"สายตรงจากกัวลาลัมเปอร์" เสียงแห่งความกลัว
สดๆร้อนๆ เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๔ เวลา ราวๆหนึ่งทุ่มสี่สิบห้านาทีของประเทศไทย นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค แห่งมาเลเซีย ปรากฏตัวทางโทรทัศน์เพื่อการแถลงเนื่องในโอกาส “วันมาเลเซีย” (Malaysia Day) อันเป็นวันรำลึกถึงการรวมตัวของเกาะบอร์เนียวเหนือ ซาราวัค สิงคโปร์ และแผ่นดินใหญ่มลายา ขึ้นเป็นประเทศมาเลเซีย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖
ไม่มีใครรู้แน่ว่านายกฯนาจิบจะพูดอะไร แม้แต่วาระการแถลงครั้งนี้ก็เพิ่งจะบอกกล่าวกับนักข่าวเอาเมื่อตอนหัวค่ำวันเดียวกัน ท่าทีอุบๆอิบๆของทำเนียบทำเอาข่าวลือแพร่สะพัดไปในหมู่สื่อมวลชนว่าชะรอยนายกฯจะประกาศนโยบายปฏิรูปใหญ่เตรียมรับการเลือกตั้งทั่วไปเสียกระมัง
เมื่อถึงเวลา นายนาจิบในชุดสูทสีเทาเนคไทส้มเข้าคู่กันเป๊ะกับสีผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋า ก็ปรากฏตัวหน้าจอทีวีตามนัด แล้วประกาศสิ่งที่นักเรียกร้องประชาธิปไตย ชนกลุ่มน้อย นักรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน และฝ่ายค้าน เฝ้าเรียกร้องรอคอยมานานนับตั้งแต่ยังจำความได้จนบางรายอายุล่วงเลยวัยเกษียณมานานนม นั่นก็คือการยกเลิกกฎหมายเผด็จการตัวพ่อที่เรียกกันสั้นๆว่า “ไอเอสเอ” หรือกฎหมายความมั่นคงภายใน (Internal Security Act ) นั่นเอง
ผู้เขียนมีข้อสังเกตส่วนตัวหลังจากเฝ้าดูชมละครการเมืองของมาเลเซียมานานพอสมควรว่า อิทธิพลของการเมืองนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเรื่องของการต่อรองเชิงอำนาจของขั้วทางการเมืองและผู้มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง หรือเรื่องผลกระทบต่อความเป็นอยู่ประชาชนอันเป็นเรื่องทางกายภาพเท่านั้น แต่การเมืองยังมีอิทธิพลอย่างมหาศาลกับชีวิตจิตใจและทัศนคติต่อสิ่งต่างๆของผู้คน แล้วสะท้อนออกมาในรูปของบุคลิกภาพการแสดงออกและการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชนด้วยกันเอง แม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องของอำนาจแม้แต่น้อย
คนมาเลเซียเมื่อสิบปีที่แล้วเป็นมนุษย์ปลอดการเมือง หมายความว่าถ้าจะชวนพวกเขาคุยเรื่องการเมืองมักจะไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มิหนำซ้ำมักทำท่าอึดอัดไม่สบายใจใส่คนถาม ถ้าเป็นคนที่รู้จักกันมากหน่อย บทสนทนาทางการเมืองอาจมีเนื้อหาขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงอยู่ในบรรยากาศของการซุบซิบหวาดระแวง เนื่องจากปัญหาที่แก้ไม่ตกของประเทศนี้คือความแตกต่างไม่ลงรอยด้านเชื้อชาติ ทำให้ความหวาดระแวงนี้มีอยู่ระหว่างประชาชนกับรัฐบาล และประชาชนกับประชาชนด้วยกันเอง อาการดังกล่าวคืออาการ อันเนื่องมาจากบรรยากาศทางการเมือง ที่เรียกได้ว่า “บรรยากาศของความกลัว” นั่นแหละ
ถ้าคิดไม่ออกเรื่องอาการหวาดระแวงของคนมาเลเซีย ให้ลองเปลี่ยนคำว่า “เชื้อชาติ” มาเป็นคำว่า “สี” อาจพอเห็นภาพได้บ้าง
บรรยากาศของความกลัวในมาเลเซีย ถูกสร้างขึ้นมานับตั้งแต่ก่อนมาเลเซียได้รับอิสรภาพจากอังกฤษเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ผ่านทางกฎหมายที่อนุญาตให้มีการจับกุมคุมขังโดไม่ต้องดำเนินคดี กฎหมายว่าด้วยข้อบังคับในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ออกในปี ๑๔๙๑ ในยุคที่อังกฤษยังยึดครองมลายา มุ่งเป้าไปที่การจัดการกับพรรคคอมมิวนิสต์มลายาโดยเฉพาะ เมื่อหมดยุคอาณานิคม รัฐบาลมาเลเซียภายใต้การนำของพรรคอัมโน (UMNO: United Malays National Organization) ที่ยังคงปกครองประเทศมาเรื่อยๆเป็นเวลา ๕๔ ปีแล้ว ได้ออกกฎหมายความมั่นคงภายในฉบับที่ว่านี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ โดยนายกฯ ตวนกู อับดุล ราห์มาน นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศ ออกมายืนยันนั่งยันว่ากฎหมายฉบับนี้มีไว้ปราบคอมฯเท่านั้นนะพี่น้อง ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่นเล้ย...
อาจเป็นเพราะตวนกู อับดุล ราห์มาน ท่านลาจากโลกนี้ไปนานแล้ว ไม่สามารถมาตอบคำทวงถามของพ่อแม่พี่น้องชาวมาเลเซียยุคนี้ ได้ กฎหมายไอเอสเอจึงออกฤทธิ์กลายมาเป็นไม้เท้ากายสิทธิ์ของพรรคอัมโนในการกำจัดศุตรูทางการเมือง ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเข้าจับกุมใครก็ได้ที่ (ตำรวจ) คิดว่าเข้าข่ายการกระทำอันเป็นการคุกคามความมั่นคงภายใน และสามารถคุมขังผู้ต้องสงสัยได้ในระยะเวลาไม่เกินสองปี แถมเมื่อครบระยะเวลาสองปีแล้ว กฎหมายยังบอกว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจในการสั่งให้ต่ออายุการคุมขังได้อีกรอบละไม่เกินสองปีไปได้เรื่อยๆ พูดง่ายๆว่า ใครทำตัวเข้าตาตำรวจ หรือบิ๊กๆของพรรคอัมโน ก็มีสิทธิถูกหวยไปนั่งท่องสูตรคูณแม่สองในคุกแบบยาวๆ
คำชี้แจงในสภาของอดีตนายกรัฐมนตรีอับดุลลาห์ บาดาวี เมื่อปี ๒๕๔๘ เพื่อตอบคำถาม นายลิม กิต เสียงผู้นำพรรคฝ่ายค้านศิษย์เก่าไอเอสเอคนหนึ่ง ระบุว่าในระยะเวลา ๔๔ ปีที่ผ่านมา มีคนถูกจับกุมด้วยไอเอสเอทั้งหมดกว่าหนึ่งหมื่อคน ในจำนวนนั้น ๔,๑๓๙ คนถูกคุมขังอย่างเป็นทางการ และระหว่าง พ.ศ. ๒๕๒๗ ถึง ๒๕๓๖ มีผู้ถูกประหารชีวิตภายใต้กฏหมายนี้จำนวน ๑๒ คน
สูตรคุณแม่สองไม่ใช่ท่าไม้ตายเพียงอย่างเดียวของกฎหมายไอเอสเอ แต่ยังมีไม้เด็ด คือช่วง “รับน้อง” หรือ ๖๐ วันแรกอันเป็นช่วงของการสอบสวนเข้ามาด้วย วิธีที่ตำรวจแถวนั้นใช้กันบ่อยๆคือการพาตัวผู้ถูกจับกุมไปยังสถานที่ที่ระบุไม่ได้ ก่อนจะใช้วิธีสอบสวนแบบถึงลูกถึงคน ซึ่งอาจรวมถึงการซ้อมและทรมานเข้าด้วย เรื่องรับน้องนี้ผู้มีประสบการณ์เล่าว่า ยุคที่สาหัสที่สุดอาจเป็นช่วงทศวรรษที่ ๑๙๘๐ ที่คนหนุ่มสาวถูกจับค่อนข้างมาก ว่ากัน ว่า บางคนโดนหนักเสียจนหมดกะจิตกะใจจะดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อเลยทีเดียว
ตัวอย่างรับน้องที่โด่งดังไปทั่วโลกคือการจับกุม นาย อันวาร์ อิบราฮิม อดีตรองนายกรัฐมนตรีผู้แตกคอกับนายเก่า มหาเธร์ โมฮัมหมัด แล้วกลายมาเป็นผู้นำพรรคฝ่ายค้านในปัจจุบัน เมื่อครั้งที่นายอันวาร์ถูกจับภายใต้กฎหมายฉบับนี้ใน ปี ๒๕๔๒ เขาได้ปรากฏตัวในที่สาธารณะหลังช่วงเวลารับน้อง ที่ว่านี้ ด้วยสภาพที่สร่างความฮืออาเป็นยิ่งนัก นั่นก็คือรอบตาข้างหนึ่งของเขาเขียวปี๋ยิ่งกว่าน้องหมีแพนด้าที่เชียงใหม่ สร้างความสะท้านใจแก่ผู้ชมทั่วหน้า
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๑ เพื่อนนักกิจกรรมทางการเมืองชาวอินโดนีเซียของผู้เขียนคนหนึ่ง ถูกจับตัวและทรมานเป็นเวลานานนับเดือนในยุคที่เผด็จการทหารซูฮาร์โต้เรืองอำนาจ ทุกวันนี้เขายังจำเสียงเคาะประตูในคืนวันนั้นได้ เพราะไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เขาถูกซ้อมยับเยินก่อนจะถูกผูกตาแล้วลากตัวเขาขึ้นรถโดยไม่คิดว่าจะได้กลับมา ประเทศไทยในยุคเผด็จการทหารหลัง พ.ศ. ๒๔๙๐ มีนักการเมืองและผู้นำชนกลุ่มน้อยถูกพาออกจากบ้านแล้วหายไปจำนวนมาก สำหรับประเทศมาเลเซียสมัยใหม่ที่มีตึกระฟ้าสวยงามและไม่เคยมีเผด็จการทหารก็ไม่ต่างกันนัก นายเทียน ฉั่ว นักการเมืองฝ่ายค้านชาวมาเลเซียผู้ถูกเทียบเชิญโดยกฎหมายไอเอสเอให้ไปพำนักในคุกเป็นเวลาสองปี บอกกับผู้เขียนว่าถูกผูกตาแล้วพาขึ้นรถ ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเป็นเวลาหลายวัน ไม่ต่างกับไทยและอินโดนีเซียในยุคมืดแต่อย่างไร
พูดง่ายๆว่า กฎหมายอย่างไอเอสเอทำให้เสียงเคาะประตูยามค่ำคืนกลายเป็นเสียงแห่งความกลัวของคนในประเทศนี้
แต่หลังๆดูเหมือนไอเอสเอจะเสื่อมมนตร์ขลัง เพราะในขณะที่คนส่วนใหญ่ในสังคมยังคงหวาดกลัวอยู่ การชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลขนาดใหญ่เริ่มมีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งมีคนออกมานับหมื่นซึ่งผิดวิสัยบรรยากาศการเมืองอย่างที่เป็นมา ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ การประท้องของกลุ่มเบอร์สิห์ (Bersih) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ มีคนเต็มใจให้จับด้วยกฎหมายไอเอสเออย่างไม่สะทกสะท้านกว่าพันคน แต่เนื่องจากจำนวนผู้ถูกจับมีมากกว่าห้องขัง ทำให้ตำรวจต้องปล่อยพวกเขาออกไปในวันเดียวกัน
การประกาศของนายนาจิบสร่างบรรยากาศอึ้งและทึ่งในคืนแรก ก่อนจะตามมาด้วยความหวาดเสียวไม่แน่ใจของใครหลายคนทำนองว่า จริงหรือเปล่า.. มุขละมั้ง... มาวันนี้บรรดากลุ่มต่างๆเริ่มออกมาลองของ เอ๊ย..รุกคืบ เช่นกลุ่มอดีตผู้ต้องขังภายใต้ไอเอสเอประกาศเรียกร้องคำขอโทษและค่าชดเชยจากรัฐบาล ในขณะที่ฝ่ายค้านตั้งคำถามว่า กฎหมายที่จะออกมาแทนไอเอสเอนั้น หน้าตาจะเป็นอย่างไรกัน
สำหรับอีกหลายคน การจากไปของไอเอสเอ ไม่ใช่เพียงการยกเลิกกฎหมายฉบับหนึ่ง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการลาจากยุคแห่งความกลัวอันมีอิทธิพลจากยุคลิ่วล้ออาณานิคมซึ่งมีกฎหมายฉบับนี้เป็นตัวแทน เมื่อไอเอสเอหมดสิ้นไปแล้ว กฎหมายฉบับอื่นที่มาแทนที่ก็ไม่อาจเทียบกันได้ในเชิงของความ “ขลัง”
ถ้ารัฐบาลมาเลเซียสามารถตัดใจจากเครื่องมือทางอำนาจชิ้นนี้ได้จริง ชะรอยมาเลเซียอาจได้เห็นการความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ดีในอนาคต เสียงเคาะประตูก็จะเป็นเพียงเสียงเคาะประตูที่ไม่หลอกหลอนใครอีกต่อไป ..โปรดติดตามตอนต่อไป
จะเกิดอะไรขึ้นต่อประชาธิปไตย สังคม วัฒนธรรม และชีวิตจิตใจของผู้คนในประเทศหมู่เกาะเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ต่อไป คอลัมน์ “สายตรงจากกัวลาลัมเปอร์” จะนำมาเล่าสู่ให้ฟังสนุกๆ ณ ที่นี้
เหมือนดูหนังดูละคร จะได้ช่วยกันย้อนดูตัว