร้ประโยชน์ พระมหาสัตว์ทรงชี้แจงดังนี้ ก็บทที่เขียนไว้ในบาลีว่า ชญฺญา โส ยทิ หาปเย นั้น ไม่มีในอรรถกถา. บทว่า อธิปฺปายผลํ ความว่า คนบางพวกเห็นผลแห่งความประสงค์ของตน ประกอบการงานมีกสิกรรม และพาณิชกรรมเป็นต้น. บทว่า ตานิ อิชฺฌนฺติ วา น วา ความว่า พระมหาสัตว์ทรงแสดงความว่า เมื่อบุคคลกระทำความเพียรทางกาย และความเพียรทางใจว่า เราจักไปในที่นี้ จักเรียนสิ่งนี้ การงานเหล่านั้นย่อมสำเร็จทีเดียว เพราะฉะนั้น จึงควรทำความเพียรแท้. บทว่า สนฺนา อญฺเญ ตรามหํ ความว่า คนอื่นๆจม คือ จมลงในมหาสมุทร คือเมื่อไม่ทำความเพียร ก็เป็นภักษาแห่งปลาและเต่ากันหมด แต่เราคนเดียวเท่านั้นยังว่ายข้ามอยู่. บทว่า ตญฺจ ปสฺสามิ สนฺติเก ความว่า ท่านจงดูผลแห่งความเพียรของเราแม้นี้ เราไม่เคยเห็นเทวดาโดยอัตภาพนี้เลย เรานั้นก็ได้เห็นท่านมาสถิตอยู่ใกล้ๆ เรา โดยอัตภาพทิพย์นี้. บทว่า ยถาสติ ยถาพลํ ความว่า สมควรแก่สติและกำลังของตน. บทว่า กาสํ แปลว่า จักกระทำ.
เทวดาได้สดับพระวาจาอันมั่นคงของพระมหาสัตว์นั้น เมื่อจะสรรเสริญพระมหาสัตว์ จึงกล่าวคาถาว่า
"ท่านใดถึงพร้อมด้วยความพยายามโดยธรรม ไม่จมลงในห้วงมหรรณพ ซึ่งประมาณมิได้ เห็นปานนี้ด้วยกิจ คือความเพียรของบุรุษ ท่านนั้นจงไปในสถานที่ที่ใจของท่านยินดีนั้นเถิด"
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ คเต ความว่า ในห้วงน้ำซึ่งประมาณมิได้ เห็นปานนี้ คือในมหาสมุทรทั้งลึกทั้งกว้าง. บทว่า ธมฺมวายามสมฺปนฺโน ความว่า ประกอบด้วยความพยายามอันชอบธรรม. บทว่า กมฺมุนา นาวสีทสิ ความว่า ท่านไม่จมลงด้วยกิจ คือความเพียรของบุรุษของตน. บทว่า ยตฺถ เต ความว่า ใจของท่านยินดีในสถานที่ใด ท่านจงไปในสถานที่นั้นเถิด.
ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว นางมณีเมขลาได้ถามว่า "ข้าแต่ท่านบัณฑิตผู้มีความบากบั่นมาก ข้าพเจ้าจักนำท่านไปที่ไหน" เมื่อพระมหาสัตว์ตรัสว่า "มิถิลานคร" นางจึงอุ้มพระมหาสัตว์ขึ้น ดุจคนยกกำดอกไม้ ใช้แขนทั้งสองประคองให้นอนแนบทรวง พาเหาะไปในอากาศเหมือนคนอุ้มลูกรัก ฉะนั้น. พระมหาสัตว์มีสรีระเศร้าหมองด้วยน้ำเค็มตลอดเจ็ดวัน ได้สัมผัสทิพยผัสสะก็บรรทมหลับ.
ลำดับนั้น นางมณีเมขลานำพระมหาสัตว์ถึงมิถิลานคร ให้บรรทมโดยเบื้องขวาบนแผ่นศิลา อันเป็นมงคลในสวนมะม่วง มอบให้หมู่เทพเจ้าในสวนคอยอารักขาพระมหาสัตว์แล้วไปสู่ที่อยู่ของตน
หมายเหตุ : ที่มา ข้อมูลจาก อรรถกถา มหาชนกชาดก ว่าด้วย พระมหาชนกทรงบำเพ็ญวิริยบารมี http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28&i=442
