มหาเศรษฐีซื้อทีมฟุตบอลไว้ประดับบารมี
ในจำนวนทีมฟุตบอล 20 ทีม ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นฟุตบอลลีกระดับสูงสุดของอังกฤษ มีมหาเศรษฐีต่างชาติเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นใหญ่อยู่ถึง 13 ทีม รวมทั้งทีมเลสเตอร์ ซิตี ที่กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ของนายวิชัย ศรีวัฒนประภาเป็นผู้ถือหุ้น 100% ที่เหลือ 7 ทีม เป็นทีมที่มีนายทุนอังกฤษเป็นเจ้าของ
ส่วนในลีกแชมเปียนชิปที่เป็นลีกระดับรองลงมา มีทั้งหมด 24 ทีม มีนายทุนอังกฤษเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นใหญ่อยู่ 11 ทีม อีก13 ทีมที่เหลือเป็นคนต่างชาติถือหุ้นใหญ่ รวมถึงทีมเรดิง ที่มีนายนรินทร์ นิรุตตินานนท์ถือหุ้น 50% คุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์ และนายสัมฤทธิ์ ธนะกาญจนสุทธิ์ ถือหุ้นกันคนละ 25% และทีมเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ของนายเดชพล จันศิริ นักธุรกิจในอุตสาหกรรมอาหารทะเล สรุปคือในทีมลีกสูงสุดกับลีกรองรวม 44 ทีม มีคนต่างชาติถือหุ้นใหญ่หรือเป็นเจ้าของอยู่ 26 ทีม ถือว่ามากกว่าครึ่งเลยทีเดียว
มองลึก ๆ ในพรีเมียร์ลีก ทีมที่ติดอันดับ 1-6 ของตาราง ณ วันนี้ ล้วนแต่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นคนต่างชาติทั้งนั้น เริ่มที่เชลซี มีนายโรมัน อับราโมวิช นักธุรกิจรัสเซียเป็นเจ้าของ แมนเชสเตอร์ ซิตี มีชีค มันซูร์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นเจ้าของ อาร์เซนอลมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นชาวอเมริกัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมีนักธุรกิจอเมริกันเป็นเจ้าของ เซาแธมป์ตันมีนักธุรกิจหญิงจากสวิตเซอร์แลนด์เป็นเจ้าของ ลิเวอร์พูลครองครองโดยชาวอเมริกัน
บุคคลที่เข้ามาซื้อกิจการทีมฟุตบอลในอังกฤษที่เรียกได้ว่าจุดประกายให้มีนักลงทุนต่างชาติรายอื่น ๆ แห่แหนเข้ามาซื้อคือนายอับราโมวิชที่ซื้อทีมเชลซีเมื่อปี 2546 ตามมาด้วยนายมัลคอล์ม เกรเซอร์ นักธุรกิจอเมริกันซื้อปีศาจแดงเมื่อปี 2548 และ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรที่ซื้อแมนเชสเตอร์ ซิตีเมื่อปี 2550 แต่เป็นเจ้าของได้ปีเดียวจึงขายให้ชีคมันซูร์ ในปีเดียวกับที่ พ.ต.ท. ทักษิณซื้อแมนซิตี สองนักธุรกิจจากสหรัฐฯ ทอม ฮิกส์ กับจอร์จ ยิลเลตต์เข้าซื้อหงส์แดง ก่อนหน้านั้นก็มีนักธุรกิจอเมริกันรายหนึ่งซื้อทีมแอสตัน วิลลาไป นักธุรกิจอเมริกันอีกรายซื้อซันเดอร์แลนด์เมื่อปี 2551 อีกรายซื้ออาร์เซนอล อีกรายซื้อฟูลัม นอกจากนักธุรกิจจากสหรัฐฯ แล้ว ทีมฟุตบอลในอังกฤษยังมีเจ้าของมาจากหลายประเทศ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ มาเลเซีย อียิปต์ อิตาลี คูเวต อินเดีย ฮ่องกง เบลเยียม และไทย
ในส่วนของไทย ขณะนี้เป็นเจ้าของอยู่ 3 ทีม อยู่ในพรีเมียร์ลีกหนึ่งทีมคือเลสเตอร์ ซิตี ว่ากันว่าทางกลุ่มคิง เพาเวอร์ซื้อมาในราคา 2,000 ล้านบาท ตอนซื้อนั้น เลสเตอร์ ซิตียังเล่นอยู่ในลีกแชมเปียนชิป แม้ว่าในขณะนี้ขึ้นมาเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก แต่สิ้นฤดูกาลนี้คงตกชั้นไปอยู่แชมเปียนชิปค่อนข้างแน่นอน เพราะล่าสุดรั้งอันดับบ๊วยของตารางพรีเมียร์ลีก อีกสองทีมที่นักลงทุนไทยเป็นเจ้าของ ตอนนี้อยู่ในแชมเปียนชิปลีกคือเรดิง กับเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ราคาซื้อขายของเรดิงในตอนนั้นคาดว่าอยู่ที่ราว 1,300 ล้านบาท ส่วนเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ตกราว 1,500 ล้านบาท
ทีมฟุตบอลอาจไม่ใช่ธุรกิจที่ทำเงินถุงเงินถัง เมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่นักธุรกิจที่กล่าวมาข้างต้น ได้มาจากการทำธุรกิจหลักของตน เท่าที่เคยคุยกับผู้ที่จับเรื่องการเงินในธุรกิจฟุตบอล ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่านักธุรกิจกลุ่มนี้เป็นอัครมหาเศรษฐี มีรายได้ปีละหลายพันล้านบาท มีทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่เงินจะบันดาลให้ได้ พวกเขาอาจนำเงินไปซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่ม ซื้อเรือยอชท์ ซื้อเครื่องบินส่วนตัวได้อีก แต่สิ่งของเหล่านั้นไม่มีชีวิต สู้ซื้อทีมฟุตบอลไม่ได้ เพราะจะได้ความเคารพนับถือจากแฟนบอล จากนักฟุตบอลดัง ๆ และจากผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการฟุตบอลอีก นอจากนั้นการเจียดเงินส่วนหนึ่งมาซื้อทีมฟุตบอลไม่ได้ทำให้ขนหน้าแข้งพวกเขาร่วงแม้แต่น้อย หรือแม้ว่าซื้อมาแล้วจะไม่ทำกำไรหรือขาดทุนก็ตาม พวกเขาก็ไม่สะเทือน เพราะยังมีรายได้มาจากธุรกิจหลักที่ทำอยู่
แรงจูงใจหลักที่ผลักดันให้พวกเขาซื้อ มาจากต้องการลึก ๆ ในใจ เพื่อเอาไว้ใช้ประดับบารมี เป็นสมบัติที่เรียกว่าเป็น “trophy asset” หรือมองอีกนัยหนึ่งเป็นถ้วยรางวัลให้กับชีวิตตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับมหาเศรษฐีที่สนใจฟุตบอลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การได้ยินเสียงแฟนบอลตะโกนชื่อของตนเองดังกระหึ่มสนามฟุตบอลคงสร้างความรู้สึกอิ่มเอมให้พวกเขาเป็นที่สุด
อย่างไรก็ตามการซื้อเพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของดูจะไม่พอ แต่ต้องทำให้ทีมคว้าแชมป์รายการใหญ่ ๆ ให้ได้ หรือไม่ให้ตกชั้น ตรงนี้ต้องลงทุนเพิ่ม เช่น ซื้อนักเตะ ปรับปรุงสนาม จ้างโค้ชมือดีมาประจำ การลงทุนเพิ่มดูจะมีแต่เรื่องของการจ่ายลูกเดียว ตรงนี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่ามหาเศรษฐีซื้อทีมฟุตบอลเพื่อเป็นรางวัลให้กับตัวเอง
การซื้อไม่จำเป็นต้องซื้อทีมที่อยู่ในพรีเมียร์ลีกเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากนักลงทุนต้องการได้ราคาถูกลงมาหน่อย ก็ต้องมามองหาในระดับแชมเปียนชิป และพยายามทำให้ทีมได้เลื่อนขั้นไปอยู่ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นลีกที่ทำเงินได้มากกว่าลีกแชมเปียนชิป เพราะค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดการแข่งขันสำหรับทีมในพรีเมียร์ลีกนั้นแพงมาก
ร็อบ วิลสัน ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งที่มหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ ฮัลลัม เล่าให้ฟังกรณีการซื้อเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ของนายเดชพล จันศิริ ว่าเป็นการมองเกมในระยะไกล เพราะทีมนกเค้าแมวเป็นทีมที่มีศักยภาพภาพ เปรียบเป็นยักษ์ใหญ่ที่หลับอยู่ในลีกแชมเปียนชิป เพราะมีสนามที่ดี มีกลุ่มแฟนบอลที่เหนียวแน่น นอกจากนั้นยังเป็นทีมที่มีประวัติมายาวนาน ทั้งยังเคยอยู่ในพรีเมียร์ลีกมาก่อนด้วย มองในแง่การลงทุน เป็นการลงทุนที่ดี เพราะราคาซื้อถูกกว่าทีมที่อยู่ในพรีเมียร์ลีกมาก และหากนักธุรกิจไทยสนใจซื้อสโมสรฟุตบอลในอังกฤษ ร็อบ วิลสันแนะนำว่าควรซื้อทีมที่อยู่ในแชมเปียนชิป ที่มีศักยภาพ ที่จะได้เลื่อนชั้นไปฟาดแข้งในพรีเมียร์ลีก หรือทีมที่เคยอยู่ในพรีเมียร์ลีกและตกชั้นไป เช่น ลีดส์ ยูไนเต็ด, นอตติ้งแฮม ฟอเรสต์, นอริช ซิตี, และเบิร์นลีย์
ภาพประกอบจาก www.ssballthai.in.th