ปลุกขรก.สร้างธรรมาภิบาล ต้านโยกย้ายมิชอบ ปฏิรูประบบสรรหา
"กลไกข้าราชการ"
ที่ถือเป็นตัวจักรสำคัญมาก หากข้าราชการไม่ให้ความร่วมมือในการทำงานกับรัฐบาล หรือข้าราชการทำงานแบบเฉื่อยชา เช้าชามเย็นชาม ไม่กระตือรือล้นในการนำนโยบายหรือแผนงานของรัฐบาลไปปฏิบัติ ก็ยากที่รัฐบาลจะมีผลงานได้
เอาแค่เรื่องง่ายๆอย่างกรณีการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ต่อให้รัฐบาลมีความตั้งใจในการช่วยเหลือประชาชนแค่ไหน แต่ระดับนโยบายหรือระดับปฏิบัติในพื้นที่ ไม่สนใจปัญหาความเดือดร้อนประชาชน เช่นไม่ออกไปดูแลความเดือดร้อนประชาชน ช่วยขนย้ายสิ่งของหรือพาคนป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แถมยังเจอน้ำท่วมอีก ไปโรงพยาบาล หรือแม้แต่ทุจริตเงินและสิ่งของที่ประชาชนบริจาคช่วยน้ำท่วม
เวลาคนด่า ลำดับแรกก็ต้องด่าว่ารัฐบาลห่วยแตก ไม่สนใจปัญหาประชาชนที่เดือดร้อนน้ำท่วม แถมยังทุจริตเงินน้ำท่วม ทั้งที่รัฐบาลอาจดูแลไม่ทั่วถึงหรือไม่รู้ว่าเกิดปัญหานี้ แค่นี้รัฐบาลก็ติดลบแล้ว
ด้วยเหตุนี้ กลไกข้าราชการจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อรัฐบาลทุกชุด
จึงทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการของฝ่ายการเมืองทุกยุคทุกสมัย ก็มักจะใช้ระบบ เอาคนของตัวเองหรือพวกพ้อง หรือข้าราชการที่อยู่ในเครือข่ายฝ่ายการเมืองที่กุมอำนาจรัฐในเวลานั้นไปทำ งาน โดยเฉพาะในระดับบริหารตั้งแต่ปลัดกระทรวง –อธิบดี –รองอธิบดี
ส่วนพวกข้าราชการที่ไม่ใช่พวกของตัวเองหรือฝ่ายการเมืองไม่ไว้ใจเพราะ เห็นว่าเติบโตในยุคที่ฝ่ายตรงข้ามเป็นรัฐบาล ก็จะต้องมีการเขี่ยให้ออกจากวงโคจรไป ไม่ต้องการให้อยู่ทำงานเพราะเกรงจะเป็นหอกข้างแคร่ สู้เอาข้าราชการที่ตัวเองไว้ใจหรือคอยทำงานให้ตลอดมาเป็นมือเป็นไม้จะดีกว่า
เช่นเดียวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่บริหารประเทศมาได้เกือบ 50 วันแล้ว ก็ถูกวิจารณ์หนักเช่นกันว่า แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงแบบเล่นพรรคเล่นพวก เอาคนของตัวเองขึ้นมาเป็นใหญ่ ตอบแทนการเมืองกับพวกข้าราชการที่แนบชิดกับขั้วอำนาจในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แล้วก็ล้างบางข้าราชการที่รัฐบาลมองว่าเป็นคนของฝ่ายตรงข้ามหรือคู่แข่ง
อย่างล่าสุดเมื่อ 20 กันยายนที่ผ่านมา ก็มีการย้ายนายวิเชียร ชวลิต ที่มีความใกล้ชิดกับนายเนวิน ชิดชอบและพรรคภูมิใจไทยออกจากเก้าอี้ปลัดกระทรวงมหาดไทย ไปเป็นหัวหน้าสำนักงานและเลขาธิการคณะกรรมการบูรณาการแผนงานบริหารจัดการน้ำ ซึ่งเกียรติ-ศักดิ์ศรีและอำนาจแล้ว เทียบไม่ได้เลยกับตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย
ขณะที่ก่อนหน้านี้ก็มีการแต่งตั้งโยกย้ายหลายกระทรวงหลายตำแหน่งที่มีการวิจารณ์กันมากถึงความเหมาะสม
เช่นที่กระทรวงการคลัง ที่แต่งตั้งนางเบญจา หลุยเจริญ จากรองปลัดกระทรวง ที่มีความใกล้ชิดและมีสายสัมพันธ์อันดีกับคนในตระกูลชินวัตร เป็นอธิบดีกรมสรรพสามิตรวมถึงการตั้งบอร์ดรัฐวิสาหกิจในกระทรวงการคลังอย่าง คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ตั้งวีรภัทร ศรีไชยา หนึ่งในทีมทนายความของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรที่ต่อสู้คดีความต่างๆ ที่พ.ต.ท.ทักษิณถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ รัฐ(คตส.) สอบสวนเอาผิดรวมถึงพลตำรวจตรี สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อนร่วมรุ่นนรต.26 กับพ.ต.ท.ทักษิณเป็นบอร์ดกองสลากฯรัฐวิสาหกิจที่มีผลประโยชน์มากที่สุด ของกระทรวงการคลัง
แล้วยังมีอีกหลายกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากในเรื่องการใช้อำนาจ ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในเรื่องนี้ แต่ฝ่ายรัฐบาลก็ยืนกรานว่าเป็นเรื่องปกติ ที่เกิดกับทุกรัฐบาล สมัยประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลก็แต่งตั้งโยกย้ายเอาพวกตัวเองมาเป็นใหญ่ทั้ง สิ้น
มุมมองของ”รสนา โตสิตระกูล”สมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาล ในคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ที่เพิ่งจัดเสวนาเรื่อง "ธรรมาภิบาลในการแต่งตั้งโยกย้าย" ไปเมื่อ15 กันยายนซึ่งมีการเชิญถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำที่ถูกย้ายจากลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา ที่เคยถูกรัฐบาลไทยรักไทยย้ายจากปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และนายปรีชา วัชราภัย อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) มาร่วมเสวนา
“รสนา”ที่ได้รับฟังข้อมูลและปัญหาเรื่องการแต่งตั้งโยก ย้ายในวงราชการหลายยุคหลายสมัยจากการเสวนาดังกล่าว สรุปภาพรวมการใช้อำนาจของนักการเมืองกับการแต่ง
ตั้งโยกย้ายข้าราชการที่ผ่าน มากับ”ทีมข่าวปฏิรูป”ว่า แม้จะเป็นเรื่องปกติที่นักการเมือง รัฐมนตรี ต้องใช้คนที่ตัวเองไว้ใจมาทำงานในตำแหน่งฝ่ายบริหาร แต่ก็ใช่ว่าสังคมจะปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ หากว่าการใช้อำนาจนั้นทำโดยไม่ถูกต้อง และใช้อำนาจเกินพอดี แล้วก็ปล่อยให้ฝ่ายการเมืองอ้างว่า ตัวเองมีอำนาจ จะทำอะไรก็ได้ เพราะหากนักการเมืองคิดและทำเช่นนี้จนเป็นวัฒนธรรม ผลเสียก็คือ ข้าราชการก็จะตกอยู่ในวงวนของ”ความกลัว” ยิ่งการที่นักการเมือง รัฐมนตรี ที่นั่งทำงานในกระทรวงคิดจะทุจริตคอรัปชั่น นักการเมืองฝ่ายเดียวทำไม่ได้ ต้องใช้ข้าราชการมาทำงาน มาช่วยหาช่องโหว่ ช่วยวางแผนให้ เพราะข้าราชการจะต้องเป็นคนทำต้นเรื่องอะไรต่างๆ เช่นการประมูลโครงการ การจัดซื้อจัดหา ข้าราชการจะรู้ช่องทาง รู้ระเบียบว่าต้องทำอย่างไรให้เกิดช่องทาง สามารถซิกแซกหาประโยชน์ได้ ดังนั้นหากนักการเมืองตั้งคนของตัวเอง เอาข้าราชการที่ไม่ดีมานั่งทำงานในตำแหน่งใหญ่แล้วร่วมกันทุจริตคอรัปชั่น ประเทศชาติก็ตกอยู่ในอันตราย
“ถ้าเราปล่อยให้นักการเมืองพูดอยู่ได้ว่า เป็นเรื่องปกติ รัฐบาลทุกชุดใครเข้ามาก็ต้องทำแบบนี้ ต้องโยกย้าย ต้องเอาคนของตัวเองมาทำงาน คนไหนทำงานไม่ได้ก็ต้องย้าย ความคิดแบบนี้ถ้าสังคมเออออด้วย ข้าราชการก็ต้องคอยทำงานรับใช้นักการเมือง ใครอยากได้เลื่อนตำแหน่งก็ต้องคอยทำทุกอย่างเพื่อสนองตอบการเมือง เพราะกลัวจะถูกย้าย ถูกลดตำแหน่ง คนไหนหัวแข็งหน่อย หรือไม่ยอมทำตามถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็ต้องย้าย แล้วสังคมไม่ช่วยปกป้องให้ ข้าราชการเขาก็อาจรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคนช่วยสนับสนุนถ้าเขายืนบนหลักที่ถูก ต้อง สู้อยู่คนเดียว ต้องโอนอ่อนตามไปด้วย ระบบมันเสียไปหมด ธรรมาภิบาลนอกจากไม่เกิดมันจะเกิดระบบตามน้ำกันไป”
ขณะที่ระบบที่ถูกดีไซน์มาเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ข้าราชการ อย่างคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม(ก.พ.ค.)ที่เป็นกรรมการรับเรื่องร้อง เรียนข้าราชการที่เห็นว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้ใต้บังคับบัญชา ในการแต่งตั้งโยกย้ายเลื่อนตำแหน่งหรือการไปร้องต่อศาลปกครอง “รสนา”บอกว่าเป็นระบบที่ช่วยเป็นที่พึ่งของข้าราชการได้ แต่ก็มีปัญหาตรงที่ว่ากระบวนการพิจารณามีความล่าช้าใช้เวลานาน แล้วผลออกมาก็มีการพยายามดึงเรื่องเอาไว้ให้นานที่สุดไม่ยอมปฏิบัติตามโดย เฉพาะหากเป็นกรณีของก.พ.ค.
“ระบบการแต่งตั้งโยกย้ายพวกข้าราชการพลเรือนที่ไม่ได้มีกฎหมาย พิเศษโดยเฉพาะก็จะมีปัญหาหน่อยไม่เหมือนข้าราชการส่วนอื่นๆ เช่น ของทหาร ที่ระดับนายพลจะต้องทำตามพรบ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ที่การพิจารณาจะต้องเป็นระบบบอร์ด ตัวฝ่ายการเมืองก็มีแค่รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมหรือรัฐมนตรีช่วย ถ้าไม่มีรัฐมนตรีช่วยก็มีแค่รมว.กลาโหมคนเดียวในบอร์ด 7 คน ฝ่ายการเมืองก็เข้าไปแทรกแซงลำบาก เพราะมีแค่หนึ่งเสียง ถ้าฝายทหารที่เขาแพคทีมกันเขาไม่ยอมให้ฝ่ายการเมืองล้วงลูก รัฐมนตรีก็ลำบาก ก็ต้องคอยหาจังหวะช่องทางเช่นรอให้คนที่ไม่ได้อยู่ในฝ่ายตัวเองในบอร์ด เกษียณหรือย้ายไปก่อน แล้วตั้งคนของตัวเองเข้าไปเพื่อให้มีเสียงเพิ่มขึ้น “
เมื่อถามว่าตัวข้าราชการเองควรต้องมีจุดยืนในเรื่องนี้หรือการรวมตัวกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งในระบบอย่างไรเพื่อไม่ให้การเมืองเข้ามาแทรกแซงมาก เกินไป?
ประธานคณะอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลฯ วุฒิสภา บอกว่า มันต้องเกิดจากการมีความรู้สึกความคิดร่วมกันของข้าราชการทุกสายว่าจะไม่ยอม อีกแล้วหากการแต่งตั้งโยกย้ายทำไม่ถูกต้องตามขั้นตอนตามความเหมาะสม เขาต้องลุกขึ้นสู้ ถ้าสู้แล้วสังคมจะเห็นแล้วเขาก็จะช่วยเอง แต่ถ้าข้าราชการไม่ลุกขึ้นสู้ ไม่สะท้อนปัญหา แล้วสังคมจะรับรู้หรือเกิดความรู้สึกอยากตรวจสอบการใช้อำนาจของนักการเมือง ในเรื่องนี้ได้อย่างไร
“นักการเมืองแม้จะอ้างว่าตัวเองมีอำนาจ แต่ถ้าคุณใช้อำนาจโดยไม่ถูกต้อง ก็มีวิธีอยู่ในการตรวจสอบ ทั้งการยื่นเรื่องต่อก.พ.ค. –ศาลปกครอง หรือฟ้องต่อสังคม มันต้องมีคนเห็นด้วยแน่นอนถ้ามันไม่ถูกต้องจริง สิ่งสำคัญเลยคือเขาต้องไม่สยบยอม ไม่ทำตัวเป็นพวกข้าราชการที่ลู่ตามลม กลับไปกลับมา ไม่มีหลักการเพื่อเอาตัวรอด
แต่สิ่งที่น่ากลัวอยากบอกก็คือ หากนักการเมืองใช้อำนาจในส่วนนี้โดยผิดๆ คือทำให้ข้าราชการทั่วประเทศเกิดความรู้สึกว่า ถ้าใครไม่ใช่พวก ก็ย้ายล้างบาง จัดการหมด มันสร้างระบบความหวาดกลัวให้เขา ทำให้ข้าราชการกลายเป็นพวกยินดีรับใช้นักการเมืองทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด สังคมต้องช่วยกันตรวจสอบ ไม่เช่นนั้นระบบราชการก็เสีย คือกลายเป็นพวกตามนักการเมืองหมด แล้วถ้าไปเจอนักการเมืองที่ไม่ดี มันจะส่งผลเสียขนาดไหน”
“รสนา”ตบท้ายว่า สังคมปัจจุบันไม่ค่อยตื่นตัวในการที่นักการเมือง เอาคนที่มีประวัติด่างพร้อยในชีวิตการทำงานการเมืองหรือรับราชการมาทำงาน เช่นพวกที่เคยถูกป.ป.ช.สอบสวนหรือชี้มูลความผิด ก็ให้มาเป็นรัฐมนตรี มาเป็นที่ปรึกษา เลขานุการ หรือแม้แต่พวกข้าราชการที่ถูกป.ป.ช.สอบสวน แล้วก็อ้างว่า คดียังไม่ถึงที่สุด ต้องรอให้ศาลตัดสินก่อน ก็ผลักดันให้ไปรับตำแหน่งสูงๆ หรือให้อยู่ในหน้าที่ต่อไป เรื่องแบบนี้มันไม่ควรให้เกิดขึ้นยิ่งกับตำแหน่งสูงๆ ด้วยแล้ว มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับจริยธรรม บางกรณีมันอาจเข้าข่ายผิดในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเลยด้วยซ้ำ บางประเทศหรือแม้แต่ในประเทศไทยบางกรณีก็จะเห็นกฎหมายเขียนไว้เลยว่าถ้าศาล รับฟ้องหรือรับคดีไว้ก็ต้องหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน ที่เขียนไว้แบบนี้ก็เพราะเขาไม่ต้องการให้ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองระดับสูง ที่ถูกกล่าวหาในเรื่องกระทำผิดไปใช้อำนาจขณะที่ตัวเองกำลังถูกกล่าวหา จะได้เป็นการป้องกันเอาไว้
ด้านทัศนะของอดีตข้าราชการประจำและอดีตกรรมการองค์กรอิสระอย่าง”พ.ท.กมล ประจวบเหมาะ”ที่ มีดีกรีประวัติการทำงานมากมาย ทั้งอดีตผู้ว่าราชการจังหวัด-อธิบดีกรมราชทัณฑ์-กรรมการป.ป.ช. รวมถึงอดีตสมาชิกวุฒิสภาระบบสรรหาปี 2550 และอีกหนึ่งตำแหน่งที่อยู่มายาวนานหลายสมัย ”นายกสมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทย”
พ.ท.กมล บอกว่าเรื่องการเมืองเข้าไปเอาคนของตัวเองไปเป็นใหญ่ในกระทรวงต่างๆโดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย
เกิดขึ้นมาตลอด กระทรวงมหาดไทยจึงเป็นกระทรวงหนึ่งที่มีปัญหาเรื่องทำนองนี้มาก ยิ่งสมัยก่อนยังไม่มีการปรับโครงสร้างราชการ มหาดไทยเป็นกระทรวงที่ใหญ่มีอำนาจหลายหน่วยงานอยู่ในสังกัด แถมตอนยังไม่มีกกต.ก็ยังคุมเลือกตั้งทั่วประเทศ ทำให้ฝ่ายการเมืองก็ต้องพยายามเอาคนของตัวเองไปนั่งเป็นใหญ่ที่มหาดไทย แต่ปัจจุบันแม้
มหาดไทยอำนาจจะหายไปมากแต่ก็ยังเป็นกระทรวงที่ใหญ่อยู่ เพราะคุมฝ่ายปกครองทั่วประเทศ นักการเมืองจึงต้องเข้าไปสั่งการแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายตลอด
พ.ท.กมล เสนอว่าเพื่อให้ระบบการแต่งตั้งโยกย้ายมีการเอาคนที่มีความรู้ความสามารถ อาวุโส และคนที่ได้รับการยอมรับในหน่วยงานนั้นๆ ขึ้นมาทำงาน โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ก็ควรที่จะมีการปรับโครงสร้างของอ.ก.พ.กระทรวง จากปัจจุบันที่ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานโดยตำแหน่ง ก็ควรปรับโครงสร้างแก้กฎหมายโดยให้เป็นในรูปแบบของคณะกรรมการพิจารณาแต่ง ตั้งโยกย้ายแบบหน่วยงานอื่นเช่น ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีทั้งคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต. ช.)และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) ที่มีตัวแทนหลายฝ่ายอยู่ในคณะกรรมการ มีตัวแทนจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ตำรวจเลือกเข้าไปเป็นกรรมการก.ตร. ที่ก็เป็นอดีตตำรวจที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว คนพวกนี้พอได้รับเลือกเป็นก.ตร.จากตำรวจทั่วประเทศเขาก็ไม่ทำให้ตำรวจผิด หวังก็พยายามเลือกคนที่เหมาะสมไปดำรงตำแหน่งต่างๆ แม้จะไม่ได้ทั้งหมดแต่ก็มีส่วนสำคัญในการช่วยพิจารณากลั่นกรองรายชื่อให้
“ซึ่งกรรมการลักษณะแบบนี้กระทรวงมหาดไทยรวมถึงกระทรวงอื่นไม่มี อย่างของทหารเขาก็มีแล้ว มีการออกพรบ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 ที่การเมืองก็เข้าไปล้วงลูกทำโผนายพลได้ยากหากทหารเขาไม่ยอมไม่เหมือนในอดีต หากไม่เห็นด้วยอะไรกันก็ต้องโหวตในที่ประชุม แม้แต่กับตำรวจ ขนาดนายกรัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายบริหารสูงสุด จะตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสักคน หากเสียงส่วนใหญ่ในก.ต.ช.ไม่เอาด้วย โหวตหลายครั้งก็ยังไม่สำเร็จ ก็มีให้เห็นมาแล้วสมัยนายกฯอภิสิทธิ์ มันก็ทำให้ระบบแต่งตั้งโยกย้ายฝ่ายนักการเมืองไม่ได้มีอำนาจเด็ดขาดทั้งหมด”
นายกสมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทยจึงเสนอว่า กระทรวงมหาดไทยก็ควรมีระบบแบบนี้ได้แล้ว คือให้อ.ก.พ.กระทรวง มีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานแล้วมีกรรมการที่อาจเป็นคนในกระทรวงหรือคน ภายนอก แล้วก็ให้ไปประชุมคัดเลือกดูคนกันมาอย่างจะเสนอตั้งปลัดกระทรวง อธิบดี อ.ก.พ.กระทรวง ก็ประชุมกันแล้วดูว่าใครเหมาะสม ดูประวัติผลงาน ลำดับอาวุโสแล้วก็แทงเรื่องไปให้รัฐมนตรีเลือกอาจเสนอไป 3 คน แล้วก็แจ้งไปว่าทำไมต้องเป็นสามคนนี้ แล้วรัฐมนตรีก็เลือกเอาสักหนึ่งคนเสนอชื่อแต่งตั้งไป หากรัฐมนตรีเห็นว่าที่ส่งมาสามคน ไม่เอา ยังไม่ดีพอ ก็ตีเรื่องกลับไปได้ให้เขาไปประชุมคัดกันมาอีก มันก็เกิดระบบแบบสรรหาคัดเลือก
“แบบนี้การเมืองก็ไม่เสียด้วย เพราะเขาก็บอกได้ว่าสนับสนุนคนที่อ.ก.พ.เสนอมาให้พิจารณา ไม่ใช่รัฐมนตรีไปหยิบใครมาก็ไม่รู้ไม่ผ่านการพิจารณาอะไรเลย ยิ่งหากใกล้ชิดกับฝ่ายการเมืองก็เสียทั้งคนตั้งและคนที่ได้รับการพิจารณา มันจะได้ไม่เกิดปัญหาเรื่องข้ามอาวุโสอย่างที่ผ่านมาในมหาดไทยที่มีปัญหามาก อย่างที่เขาพูดกันแล้วก็เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมามากมายทั้งทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ ทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างโครงการต่างๆ มันก็พันมากับเรื่องแต่งตั้งโยกย้ายทั้งสิ้น หากจะใช้ระบบนี้ ทางกระทรวงหรือก.พ.เองก็ต้องเสนอเรื่องเข้าครม.แก้กฎหมายแก้ระเบียบแต่ก็ไม่ รู้ว่าฝ่ายการเมืองเอาด้วยหรือไม่ ถ้าไม่เอาด้วยก็ยาก
ทุกวันนี้การเมืองล้วงลูกแต่งตั้งโยกย้ายมากเกินไป แล้วปัญหาคือระบบมันไม่แข็ง การเมืองเข้ามายุ่งมากมันผิดรัฐธรรมนูญอยู่แล้วที่เขาไม่ให้การเมืองมาแทรก แซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ แต่ระบบมันไม่แข็ง ทางก.พ.เองก็ไม่กล้าทำอะไร เพราะก.พ.ก็อยู่ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นลูกน้องนักการเมืองอีกที ก็เลยมีปัญหาแบบนี้”
ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากทั้งรสนา โตสิตระกูล –พ.ท.กมล ประจวบเหมาะ จึงควรที่ทั้งนักการเมือง-ข้าราชการจะให้ความสนใจไม่น้อย หากคิดจะแก้ปัญหาเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม ขาดหลักเกณฑ์ที่มีธรรมาภิบาล และเอื้อพวกพ้องในวงราชการจนทำให้ระบบแต่งตั้งโยกย้ายเสื่อมคุณธรรมเพราะหาก ไม่มีใครคิดจะแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังโดยเฉพาะข้าราชการ โดยปล่อยให้ปัญหาเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นทุกครั้งใน ช่วงฤดูแต่งตั้งโยกย้ายประจำปีและกลางปีในเดือนเมษายน ไม่ใช่แค่ข้าราชการที่ได้รับผลกระทบ ประชาชนเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกันหากภาครัฐเอาคนที่ไม่มีประสิทธิภาพ งานการไม่ทำ เอาแต่จะคอยประกบนักการเมือง ทำงานสนองฝ่ายการเมืองอย่างเดียว ไม่สนใจบริหารงานที่ตัวเองรับผิดชอบ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาของสังคมภายใต้อำนาจรัฐที่ตัวเองดุแลอยู่ ที่ร้ายกว่านั้นคือจ้องจะทุจริตแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเองและตอบแทน นักการเมืองที่เกื้อหนุนให้เติบใหญ่
มันก็พังทั้งระบบและทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่กับวงการข้าราชการเท่านั้น
ถึงเวลาหรือยัง จะลุกขึ้นมาทำทุกอย่างให้ดีขึ้น คนที่จะตอบได้ดีที่สุดก็คือ ข้าราชการทุกคน เพื่อปลดแอกความเลวร้ายของระบบแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่ชอบธรรม
