กรมส่งเสริมสหกรณ์จี้ "ธรรมกาย" คืนเงินผู้ฝาก
นายโอภาส กลั่นบุศย์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ความคืบหน้า การแก้ไขปัญหาสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ที่ถูกนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานกรรมการและพวกทุจริตเงินออกไปจากสหกรณ์เป็นจำนวนประมาณ 16,000 ล้านบาท ทำให้สหกรณ์ขาดสภาพคล่อง จนสมาชิกสหกรณ์ทั้งหมด จำนวน 56,469 ราย ได้รับความเดือดร้อน ไม่สามารถเบิกถอนเงินของตนเองออกจากบัญชีเงินฝากได้ โดยสมาชิกทั้งหมดมีเงินฝากที่ยังไม่สามารถเบิกถอนออกไปได้รวมทั้งสิ้น 7,823 ล้านบาท
ทั้งนี้ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นอยู่ระหว่างเสนอแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง โดยมีประเด็น คือ มีเจ้าของเงินฝาก หรือเจ้าหนี้ของสหกรณ์ แตกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ฝากเงินรายย่อย ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการให้สหกรณ์เข้าสู่การฟื้นฟูกิจการ เพราะยังมีโอกาสได้รับเงินคืน แม้จะต้องใช้ระยะเวลายาวนานก็ตาม อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มผู้ฝากเงินรายใหญ่ ที่ต้องการให้สหกรณ์เข้าสู่กระบวนการล้มละลาย เพราะจะต้องมีการขายทรัพย์สินและนำเงินมาชดเชยรายใหญ่ก่อน แต่กรณีนี้ไม่เป็นผลดีกับผู้ฝากเงินรายย่อย ซึ่งคาดว่าจะได้รับเงินคืนเพียง 5-8% ของเงินฝากในบัญชีเท่านั้น อย่างไรก็ตามเรื่องนี้อยู่ในดุลพินิจของศาล ซึ่งนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 20 มี.ค.นี้
นายโอภาส กล่าวว่า ตามแนวทางการฟื้นฟูสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นนั้น จะต้องหาสภาพคล่องเข้ามาเติมประมาณ 5,000 ล้านบาท น่าจะเพียงพอในการทำธุรกิจและหารายได้กลับคืนสู่สมาชิกต่อไป โดยแหล่งเงินที่วางแผนไว้มี 2 ทางด้วยกัน คือ 1.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติจัดหาแหล่งเงินทุน ให้สหกรณ์กู้ยืม โดยรัฐรับชดเชยดอกเบี้ย และ 2.การฟ้องร้องทางแพ่งเรียกเงินที่ถูกทุจริตไปประมาณ 16,000 ล้านบาท คืนกลับมา
“ด้านการดำเนินคดีทางแพ่ง สหกรณ์ฯได้ยื่นฟ้องทั้งสิ้น 5 คดี เป็นเงินที่เรียกคืนทั้งสิ้น 16,725 ล้านบาท แบ่งเป็นการฟ้องนายศุภชัย และพวกจำนวนเงิน 14,452 ล้านบาท ศาลนัดพิจารณาคดีวันที่ 28 เม.ย.นี้ ยื่นฟ้องสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนรัฐประชาจำกัด คดีผิดสัญญาตั๋วใช้เงิน 1,340 ล้านบาท ยื่นฟ้องวัดพระธรรมกายและพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาส ซึ่งรับเงินบริจาคมาจากนายศุภชัย 814 ล้านบาท ศาลนัดคดีวันที่ 16 มี.ค.นี้ และยื่นฟ้อง พระครูปลัดวิจารณ์ ธีรางกุโร พระลูกวัด 119 ล้านบาท ศาลนัดวันที่ 28 เม.ย.นี้”
นายโอภาส กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ราชการไม่อยากเห็นการดำเนินคดีกับพระหรือวัด จึงอยากให้วัดพระธรรมกายคืนเงินทั้งหมดให้แก่สหกรณ์ ตามที่ตกลงกับคณะกรรมการสหกรณ์ไว้ เพราะวันนี้แม้จะมีการรับปากแล้วว่าจะคืน แต่ก็ยังไม่ดำเนินการ ถ้านัดคืนเงินให้สหกรณ์จริงวันไหน ตนพร้อมที่จะไปเป็นพยานในการรับมอบเงินคืนด้วยตัวเอง แต่ยิ่งไม่คืน ทิ้งเวลานานเท่าไร วัดก็จะยิ่งถูกสังคมตรวจสอบหนักยิ่งขึ้น
“ถ้าวัดพระธรรมกาย เจ้าอาวาส และพระลูกวัดที่รับเงินบริจาค รวม 937 ล้านบาท จากอดีตผู้บริหารสหกรณ์ที่ทุจริตกลับคืนให้สหกรณ์ฯ เชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สมาชิกได้ทันที เพราะตามฐานข้อมูลการฝากเงินของสมาชิกเป็นกลุ่มรายย่อยที่มีเงินฝากไม่ถึง 1 ล้านบาท รวมมากถึง 54,776 ราย หรือ 96% ของผู้ฝากเงินทั้งหมด 56,469 ราย ในกลุ่มนี้มีเงินฝากรวมกันเพียง 593 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้น ถ้าวัดพระธรรมกายคืนเงินมา สมาชิกสหกรณ์ส่วนใหญ่ก็มีโอกาสจะถอนเงินฝากของตัวเองคืนได้ทันที เพียงแต่อาจจะขอร้องสมาชิกว่าอย่าเพิ่งถอนค่าหุ้นในสหกรณ์ออกไป เพราะเป็นเงินสูงถึง 4,627 ล้านบาท”
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ตรวจสอบการทำงานของสหกรณ์ต่างๆ เพราะโดยระบบสหกรณ์ทุกแห่ง จะมีผู้ตรวจบัญชีจากภายในนอกเข้าไปตรวจบัญชีทุกสิ้นปี พร้อมระบุข้อสังเกตในบัญชี ก่อนที่จะสรุปส่งมายังกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ซึ่งกรณีของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นได้พบความผิดปกติมาตั้งแต่ปี 2546 เพราะเอาเงินไปให้คนนอกที่สมาชิกกู้ยืม 9 ราย จำนวนเงิน 246 ล้านบาท ทางราชการก็ตรวจพบและได้สั่งให้ยกเลิก แต่มีการดึงเวลาโดยเอาเรื่องนี้ไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ แม้กฤษฎีกาจะให้ความเห็นตรงกับทางราชการ แต่ผู้บริหารขณะนั้นก็ได้เร่งเปิดรับบุคคลภายนอกมาเป็นสมาชิกสมทบ และเร่งปล่อยกู้จากหลักร้อยล้านบาท กระโดดขึ้นมาเป็น 12,000 ล้านบาท ให้แก่สมาชิกสมทบถึง 27 ราย จนเกิดปัญหากับตัวสหกรณ์และมีการฟ้องร้องกันมาจนทุกวันนี้
“ก่อนรับตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้รับมอบหมายให้ร่วมแก้ปัญหาสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นหลายครั้ง แต่เจ้าหน้าที่รัฐไม่เคยเจาะไปถึงเบื้องลึกของปัญหาได้ เพราะผลประโยชน์สลับซับซ้อน อย่างตอนที่นายทะเบียนสหกรณ์จะสั่งให้อดีตผู้บริหารคลองจั่น ที่ทุจริตพ้นจากความเป็นกรรมการ เพื่อเข้าไปตรวจสอบปัญหาภายใน ยังมีนักการเมืองเข้ามาวิ่งเต้น ให้เจ้าหน้าที่ชะลอคำสั่งไปก่อน มาขอว่าต้องให้เวลาเอาเงินมาคืน แต่ที่สุดก็เอาเงินมาคืนไม่ได้ แต่วันนี้เป็นยุคที่ทหารเอาจริง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พูดชัดเจนว่าห่วงใยปัญหานี้ คดีความต่างๆ ถึงคืบหน้าไปมาก ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่ทางราชการจะเจาะคดีได้มากขนาดนี้”
นายโอภาส กล่าวว่า สำหรับการแก้ปัญหาการทุจริตภายในสหกรณ์ต่างๆ ในระยะยาว โดยเฉพาะสหกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ได้แก่ สหกรณ์ออมทรัพย์ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 2,000 แห่ง ตนเห็นด้วยกับแนวคิด ที่ต้องการให้สหกรณ์การเงินต่างๆ เข้าสู่ระบบการตรวจสอบหนี้ หรือเครดิตบูโร เพราะจะได้เห็นสถานะการเงินทั้งหมดของสมาชิกเอง และคุณภาพสินเชื่อของสหกรณ์ แต่สมาชิกสหกรณ์อาจจะไม่เห็นด้วย เพราะการเปิดเผยข้อมูลหนี้อาจทำให้สมาชิกที่มีหนี้สินจำนวนมาก ไม่สามารถกู้เงินจากสหกรณ์เพิ่มได้อีก
ขอบคุณข่าวจาก