ผลวิจัย “ลุ่มน้ำสายบุรี” ระยะแรกเวิร์ค สกว. เดินหน้าทำอย่างยั่งยืนโดยท้องถิ่น

สกว.ลงนาม MOU ร่วมม.มหิดล ขับเคลื่อนแผนวิจัยลุ่มน้ำสายบุรี แบบมีส่วนร่วมประชาชนระยะ 2 ชี้เป็นหัวใจของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีทรัพยากร-วัฒนธรรมสมบูรณ์ต้องเร่งรักษาไว้ ตัวแทนชาวบ้านมองกระบวนการทำงานเป็นการกระจายอำนาจอย่างแท้จริง
วันที่ 23 กันยายน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และมหาวิทยาลัยมหิดล จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการสนับสนุนโครงการวิจัย “การพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการลุ่มน้ำสายบุรี ระยะที่ 2 ”โดยมี ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ หัวหน้าโครงการวิจัย และอดีตกรรมการปฏิรูป (คปร.) ศ.คลินิก นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมลงนาม และในช่วงท้ายมี นายนุกูล รัตนดากุล ผู้ประสานงานในพื้นที่ ร่วมแสดงความเห็นเกี่ยวกับวิถีชุมชนกับการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ำสายบุรี
ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวว่า ลุ่มน้ำสายบุรีเป็นฐานทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย การศึกษาวิจัยในระยะที่ 1 ของโครงการวิจัยฯ ลุ่มน้ำสายบุรี ระหว่างเดือนสิงหาคม 2551 ถึง พฤศจิกายน 2553 ได้เน้นการศึกษาข้อมูลสภาพทรัพยากร การใช้ทรัพยากร ผลกระทบจากการใช้ทรัพยากร และทัศนคติของชาวบ้าน เพื่อวางแผนจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน
“แต่ผลการศึกษาพบว่า วัฒนธรรม ความเชื่อ ความศรัทธาทางศาสนาของประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นมุสลิมยังมีความเข้มแข็งอยู่ แต่ปัญหาการเสื่อมโทรมของทรัพยากรที่สำคัญ ทั้งด้านป่าไม้ ที่สูญเสียพื้นที่ป่าไม้ไปกว่า 50,000 ไร่ พื้นที่พรุถูกเปลี่ยนไปเป็นสวนปาล์มมากกว่า 20,000 ไร่ และนากว่า 100,000 ไร่ รวมทั้งที่ดิน แหล่งน้ำและการเกษตรที่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน จึงต้องแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยจัดทำเป็นโครงการวิจัยฯ ระยะที่ 2 เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระหว่างรัฐ และประชาชนท้องถิ่นอย่างมีส่วนร่วม”
ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวถึงปัญหาของลุ่มน้ำสายบุรี เป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน ยากแก่การทำความเข้าใจ มีความขัดแย้งที่สะสมเรื้อรังมานาน และไม่อาจแก้ไขได้ ถ้าประชาชนในพื้นที่ไม่ลุกขึ้นมาแก้เอง ซึ่งการแก้ปัญหา โดยประชาชนก็เป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากปัญหาสังคมการเมือง ที่สร้างความหวาดระแวง ไม่อาจรวมกลุ่ม สร้างพลังทางสังคมมาแก้ไขได้
“งานวิจัยจึงเป็นการสร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจ แรงกระตุ้น เสริมกระบวนการคิดวิเคราะห์ และเป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติ ลดความขัดแย้งด้วยการสื่อสารพูดคุยบนฐานความรู้ ใช้กระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วม และสามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดนโยบายสาธารณะในการจัดการลุ่มน้ำสายบุรีอย่างยั่งยืน” ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าว และว่า โครงการวิจัยฯ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 สิงหาคม ถึงพฤศจิกายน เป็นช่วงของการศึกษาข้อมูลทรัพยากร ระยะที่ 2 สิงหาคม 2554 ถึงกรกฎาคม 2556 เป็นการนำข้อมูลวิจัยในระยะแรกมาพูดคุยกับชุมชนท้องถิ่น เพื่อศึกษาวิเคราะห์ วางแผนร่วมกัน และระยะที่ 3 จะดำเนินการตั้งแต่ 2557 เป็นต้นไป โดยจะเน้นสร้างกระบวนการนโยบาย บนฐานการมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคีพัฒนาระดับชุมชน ท้องถิ่นและลุ่มน้ำ
ขณะที่ศ.คลินิก นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ลุ่มน้ำสายบุรีมีระบบสังคมวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง คนในท้องถิ่นมีองค์ความรู้ในการจัดการวัฒนธรรมอยู่มาก จึงสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยและพัฒนาต่อยอด ในระยะที่ 2 เพื่อศึกษาวิเคราะห์พัฒนาทางเลือกและแผนในระดับชุมชนและท้องถิ่นอย่างสมดุลยั่งยืนและมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย โดยจะยึดกรอบคิด 4 ประการ ได้แก่ 1.ภูมิปัญญาของชุมชนในการจัดการทรัพยากร ภายใต้ประเพณี ความเชื่อ และหลักการทางศาสนา 2.ภาคีเครือข่ายและการมีส่วนร่วม เป็นกระบวนการสร้างภาคีเครือข่ายการทำงานที่กว้างขึ้น 3.การพัฒนาฐานข้อมูล 4.นโยบายสาธารณะ
ด้านนายนุกูล กล่าวว่า โครงการฯ ศึกษาวิจัยลุ่มน้ำสายบุรี เป็นกระบวนการทำงานที่ทำให้คนในพื้นที่ได้รู้สึกถึงการกระจายอำนาจให้กับท้องถิ่นอย่างแท้จริง เนื่องจากเป็นการทำงานที่ศึกษาอย่างเข้าถึงจิตวิญญาณของชาวบ้าน ท้องถิ่น วัฒนธรรม และพรุ ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์และเป็นหัวใจของลุ่มน้ำ ในด้านกระบวนการศึกษาวิจัยก็เป็นไปโดยให้คนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ได้เพิ่มและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างคณะศึกษาวิจัยและคนในพื้นที่ อย่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ จัดการทรัพยากรลุ่มน้ำสายบุรีอย่างยั่งยืนด้วยตัวของคนในพื้นที่เอง
