วิกฤต..หนี้ครู 1 ล้านล้านบาท
ปัญหา "หนี้สินครู" นับเป็นปัญหาโลกแตกจริงๆ เพราะไม่ว่าจะกี่รัฐบาลต่อกี่รัฐบาลที่ผ่านมา เมื่อเข้ามาบริหารประเทศ และยิ่งถ้าได้ดูแลกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มักเป็นต้องหยิบยกนโยบายเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูขึ้นมา "ปัดฝุ่น" กันครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ดูเหมือนปัญหาหนี้สินครู ก็ยังไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังเสียที หลายๆ ครั้ง ออกจะเป็นเพียงการ "หาเสียง" กับบรรดาพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ทั่วประเทศด้วยซ้ำ
ท้ายที่สุด..ก็ไม่มีอะไรในกอไผ่!!
ล่าสุด เมื่อ "นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล" ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย เมื่อเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ก็เดินหน้านโยบายต่างๆ ตามที่รัฐบาลได้หาเสียงเอาไว้ รวมถึง นโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูด้วย
โดยนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ได้เรียกหาข้อมูล "ตัวเลข" หนี้สินครูทั้งระบบจากสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ซึ่งเบื้องต้นมีการรายงานตัวเลขหนี้ครูคร่าวๆ ว่าอยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท
แต่เมื่อมีการซักถามข้อมูลในเชิงลึก รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ถึงกับ "ตะลึง" กับข้อมูลตัวเลขหนี้สินครู ที่ขยับเพิ่มขึ้นจาก 4 แสนล้านบาท เป็น 7 แสนล้านบาท และรายงานตัวเลขหลังสุด หนี้สินครูทั้งระบบกลับมีมากถึง 1 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ จากการรวบรวมตัวเลขครั้งหลังสุดเมื่อช่วงเดือนเมษายน 2554 เกี่ยวกับปัญหาหนี้สินครูทั้งระบบ ซึ่งเป็นช่วงที่ "นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ" ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ ศธ.และได้มอบหมายให้ สกสค.ไปรวบรวม รวมถึง แหล่งเงินกู้ของบรรดาแม่พิมพ์ทั้งหลาย เพื่อเตรียมวางแนวทางในการแก้ไขปัญหา แต่ "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ประกาศยุบสภาเสียก่อน ทำให้นโยบายแก้ไขปัญหาหนี้สินครูของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นอันต้องพับไป
โดยพบว่า แหล่งเงินกู้ที่สำคัญที่ทำให้ครูทั่วประเทศกว่า 4 แสนคน เป็นหนี้จำนวนมหาศาลนั้น มาจากหลายๆ แหล่ง ได้แก่ 1.สหกรณ์ออมทรัพย์ครู มีอยู่ทั่วประเทศ 87 แห่ง มีทุนดำเนินการ 376,976,795,470.00 บาท มีสมาชิก 647,053 ราย สมาชิกที่เป็นหนี้สหกรณ์ 467,143 ราย วงเงินกู้ยืมรวม 766,081,019,000.00 บาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เป็นไปตามที่คณะกรรมการดำเนินงานของแต่ละสหกรณ์กำหนด สูงสุด 8.20% ต่อปี ต่ำสุด 2.20% ต่อปี
2.สินเชื่อโครงการพัฒนาชีวิตครู ซึ่งเป็นโครงการร่วมระหว่าง ศธ.กับธนาคารออมสิน และกลุ่มเครือข่ายพัฒนาชีวิตครู มีสมาชิก จำนวน 1,571 กลุ่มใหญ่ มีสมาชิก 93,140 คน ยอดเงินกู้ที่อนุมัติแล้ว 111,315.80 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR-0.25% อยู่ระหว่างขอปรับอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารออมสินให้เป็น MLR-0.50%
3.สินเชื่อโครงการกองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทาง การศึกษา (ช.พ.ค.) และโครงการกองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา ในกรณีคู่สมรสถึงแก่กรรม (ช.พ.ส.) ของ สกสค.มีสมาชิก ช.พ.ค.จำนวน 837,165 คน และมีสมาชิก ช.พ.ส. 382,812 คน แบ่งเป็น โครงการเงินกู้ ช.พ.ค.1 จำนวนเงินกู้รวม 7,511 ล้านบาท จำนวนผู้กู้ 37,556 คน, โครงการเงินกู้ ช.พ.ค.2 จำนวนเงินกู้รวม 15,727 ล้านบาท จำนวนผู้กู้ 78,635 คน, โครงการเงินกู้ ช.พ.ค.3 จำนวนเงินกู้รวม 21,340 ล้านบาท จำนวนผู้กู้ 106,701 คน, โครงการเงินกู้ ช.พ.ค.4 จำนวนเงินกู้รวม 9,657 ล้านบาท จำนวนผู้กู้ 48,288 คน, มีโครงการเงินกู้ ช.พ.ค.5 จำนวนเงินกู้รวม 107,293 ล้านบาท จำนวนผู้กู้ 178,822 คน และโครงการเงินกู้ ช.พ.ค.6 จำนวนเงินกู้รวม 275,218 ล้านบาท จำนวนผู้กู้ 263,934 คน อัตราดอกเบี้ย MLR-0.50%
4.เงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู บริหารโครงการโดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) มีทุนดำเนินการ 1,200 ล้านบาท ยอดเงินกู้ที่อนุมัติแล้ว 272,210,036.76 บาท อัตราดอกเบี้ย MLR-1%
และ 5.แหล่งเงินกู้อื่นที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ เช่น บัตรเครดิต เงินกู้ธนวัฏ เงินกู้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เงินกู้จากสินค้าเงินผ่อน เงินกู้นอกระบบ เป็นต้น
ข้อมูลจำนวนผู้กู้ และวงเงินที่กู้จาก 4 แหล่งแรก ยังไม่รวมจำนวนหนี้จากแหล่งเงินกู้นอกระบบจะเห็นว่าครูมีหนี้สินรวมกันมาก ถึง 1 ล้านล้านบาท
แต่หากรวมกับหนี้เงินกู้นอกระบบแล้ว มีผู้คาดการณ์ว่าครูทั้งประเทศน่าจะมีหนี้รวมกันไม่ต่ำกว่า 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มากมายมหาศาลอย่างยิ่ง
ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว ครูหนึ่งคนจะมีหนี้สินประมาณ 2 ล้านบาท โดยครูที่มีหนี้สินมากที่สุด เป็นหนี้มากถึง 5 ล้านบาท และจำนวนครูที่มีหนี้สินอยู่ในขั้นวิกฤตมีประมาณ 24,000 คน
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ครูเป็นหนี้เกิดจากนำเงินไปซื้อรถยนต์ให้บุตรหลาน เรียนต่อระดับปริญญาโท และปริญญาเอก รวมทั้ง กู้เงินไปใช้หนี้เก่าด้วย
"นายสานิตย์ พลศรี" ประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัด ชัยภูมิ ออกมาสนับสนุนนโยบายของรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาหนี้ครูทั้งระบบ โดยจะต้องสำรวจหนี้ครูให้ชัดเจนว่ามีจำนวนเท่าไหร่ ที่สำคัญต้องไม่ให้ครูก่อหนี้เพิ่มขึ้นอีก เพราะที่ผ่านมา มีช่องทางมากมายให้ครูกู้เงิน ทำให้ครูกู้เงินไปหมุน และโปะหนี้ในส่วนอื่นๆ ฉะนั้น จำเป็นที่ครูจะต้องมีวินัยทางการเงินด้วย
ขณะที่ผู้อำนวยการโรงเรียนกัลยาณวัตร จ.ขอนแก่น "นายลิขิต เพชรผล" มอง ว่าปัญหาหนี้สินครูแก้ได้อยาก เพราะมีช่องทางต่างๆ มากมายให้ครูกู้ เพื่อนำไปซื้อสิ่งอำนวยความสะดวก ฉะนั้น ถ้าจะแก้ไขปัญหาหนี้สินครู ศธ.ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง และไม่ให้ครูไปก่อหนี้เพิ่ม
ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัญหาหนี้ครูที่เกิดขึ้นในขณะนี้ รัฐมนตรีว่าการ ศธ.เห็นว่าเป็น "วิกฤต" อย่างมาก และจำเป็นต้องแก้ไข เพราะหากไม่มีมาตรการควบคุมไม่ให้ครูเป็นหนี้เพิ่ม ก็จะเป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับปัญหานี้ และจะทำให้ครูที่มีหนี้สินไม่มีกระจิตกระใจที่จะสอนหนังสือ
พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการ ศธ.มีแนวคิดที่จะไม่ให้มีการปล่อยกู้เพิ่มเติมให้กับครู โดยเฉพาะการปล่อยกู้อย่างอิสระของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูทั้ง 87 แห่งทั่วประเทศ รวมถึง โครงการเงินกู้อื่นๆ อย่างโครงการ ช.พ.ค.ของ สกสค.ด้วย
ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า สกสค.เตรียมปล่อยกู้โครงการ ช.พ.ค.7 โดยเพิ่มวงเงินจากโครงการ ช.พ.ค.6 ที่มีวงเงิน 1,200,000 บาท เป็น 3,000,000 บาท และมีเงื่อนไขง่ายต่อการกู้อย่างมาก
ประเด็นนี้ทำให้นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล เตรียมเชิญผู้บริหาร สกสค.มาชี้แจง เพราะมองว่าหากปล่อยกู้ให้ครูไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้สินครูไม่จบไม่สิ้น และยังเป็นการสร้างหนี้สินเพิ่มให้กับแม่พิมพ์อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูในเบื้องต้นนั้น รัฐมนตรีว่าการ ศธ.มีแนวคิดที่จะปรับงบประมาณในปีงบประมาณ 50,000 ล้านบาท ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู โดยอาจตั้งเป็น "กองทุน" ขึ้นมาเพื่อบริหารจัดการหนี้สินครู ต้องดูแลไม่ให้ใครเอารัดเอาเปรียบครู
แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดปัจจัยหนึ่ง ที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้สินครูทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากขึ้น ก็คือหน่วยงานที่รับผิดชอบ และเกี่ยวข้องทั้งหมด จะต้องมีมาตรการ "ปลดหนี้" ที่ชัดเจน มีกระบวนการไม่ให้ครูสร้างหนี้่เพิ่ม ต้องไม่ให้ครูกู้เงินเพื่อมาปลดหนี้เก่า เพราะจะเป็นการสร้างหนี้ใหม่ขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีที่สิ้นสุด ที่สำคัญที่สุด ต้องสร้างวินัยในการใช้เงินให้แก่ครู
หากรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ทำได้จริงอย่างที่ประกาศไว้ บวกกับนโยบายที่รัฐบาลเตรียมจะขึ้นเงินเดือนให้แก่ข้าราชการ รวมถึง ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีทั้งระบบ ให้มีเงินเดือน 15,000 บาท ก็เชื่อว่าจะทำให้คุณภาพชีวิตของครูดีขึ้น และจะทำหน้าที่แม่พิมพ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า นโยบาย "ปลดหนี้ครู" ครั้งนี้ จะเป็นของจริง หรือเป็นเพียงแค่นโยบายที่ใช้หาเสียง และหลอกให้ครูทั่วประเทศดีใจเก้อๆ เหมือนที่ผ่านๆ มา!!