คดีความรุมเร้า “ชินวัตร-วงศ์สวัสดิ์” โอกาสและทางรอด?
ลุ้นกันต่อไปว่าสุดท้าย 19 ก.พ.นี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปรายงานตัวต่อพนักงานอัยการหรือไม่ในวันดังกล่าว เพื่อให้อัยการนำสำนวนฟ้องและตัวยิ่งลักษณ์ไปยื่นฟ้อง อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อย่างไรก็ตาม แม้ยิ่งลักษณ์ไม่ไปรายงานตัววันดังกล่าว ก็ไม่มีปัญหา กระบวนการยื่นฟ้องก็ดำเนินไปได้

วันที่ 19 ก.พ. ยิ่งลักษณ์ จะไปหรือไม่ไป ยังไม่สำคัญเท่ากับนัดหมายพิจารณาคดีครั้งแรก ซึ่งหากยิ่งลักษณ์ไม่ไปปรากฏตัว และศาลพิจารณาแล้วเห็นว่ามีพฤติการณ์เข้าข่ายหลบหนี ก็จะออกหมายจับต่อไป แต่ในเชิงรูปคดีแล้ว หากยิ่งลักษณ์ ยืนยันว่าจะขอต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด การไม่ไปรายงานตัวในวันที่ 19 ก.พ. ก็คงดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงต้องดูกันว่า ทีมทนายความของยิ่งลักษณ์และคนใกล้ชิดยิ่งลักษณ์จะให้คำแนะนำเธอว่าอย่างไร?
เบื้องต้นจากข่าวที่ได้รับรายงานมาจากคนของพรรคเพื่อไทย พบว่า ทางพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายยิ่งลักษณ์และตัวยิ่งลักษณ์ แม้จะรู้ดีว่าคดีนี้มีความสำคัญมาก จะแพ้คดีไม่ได้ แต่เบื้องต้น ทางทักษิณและยิ่งลักษณ์ ยังคงไว้วางใจทีมทนายความประจำตัวยิ่งลักษณ์และคนในครอบครัวชินวัตรเช่นเคย แม้จะพบว่าทีมทนายความชุดดังกล่าวที่มีเช่น พิชิต ชื่นบาน, นรวิชญ์ หล้าแหล่ง, สมหมาย กู้ทรัพย์ ที่เคยทำคดีให้ทักษิณและยิ่งลักษณ์ก่อนหน้านี้หลายคดี ล้วนแพ้มาแล้วเกือบทั้งสิ้น
อย่างเช่นกรณีของยิ่งลักษณ์ ที่ก็ใช้ทีมทนายชุดนี้สู้ดีย้ายถวิล เปลี่ยนศรี ในชั้นศาลรัฐธรรมนูญแต่ก็แพ้จนหลุดจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี หรือคดีรับจำนำข้าว ที่ก็ไม่สามารถทำให้ยิ่งลักษณ์รอดพ้นจากการถูกคณะกรรมการป.ป.ช.ลงมติชี้มูลความผิดได้ รวมถึงก็แพ้ในการสู้คดีถอดถอนในชั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ยิ่งลักษณ์อาจมองว่าที่แพ้คดีในศาลรธน.และโดนสนช. ถอดถอน เป็นเรื่องการเมือง ไม่เกี่ยวกับว่าทีมทนายความชุดนี้ไม่มีฝีมือ ผนวกกับทำงานด้วยกันมานาน รู้ทางและไว้ใจซึ่งกันและกัน การจะเปลี่ยนทีมทนายความกระทันหันคงไม่เป็นผลดีต่อรูปคดีเท่าไหร่
ทำให้สุดท้าย แม้ก่อนหน้านี้จะมีกระแสข่าวว่ามีคนเสนอให้ยิ่งลักษณ์ เปลี่ยนตัวทีมทนายความหรือหามือกฎหมายเก่งๆ มาเสริมทีม แต่ก็ยังพบว่ายิ่งลักษณ์ยังคงใช้ทีมทนายความชุดนี้เช่นเดิม โดยมี”พิชิต ชื่นบาน”เป็นหัวหน้าทีมหลัก แต่ก็ปรับเปลี่ยนบางอย่าง ให้เข้ากับการสู้คดี เช่น จะให้“สมหมาย กู้ทรัพย์”ที่เชี่ยวชาญการว่าความในศาล มาเป็นทนายความหลักในการว่าคดีในขั้นศาล ไม่ใช่ นรวิชญ์ หล้าแหล่ง อย่างที่คนภายนอกเข้าใจ เพราะที่ผ่านมา สมหมาย ก็ทำมาแล้วหลายคดีเช่น คดีย้ายถวิล เปลี่ยนศรีและล่าสุดก็มาปรากฏตัวเป็นโจทก์ร่วมคอยว่าความคดีที่ยิ่งลักษณ์ยื่นฟ้อง นางมัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ยิ่งลักษณ์ หรือคดี 'ว.5 โฟร์ซีซั่นส์”นั่นเอง
นอกจากทีมทนายความชุดดังกล่าวแล้ว ทีมเสริมด้านข้อมูลเพื่อสนับสนุนการสู้คดีให้กับ ยิ่งลักษณ์ ก็จะเป็นอดีตรัฐมนตรีในครม.ยิ่งลักษณ์ ที่ไปปรากฏตัวช่วยยิ่งลักษณ์ในห้องประชุมสนช.ตอนพิจารณาคดีถอดถอน อาทิเช่น นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรมว.พาณิชย์-กิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี-วราเทพ รัตนากร อดีตรมต.สำนักนายกรัฐมนตรี-ยรรยง พวงราช อดีตรมช.พาณิชย์ เป็นต้น โดยทีมเสริมกลุ่มนี้ ถูกคาดว่าจะมาคอยซัพพอร์ตเรื่องประเด็นที่ยิ่งลักษณ์จะต้องเตรียมเบิกความในวันที่ศาลเรียกไปไต่สวนคดี รวมถึงการเตรียมประเด็นให้ทีมทนายความคอยไปซักค้านพยานฝ่ายโจทก์ เพื่อหักล้างน้ำหนักของฝ่ายอัยการนั่นเอง ซึ่งประเด็นหลักๆ ก็คงจะเป็นเรื่องข้อมูลโครงการรับจำนำข้าวในด้านต่างๆ เช่นตัวเลขการขาดทุน-ตัวเลขความเสียหายในโครงการ-งบประมาณที่ใช้ในการทำโครงการ เป็นต้น
“ก่อนหน้านี้ มีผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทย บางคนไปพูดคุยกับมือกฎหมายสำคัญของพรรคเพื่อไทยเช่น นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตรมว.ยุติธรรม ที่เป็นอดีตอัยการสูงสุด ให้มาช่วยคอยดูประเด็นให้ยิ่งลักษณ์สู้คดีรับจำนำข้าวด้วย มีข่าวว่า คุณชัยเกษมเคยไปคุยกับทีมงานของคุณยิ่งลักษณ์อยู่ครั้งเดียวเอง หลังจากนั้นก็ไม่ทราบข่าวอะไรมาก ว่าสุดท้ายจะมีการดึงคุณชัยเกษมมาเสริมทีมกฎหมายสู้คดีให้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์หรือไม่ แต่เข้าใจว่า อดีตนายกฯดูจะไว้ใจทีมทนายความชุดนี้มาก และสไตล์การทำงานของคุณชัยเกษม กับทีมงานของยิ่งลักษณ์ ก็แตกต่างกัน อีกทั้งท่านก็เป็นผู้ใหญ่มากหากคุณยิ่งลักษณ์จะขอคำแนะนำ เขาก็คงคอยให้คำปรึกษาแบบห่างๆ “ แหล่งข่าวจากฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยคนหนึ่งเล่าความเคลื่อนไหวเรื่องการเตรียมสู้คดีของยิ่งลักษณ์ให้ฟัง
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ มีความเห็นที่น่าสนใจจากมือกฎหมายสำคัญของรัฐบาลยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยคือ”ชัยเกษม นิติสิริ”ที่เคยพูดกับสื่อมวลชน บางสำนักไว้หลังอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้องยิ่งลักษณ์ต่อศาลฎีกาฯ โดยยอมรับว่า น่าหนักใจแทนยิ่งลักษณ์ เพราะสุดท้าย อาจซ้ำรอยแบบทักษิณ ชินวัตร
"ก็น่าหนักใจ หนักใจเพราะเวลานี้ก็เป็นเหมือนรัฐบาลที่ผ่านมา เหมือนคดีของท่านอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เพราะในที่สุดแล้วมันก็ต้องเดินไปแบบนี้ เพราะคนที่ยึดอำนาจ เท่าที่ผ่านมาที่เห็น ยังไม่เคยเห็นใครที่จะไม่พยายามคงอำนาจไว้ เดิมทีผมก็คิดว่าเขาตั้งใจจะปรองดองจะทำอะไร แต่พอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็เกรงว่าจะมีโรดแมป เลนแมป ที่จะนำไปสู่การลงโทษทางอาญา จนที่สุดก็อาจซ้ำรอยกับคุณทักษิณ”
อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวฯได้รับการประเมินทิศทางคดีจากแหล่งข่าวที่เป็นฝ่ายกฎหมายคนสำคัญของพรรคเพื่อไทยคนหนึ่งที่ยังเชื่อว่า โอกาสที่ยิ่งลักษณ์จะชนะคดีก็มีหรืออาจออกมาแบบอาจแพ้คดี แต่ให้รอลงอาญา ไม่ต้องรับโทษ ก็ยังมีความเป็นไปได้
“เพราะการพิจารณาคดีของศาลแตกต่างจากการลงมติของสนช.มาก ของสนช.เป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ สนช.แต่ละคนก็ลงมติลับ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น แต่ของศาลฎีกาฯไม่ได้เลย ต้องมีการไต่สวน รับฟังพยานทั้งสองฝ่าย อีกทั้ง เหตุและผลต่างๆ ในคดี ต้องถูกเขียนไว้ในคำพิพากษากลางและความเห็นในการวินิจฉัยคดีของผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะทั้ง 9 คน ทั้งหมดมีการเปิดเผยต่อสาธารณชน ใครมีความเห็นอย่างไร ก็ต้องแสดงเหตุผลไว้หมด การสู้คดีในศาลฎีกากับตอนถอดถอนในชั้นสนช. จึงแตกต่างกันมาก” แหล่งข่าวจากฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยให้ทัศนะ
แหล่งข่าวคนดังกล่าว ยังให้ข้อคิดเห็นอีกว่า มองดูแล้ว การสู้คดียิ่งลักษณ์ในศาลฎีกา แม้รูปแบบอาจคล้ายกับตอนที่ยิ่งลักษณ์ไปแถลงเปิดและปิดต่อที่ประชุมสนช.ตอนพิจารณาคดีถอดถอน แต่จะต้องเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น โดยเห็นว่า ควรต้องสู้คดีในทางที่ว่า ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อมีการทักท้วงจากฝ่ายต่างๆ เช่นสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน-คณะอนุกรรมการตรวจสอบบัญชีโครงการรับจำนำข้าวที่มีสุภา ปิยะจิตติ อดีตรองปลัดก.คลังเป็นประธานที่ทักท้วงให้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ทบทวนโครงการดังกล่าว เพราะเมื่อมีการทักท้วงในประเด็นต่างๆ เช่นอาจมีช่องโหว่ให้เกิดการทุจริต รัฐบาล ก็ได้พยายามหาทางป้องกันเช่นมีการตั้งกรรมการตรวจจสอบและสอบสวนเพื่อไม่ให้โครงการมีปัญหาหรือทุจริต อีกทั้งต้องเน้นย้ำว่า การที่รัฐบาลไม่สามารถยกเลิกโครงการได้เพราะมีการทำโครงการไปแล้ว หากยกเลิกกลางคันจะทำให้เกิดปัญหาต่อการดำเนินการ และโครงการก็ไม่ได้เกิดความเสียหายมากมายอย่างที่ป.ป.ช.อ้างไว้
“ผนวกกับต้องสู้คดีในประเด็นที่ว่า หากฝ่ายบริหารต้องทำตามข้อทักท้วงต่างๆขององค์กรอิสระอย่างป.ป.ช. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินทุกครั้งทุกเรื่อง ตกลงว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้บริหารประเทศ รัฐบาลหรือว่าฝ่ายองค์กรอิสระ หากปล่อยให้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นจนกลายเป็นบรรทัดฐานของการบริหารประเทศ ต่อไปก็จะเกิดปัญหาต่อการบริหารราชการแผ่นดินทั้งระบบ หากองค์กรอิสระเข้ามายุ่งเกี่ยวกับฝ่ายบริหารทุกเรื่อง
เข้าใจว่า ทีมอัยการที่จะว่าความคดีหรือคอยคุมการสู้คดีนี้ คนที่มีบทบาท จะเป็นทีมอัยการที่เป็นเสียงข้างน้อยในส่วนของอัยการที่เป็น คณะทำงานร่วมอัยการกับป.ป.ช. ที่มีประมาณ 3 คน ซึ่งเป็นอัยการที่มีความเห็นตรงกับป.ป.ช.มาตลอดแต่ไม่ตรงกับอัยการเสียงข้างมากในคณะทำงาน คือ เห็นว่า สำนวนสมบูรณ์แล้ว สามารถสั่งฟ้องได้ เพราะเขารู้เรื่องคดีมาตั้งแต่ต้น” แหล่งข่าวจากฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยเปิดเผยทิศทางการสู้คดีของยิ่งลักษณ์
พี่เขย”สมชาย วงศ์สวัสดิ์”
ก็อ่วม คดี 7 ตุลาฯ 51
ขณะที่ ยิ่งลักษณ์ น้องเล็กแห่งตระกูล”ชินวัตร”กำลังเจอปัญหาหนักอก จ่อตกเป็นจำเลยในศาลฎีกาฯ ก็ปรากฏว่าวิบากกรรมของคนในเครือข่ายตระกูล ชินวัตร ก็ยังมีมาไม่จบสิ้น เพราะตอนนี้ เขยตระกูล ชินวัตร ที่เป็นแกนนำพรรคเพื่อไทยด้วย คือ”สมชาย วงศ์สวัสดิ์”อดีตนายกรัฐมนตรี ก็มาตกเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ เช่นกัน หลังเมื่อ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา ศาลฎีกาฯประทับรับฟ้องคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือคดี 7 ตุลาฯ 51 ส่งผลให้ สมชาย กลายเป็นจำเลยนำหน้ายิ่งลักษณ์ไปก่อน พร้อมกับจำเลยร่วมอีก 3 คนคือ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรีเวลานั้น-พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผบช.น.เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ. ป.ป.ช. พ.ศ.2542 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 295 ที่มีการระบุว่าการสลายการชุมนุมดังกล่าวมีผลทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บ 471 ราย
เท่ากับแค่ต้นๆปี 2558 คนตระกูล “ชินวัตร-วงศ์สวัสดิ์”เจอคดีอาญา เข้าไปเต็มๆ แล้วสองคดี แถมเป็นระดับคีย์แมนสำคัญของพรรคเพื่อไทยด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งหากท้ายสุด ผลแห่งคดีออกมาในทางไม่เป็นคุณเท่าไหร่ มันก็จะมีผลทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทยตามมาแน่นอน
แม้กระบวนการพิจารณาคดียังไม่ได้ทันได้เริ่มต้นขึ้น ยังไม่เห็นการสู้คดีของฝ่ายยิ่งลักษณ์ในคดีรับจำนำข้าวและสมชายในคดี 7 ตุลาฯ การจะบอกว่าโอกาสของทั้งสองคนที่จะชนะคดีมีมากแค่ไหนยังคงอีกไกลที่จะประเมินได้ แต่ด้วยความที่เป็นศาลฎีกาฯ เป็นศาลชั้นเดียวแม้จะเปิดโอกาสให้จำเลยอุทธรณ์คดีได้ แต่ที่ผ่านมานับแต่มีการเปิดช่องให้จำเลยอุทธรณ์คดีได้ แต่ก็แทบไม่เคยมีสักครั้งที่ผลแห่งการอุทธรณ์จะสำเร็จ เพราะการต้องยื่นพยานหลักฐานใหม่หรือพยานสำคัญที่ไม่เคยปรากฏในการพิจารณาคดีให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาฯ พิจารณารับคำร้องอุทธรณ์นั้นเป็นเรื่องยาก เนื่องจากหากเป็นพยานสำคัญจริงๆ ก็คงเอาไปสู้คดีตั้งแต่แรกแล้ว คงไม่เก็บไว้อุทธรณ์ในภายหลัง ดังนั้นการสู้คดีในชั้นศาลฎีกาฯจึงพลาดไม่ได้ ฝ่ายจำเลยย่อมมีอากรเกร็งแน่นอน กับการลุ้นผลคดี
ยิ่งที่ผ่านมา คนในตระกูล”ชินวัตร-วงศ์สวัสดิ์”ก็ดูจะไม่ค่อยถูกโฉลกเท่าไหร่กับการตกเป็นจำเลยในชั้นศาลฎีกา เพราะแพ้คดีมาเกือบทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ในคดียึดทรัพย์ 4,6 หมื่นล้านบาท หรือในคดีที่ดินรัชดาฯ ที่แม้ ศาลฎีกาฯ จะยกฟ้อง คุณหญิงพจมาน แต่ก็ลงโทษจำคุกสองปี พ.ต.ท.ทักษิณ จนต้องหนีคดีไปต่างประเทศจนถึงทุกวันนี้ ขณะที่ “ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์”บุตรสาว สมชาย วงศ์สวัสดิ์ หลานสาวยิ่งลักษณ์ ก็ถูกศาลฎีกาฯ ตัดสินเมื่อปี 2555 ว่ามีความผิดกรณีแจ้งบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อป.ป.ช.อันเป็นเท็จ จนต้องหลุดจากการเป็น ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย และโดนเว้นวรรคการเมืองห้าปี รวมถึงศาลยังสั่งจำคุกเป็นเวลา 2 เดือน พร้อมทั้งปรับเงิน 4,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี
ด้วยเหตุนี้ คนตระกูล “ชินวัตร-วงศ์สวัสดิ์”จึงมีความหลังฝังใจไม่ค่อยดีเท่าไหร่กับการสู้คดีในชั้นศาลฎีกาฯ ยิ่งคดีรับจำนำข้าวกับคดี 7 ตุลาฯดังกล่าว รูปคดีว่าไปแล้วถือว่าหนักหนาไม่น้อย แต่ฝ่าย สมชาย ก็แสดงความมั่นใจไม่น้อยในการสู้คดี โดยอ้างอิงว่าคดีนี้อัยการยังเห็นว่าสำนวนที่ป.ป.ช.ส่งมามีจุดบกพร่องมากถึง 14 ประเด็น จนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง แต่ป.ป.ช.ก็ยังจะยื่นฟ้อง จึงคาดว่าตัวสมชาย และจำเลยคนอื่นๆ ก็อาจหยิบยกช่องโหว่ที่อัยการชี้ไว้มาเป็นประเด็นข้อต่อสู้ในคดีด้วยแน่นอน
และที่น่าจับตาคือ ไม่รู้ว่าคดี 7 ตุลาฯ สู้คดีกันไป จะมีการซักทอดกันไปมาของจำเลยด้วยกันเองหรือจะเล่นโบ้ย โยนผิดไปยัง เจ้าหน้าที่รัฐ อดีตรัฐมนตรี และคนที่เกี่ยวข้องในช่วงการชุมนุมดังกล่าวที่ไม่ได้ตกเป็นจำเลยในคดีนี้ ทำนอง โยนความผิดออกไปจากตัวเองหรือไม่ อันนี้ ต้องจับตาดูกันว่าจะเกิดกรณีแบบนี้ในห้องพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯหรือไม่ เพราะถึงที่สุด หากจวนตัวขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่แน่ที่ทุกคนก็ต้องเอาตัวรอดด้วยกันทั้งสิ้น
คดีสลายการชุมนุม 7 ตุลาฯ 51 ถือเป็นอีกหนึ่งคดีที่น่าติดตาม เพราะมีระดับอดีตนายกรัฐมนตรีสองคนคือ สมชายและพลเอกชวลิต ตกเป็นจำเลย พ่วงด้วย“บิ๊กป๊อด-พล.ต.อ.พัชรวาท” น้องชาย บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้ยิ่งใหญ่ในรัฐบาลคสช. เป็นจำเลยร่วมอีกคน แบบนี้ มันธรรมดาเสียที่ไหน และไม่ว่าคดีจะออกมาแบบไหน แนวทางคำตัดสินก็อาจจะกลายเป็นบรรทัดฐานที่สำคัญต่อไปในอนาคตได้เลยทีเดียว กับการควบคุมการชุมนุมทางการเมือง เพราะประเทศไทย การชุมนุมการเมือง เกิดขึ้นบ่อยและถี่ยิบอยู่แล้ว
ช่วงเวลานี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถือว่าอยู่ในช่วงหัวอกเดียวกัน เพราะจะต้องเจียดเวลาในชีวิตประจำวัน มาคอยสู้คดีและลุ้นคดีไปพร้อมๆกัน โดยทั้งคู่คงเป็นกำลังใจให้กันและกันเพื่อให้ชนะคดี แต่ท้ายสุดผลจะเป็นแบบไหน ก็อยู่ที่มติขององค์คณะผู้พิพากษาคดี ฯแล้วว่าจะตัดสินออกมาอย่างไร
