ชาตินิยม-อคติ บทเรียนการเสนอข่าวของสื่อไทย-กัมพูชา (มีคลิป)
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาตึงเครียดมานานนับปีในรัฐบาลไทยชุดที่แล้ว จากปัญหาความขัดแย้งเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา ปัญหาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่ทั้งสองประเทศอ้างอธิปไตย จนนำไปสู่การใช้กำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ปะทะกันหลายครั้ง ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายสูญเสีย ทั้งชีวิตของทหารและประชาชน ไม่รวมทรัพย์สินของแต่ละฝ่ายที่เสียหายไปจากการสู้รบ
สถานการณ์รุนแรงถึงขั้นประชาชนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องอพยพออกจากพื้นที่อันตราย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงเป็นความขัดแย้งของรัฐบาลของสองประเทศเท่านั้น หากสื่อมวลชนทั้งไทยและกัมพูชา ก็ดูเหมือนว่าทำหน้าที่ยืนอยู่กันคนละฝ่ายไปด้วย เพราะมีการนำเสนอข่าวด้วยความรู้สึกชาตินิยมจนเกิดอคติ ข่าวที่เผยแพร่ออกมาสู่สาธารณะ ซึ่งแม้ว่าอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าเป็นการรักษา “ผลประโยชน์แห่งชาติ” แต่ในอีกมุมหนึ่งก็อาจทำให้คนในประเทศหนึ่งเกิดความรู้สึกเกลียดชังคนอีกประเทศหนึ่งได้เหมือนกัน แน่นอนว่าไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ของประเทศเพื่อนบ้านร่วมภาคีประเทศอาเซี่ยน
แม้ว่าขณะนี้ เหตุการณ์ตามแนวชายแดนที่เกิดขึ้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว และไม่มีสัญญาณว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นอีก หลังจากประเทศไทยได้รัฐบาลใหม่ ที่ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัฒน์ เป็นนายกรัฐมนตรี และเพิ่งไปเยือนกัมพูชา ได้รับการต้อนรับจากนายกรัฐมนตรีฮุน เซน อย่างอบอุ่น เป็นภาพความใกล้ชิดสนิทสนม จนอาจจะทำให้ลืมกันไปว่า ไม่นานมานี้เอง ไทยและกัมพูชาเพิ่งใช้กำลังทหารสู้รบกันตามแนวชายแดนด้วยเหตุผลเดียวกันคือ “เพื่อปกป้องอธิปไตย”
การนำเสนอข่าวสารอย่างเร่าร้อนของสื่อมวลชนทั้งไทยและกัมพูชา ในช่วงความขัดแย้งปัญหาปราสาทเขาพระวิหาร ด้วยอารมณ์ความรู้สึกชาตินิยมจนเกินไป ทำให้มองได้ว่า สื่อมวลชนอาจมีส่วนกระตุ้นให้เกิดความหึกเหิมของคนในชาติเกินกว่าเหตุ เสมือน “ราดน้ำมันใส่กองเพลิง” สถานการณ์อาจจะบานปลาย นำไปสู่การเกลียดชังระหว่างกันระหว่างประชาชน ทั้งๆที่ยังมีหนทางแก้ปัญหากันได้ โดยเฉพาะในทางการเมืองระหว่างประเทศ
บทบาทสื่อมวลชนไทย-กัมพูชา
การสัมมนา “บทบาทสื่อมวลชนในการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา” ซึ่งจัดขึ้นที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้เชิญนาย เพ็ญ สมิทธิ นายกสโมสรนักข่าวกัมพูชา พร้อมคณะ ร่วมเสวนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสื่อมวลชนไทย และมีการลงนามความเข้าใจเรื่องความร่วมมือ หรือ MOU ( Memorandum of Understanding) ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (Thai Journalists Association) กับสโมสรนักข่าวกัมพูชา ( Club of Cambodia journalists) มีประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่องของการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนทั้งสองประเทศ ที่ดูเหมือนว่ามีการนำเสนอข่าวด้วยความรู้สึกชาตินิยมจนเกิดอคติ ในสถานการณ์การสู้รบกันตามแนวชายแดน โดยหลงลืมบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชนว่าต้องรายงานข่าวตามข้อเท็จจริง ด้วยความเป็นจริง ไม่ใส่อารมณ์ความรู้สึกลงไปในรายงานข่าว
นายหงวน เสเรธ ผู้จัดการสโมสรนักข่าวกัมพูชา ให้ความเห็นอย่างน่าสนใจว่า “สื่อมวลชนควรรักษาการทำหน้าที่ของตนเอง และรักษาประโยชน์ของสาธารณะเป็นใหญ่ ไม่เฉพาะประโยชน์ของประเทศกัมพูชาหรือประเทศไทยเท่านั้น แต่เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสอง ประเทศ”
“ หน้าที่ของสื่อมวลชนตามที่กล่าวถึงก็คือการรายงานข่าวให้ประชาชนได้ทราบ แต่เมื่อผู้นำมีปัญหากัน ก็ทำให้การรายงานข่าวลำบากขึ้น” นายเปรี๊ยะ ซิม เลขาธิการสโมสรนักข่าวกัมพูชา กล่าวเสริม
เสเรธ แสดงความคิดเห็นในการนำเสนอข่าวเหตุการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่ผ่านมาต่อไปว่า มีการนำอารมณ์ความรู้สึกในกระแสชาตินิยมมาใช้ในการรายงานข่าว ซึ่งก็มีทั้งกัมพูชาและไทย ทำให้ลักษณะการรายงานข่าวแบบมืออาชีพเสียไป
นอกจากนี้ ก็มีการนำความเป็น “ชาตินิยม”มาใช้โดยนักการเมือง ผู้สื่อข่าวก็อาจจะลืมบทบาทการทำหน้าที่ว่า การรายงานข่าวต้องรายงานจากเหตุการณ์จริง เพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ใช่รายงานข่าวเพื่อมุ่งทำลาย
“ บางครั้ง สื่อก็ไม่ต้องรายงานทุกอย่างก็ได้ นักการเมืองกัมพูชาบางคนอาจต้องการให้คนกัมพูชาไม่ชอบประเทศไทย เช่นเดียวกับนักการเมืองไทยบางคนอาจไม่ต้องการให้คนไทยชอบชาวกัมพูชา ถ้าสื่อลงข่าวไปโดยไม่พิจารณาให้ดี ก็อาจตกเป็นเครื่องมือนักการเมือง” เสเรธ กล่าว
การเสวนากันในครั้งนี้ มีการยกตัวอย่างกรณีการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนกัมพูชา จนนำไปสู่ความรุนแรง เมื่อประชาชนชาวกัมพูชาได้รับข่าวสารจากสื่อมวลชนว่า “กบ” สุวนัน์ คงยิ่ง ดาราสาวชื่อดังของไทย พูดดูหมิ่นชาวกัมพูชาอย่างร้ายแรง ทำให้เกิดความโกรธแค้น ออกมาประท้วงจนมีการใช้กำลังบุกเผาสถานทูตไทย เมื่อแปดปีก่อน
สื่อกับเหตุการณ์เผาสถานทูตไทยในพนมเปญ
ย้อนหลังไปเมื่อปี 2546 ชาวกัมพูชาในกรุงพนมเปญพากันออกไปตามท้องถนน แสดงความไม่พอใจดาราสาวไทย เพราะรับข่าวสารจากสื่อมวลชนว่านางเอกยอดนิยมในละครทีวี “ดาวพระศุกร์” ดูหมิ่นชาวกัมพูชาจนไม่อาจทนได้ ชาวกัมพูชาที่รู้ข่าวพากันออกจากบ้านมาตามท้องถนน เพิ่มจำนวนขึ้นจากร้อยคนเป็นพันคน ใช้ก้อนหินและวัตถุที่หาได้ขว้างปาใส่สถานทูตไทย ก่อนจะบุกเข้ายึดและลงมือเผา ตามมาด้วยการเผาร้านอาหารไทย ป้ายโฆษณาสินค้าไทย เลยเถิดไปถึงการปล้นทรัพย์สินตามอาคารบ้านเรือนในกรุงพนมเปญ กว่าเจ้าหน้าที่จะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ทรัพย์สินก็เสียหายไปเป็นมูลค่ามหาศาล
สาเหตุที่ทำให้ชาวกัมพูชาโกรธแค้น “กบ สุวนันท์” ซึ่งชาวกัมพูชาเรียกชื่อตามชื่อละครว่า “ประกายพฤกษ์” ขยายไปถึงความรู้สึกเกลียดชังคนไทยและประเทศไทย ภายหลังได้มีสืบสวนพบว่า เริ่มขึ้นจากมีผู้เขียนบทความระบุว่านางเอกคนดังกล่าวดูหมิ่นชาวกัมพูชา บทความดังกล่าวได้มีการสำเนาเอกสารแจกจ่ายไปทั่ว และมีการนำไปอ่านในรายการวิทยุ ทำให้ชาวกัมพูชาพากันโกรธแค้น แม้แต่นายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ก็ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนด้วยอาการเกรี้ยวกราด ไม่พอใจนางเอกสาวด้วยเหมือนกัน เป็นการ “การันตี”ว่าข่าวนั้นถูกต้องไปในตัว จนชาวกัมพูชาพากันโกรธแค้น และก่อเหตุรุนแรงขึ้น
นายเพ็ญ สมิทธิ ประธานสโมสรนักข่าวกัมพูชา และบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์รัศมีกัมพูชา กล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า ในประเทศกัมพูชามีหนังสือมากกว่าสี่ร้อยฉบับ แบ่งเป็นสองประเภท คือประเภทที่ตีพิมพ์ตามปกติ มีอยู่ประมาณสามสิบถึงสี่สิบหัวหนังสือ กับอีกประเภทหนึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่ออกบ้าง ไม่ออกบ้าง หาความแน่นอนไม่ได้ ซึ่งหนังสือพิมพ์ประเภทหลังนี่เอง ที่ลงบทความดังกล่าวแล้วมีการนำไปเผยแพร่ต่อ
“ เวลานั้น สโมสรฯก็ถูกสังคมต่อว่าเหมือนกัน ทุกครั้งที่ไปบรรยายก็ชี้แจงเรื่องนี้ ต่อมา บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น กับคนเขียนบทความ ถูกจับกุมดำเนินคดีลงโทษไปแล้ว” สมิทธิ ประธานสโมสรนักข่าวกัมพูชา กล่าว
นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สังกัดหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ก่อนเกิดเหตุการณ์เผาสถานทูตไทย มีข่าวว่านายกรัฐมนตรีฮุน เซน ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่านางเอกสาว “กบ สุวนันท์”ว่าพูดไปในทางไม่ดี หนังสือพิมพ์รัศมีกัมพูชา ได้ให้นักข่าวที่สนิทกันโทรมาหา ซึ่งไทยรัฐได้ตรวจสอบ สัมภาษณ์ สุวนันท์ คงยิ่ง ได้รับการยืนยันว่าไม่ได้พูดอะไรเลย
“ผมได้ติดตามข่าว และโทรไปหาคุณเปรี๊ยะ ซิม (เลขาธิการสมาคมนักข่าวกัมพูชา) ก็รู้จากคุณเปรี๊ยะ ซิม ว่าเคยมีผู้นำบทความเรื่องนี้มาเสนอ แต่ไม่รับลงตีพิมพ์ เพราะเห็นว่าเป็นข่าวโคมลอย นี่เป็นการทำงานแบบมืออาชีพ” นายชวรงค์ กล่าว
ความร่วมมือส่งเสริมความสัมพันธ์สื่อ 2 ประเทศ
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยกับสมาคมนักข่าวกัมพูชา ได้ร่วมกันเขียนบันทึกความเข้าใจเรื่องร่วมมือหรือ MOU เป็นการร่วมมือขององค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนสอง ประเทศ โดยสรุปเนื้อหาสำคัญว่า จะมีการทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ของสื่อมวลชนไทยกับกัมพูชา ส่งเสริมการทำข่าวด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อให้ประชาชนของสองประเทศมีความเข้าใจกันดีขึ้น ทั้งในประเด็นทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรม นอกจากนั้น จะมีโครงการแลกเปลี่ยนให้สื่อมวลชนของไทยและกัมพูชาได้เดินทางไปอีกประเทศหนึ่ง เพื่อแลกเปลี่ยนทางความคิด แสดงความคิดเห็น และถ่ายทอดประสบการณ์การทำงาน ร่วมกับสื่อมวลชนอีกประเทศทุกปี
นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการข่าวความมั่นคง สถานีโทรทัศน์ ThaiPBSกล่าวว่า จากประสบการณ์ทำข่าวชายแดนไทย-กัมพูชามานาน การทำงานก็มีการเอื้อเฟื้อเผื้อแผ่กันสงสัยว่าบรรยากาศของความไม่เข้าใจกันระหว่างประชาชนเกิดขึ้นได้อย่างไร และเห็นว่าการลงนามความร่วมมือของสมาคมนักข่าวทั้งสองประเทศเป็นเรื่องดี
“ผมอยากเห็นความเติบโตของความร่วมมือ ไทยกับกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านกัน ไม่มีเหตุผลที่จะทะเลาะกัน ทำให้เกิดความเสียหาย ความร่วมมือนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีในเรื่องของข้อมูลข่าวสาร” นายเสริมสุข กล่าวในการเสวนา
“ ลงนามข้อตกลงทางด้านความมือ เป็นโอกาสที่สำคัญยิ่งที่สื่อมวลชนสองประเทษจะได้มีการพบปะ มีความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน เหตุการณที่เกิดขึ้นในช่วงความขัดแย้งเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร ทำให้สื่อมวลชนอาจมีความเข้าใจไม่ตรงกัน บันทึกข้อตกลงความเข้าใจ จะช่วยให้การทำงานของสื่อมวลชนของสองประเทศใกล้ชิดกันมากขึ้น” นายชวรงค์ กล่าว
ความรู้สึกชาตินิยมและอคติแม้จะมีอยู่ด้วยกันทุกคน เพราะสื่อมวลชนก็เป็นมนุษย์ธรรมดา แต่การทำหน้าที่สื่อมวลชนทั้งไทยและกัมพูชา ก็ต้องมีความเป็นมืออาชีพ ไม่ให้ความรู้สึกชาตินิยมครอบงำจิตใจ มากจนรายงานข่าวผิดไปจากความเป็นจริง ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในข่าวสาร จนเกิดความรู้สึกในทางลบกับประชาชนประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเคยเกิดบทเรียนมาแล้วในเหตุการณ์เผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ
ชม Clip Video
{youtubejw}CBi1l8hYTzg{/youtubejw}