เจอวิพากษ์หนักไม่ฎีกาคดีเลี่ยงภาษี “จุลสิงห์”จุดพลุ มี กม.ละเมิดอำนาจอัยการ?
หมายเหตุ-เป็นการสรุปคำบรรยายของนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ในหัวข้อ “บทบาทพนักงานอัยการในกระบวนการยุติธรรม” ให้แก่ผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง รุ่นที่ 16 สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม เมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งนายจุลสิงห์ยืนยันว่า การไม่ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาในคดีหลีกเลี่ยงภาษีโอนหุ้น บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป เป็นเงิน 546 ล้านบาทจากมูลค่าหุ้น 738 ล้านบาทที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน และที่ให้รอลงอาญานายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธาน ชินคอร์ป เป็นการใช้อำนาจอิสระ ปลอดการแทรกแซง
นายจุลสิงห์ยัง เรียกร้องให้มีกฎหมายห้ามละเมิดการใช้ดุลพินิจอัยการเพื่อคุ้มครองเช่นเดียวกับคำพิพากษาของศาล
ตามหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อัยการมีหน้าที่เป็นโจทก์ในคดีอาญา เมื่อเห็นว่า ควรออกคำสั่งฟ้องก็สั่งฟ้อง เห็นควรไม่สั่งฟ้องก็ไม่ต้องสั่งฟ้อง คือ การใช้ดุลพินิจที่ต่างกับศาล ซึ่งบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ป.วิอาญา)ว่า ถ้าคดีฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยผิดต้องลงโทษ หรือมีเหตุข้อสงสัยก็ยก ดังนั้นศาลจึงมีการกำหนดใน ป.วิอาญาว่า ถ้าฟังว่าผิดต้องลง
แต่ระบบอัยการ ถ้าเห็นควรสั่งฟ้องก็สั่งฟ้อง วิธีการพิจารณาในหลายเรื่องของอัยการเวลาออกคำสั่ง เรื่องเล็ก ๆ น้อยๆ เราจะไม่ฟ้อง ถ้าไม่ได้ประโยชน์อะไรกับสาธารณะ เช่น เรื่องลักทรัพย์ ถ้าเจ้าของเรื่องไม่เอาความ แต่คดีลักทรัพย์เป็นเรื่องยอมความไม่ได้ ถ้าการไม่สั่งฟ้องไม่มีใครกระเทือนเราก็ไม่ฟ้อง แต่ถ้าเป็นศาลต้องลงโทษ
หรือคดีพรากผู้เยาว์เป็นความผิดต่อพ่อแม่ ถ้าเขาอยู่ด้วยกันแล้ว ทั้งพ่อแม่ และเมียบอกว่า อยู่ด้วยกันมานานแล้วเขายังอยู่ด้วยกัน ฟ้องไปก็ไม่ได้อะไร เราก็ไม่ฟ้อง ซึ่งเป็นการใช้ดุลพินิจ
สมัยก่อนอัยการเคยสั่งไม่ฟ้อง คดี ส.ป.ก.4-01 ผู้ที่ไม่โดนฟ้องก็ชอบว่า ให้คดียุติ ส่วนคดีแพ่ง ก็ให้คืนโฉนดไป นั่นคือส่วนแพ่ง อ าจารย์คณิต ณ นคร อัยการสูงสุดขณะนั้นต้องเปิดเวทีสาธารณะอธิบายให้สาธารณชนทราบว่า ทำไมไม่สั่งฟ้อง
จากนั้นทำให้อัยการเห็นว่า น่าจะมีกฎหมายคุ้มครองการทำหน้าที่ของอัยการ ให้ยอมรับให้ได้ว่า สั่งอะไรต้องยุติ ไม่ต้องอธิบายต่อสาธารณะอยู่อย่างนี้ ตอนปี 2540 บวก ๆ ที่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องคดี ส.ป.ก.ทำให้หลายคนไม่พอใจในขณะนั้น แต่ในที่สุดคดีก็ยุติไป
การพิจารณาคดีใน กทม.เราส่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกทีหนึ่ง ดังนั้นการสั่งฟ้องไม่ฟ้องอยู่ที่อัยการ เมื่อปี 2540 บวก ๆ อยากจะให้มีการเขียนกฎหมายคุ้มครองการใช้ดุลพินิจของอัยการว่า ต้องคุ้มครองแบบศาล และตุลาการซึ่งมีการระบุอำนาจในรัฐธรรมนูญ แต่การคุ้มครองอัยการอยู่ในกฎหมาย ป.วิอาญาเท่านั้น
การฟ้องเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือไม่นั้นอัยการได้ทำมาตลอด เช่น ชาวประมงต่างชาติละเมิดน่านน้ำไทย ขอไปแลกกับสิทธิเพื่อนบ้านได้ไหม อาจจะมีมติครม.หนุนสักนิดหนึ่ง หรือกรณีคนต่างชาติขนอาวุธมาในไทย อันนี้ฟ้องไปก็ไม่มีประโยชน์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับประเทศไทย เป็นต้น
กำลังคิดว่า ควรจะมีอะไรให้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ ก่อนปี 2550 การคุ้มครองอัยการยังอยู่ที่ป.วิอาญา และปี 2550 การเรียกร้องจึงสำเร็จ โดย สำนักงานอัยการให้ใส่ดุลพินิจอยู่ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 255 ว่า พนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดี และการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม
เรามีอิสระในการพิจารณาสั่งคดีให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม และหลือแต่คำว่า เที่ยงธรรมคืออะไร เที่ยง คือตาชั่งที่เที่ยง ธรรม คือการสั่งคดีให้เป็นธรรมต่อสังคม
รัฐธรรมนูญจะต้องมีการออกพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญออกมา พ.ร.บ.อัยการจึงเขียนชัดเจน ใน มาตรา21 โดยเราได้ขยายความรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนว่า พนักอัยการมีอิสระในการสั่งคดี และการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย เที่ยงธรรม
ในมาตรา 22 ดุลพินิจของอัยการในการสั่งคดี และการปฏิบัติหน้าที่ย่อมได้รับการคุ้มครอง แสดงว่า ถ้าเราปฏิบัติหน้าที่โดยมีเหตุผลแล้วย่อมได้รับการคุ้มครอง ซึ่งเป็นหลักประกันที่ดีในการที่พนักงานอัยการจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง อุทธรณ์ ไม่อุทธรณ์ ฎีกา หรือไม่ฎีกา
ขอเข้าเรื่องที่ผ่านมาเมื่ออาทิตย์ก่อน ผมจะให้คนที่มีคำถามอยากถามได้ ในคดีสำคัญที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ( คตส.)ที่ส่งให้อัยการฟ้อง บรรยกาศตอนนั้นอัยการได้สั่งฟ้อง และคำสั่งศาลต้น ลงโทษจำเลยที่ 1และ 2 จำคุกคนละ 2 ปี ถึงศาลอุทธรณ์ พิพากษาจำเลยที่ 1 ผิดเหมือนเดิมแต่แทนที่จะลงโทษจำคุก 2 ปี ให้รอลงอาญา และเพิ่มค่าปรับ 1 แสนบาท
ที่จริง คดีนี้ลงโทษไม่เกิน 2 ปี ก็ฎีกาไม่ได้อยู่แล้ว แต่เผอิญ ศาลอุทธรณ์เพิ่มค่าปรับก็เลยฎีกาได้ แต่เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ 1 ผิดแล้ว เราเห็นว่า การลงโทษเป็นเรื่องของศาลอยู่แล้ว มีตั้งร้อยตั้งพันคดีที่อัยการไม่ฎีกา ไม่ใช่แต่เรื่องนี้เท่านั้น เราจะมีสถิติแสดงต่อวุฒิสภาว่า คดีที่ยุติที่ชั้นอุทธรณ์เรื่องแบบนี้มีเยอะแยะ เป็นเรื่องปกติ คือ คดีนี้เกือบฎีกาไม่ได้อยู่แล้ว เพราะศาลอุทธรณ์ลงโทษแล้วก็จบที่ชั้นอุทธรณ์ เราก็ใช้ดุลพินิจไม่ฎีกาได้
สำหรับจำเลยที่ 2 และ 3 ศาลต้นสั่งลงโทษ และ ศาลอุทธรณ์ ยกโดยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ในข้อเท็จจริง นั้นข้อความไม่เท็จ เพราะถ้อยคำที่พูดไม่เท็จ เขาก็พูดตรงๆว่า เป็นพี่น้องกันอย่างไร โอนหุ้นให้กันอย่างไร ดังนั้นข้อความจึงไม่เท็จ และเจ้าพนักงานไม่มีอำนาจออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องมาไต่สวนในเรื่องนี้ เนื่องจากเกินเวลาแล้วและเป็นคำสั่งทางปกครอง เมื่ออกหมายเรียกไม่ได้ก็ต้องออกหนังสือเชิญ เจ้าพนักงานก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลรัษฎากร ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ ส่งคดีปี 2541 และปี 2530 กว่า มาให้ผม และศาลอุทธรณ์ก็สั่งไม่ฟ้องแล้วด้วย ผมก็ว่าหักล้างคำวินิจฉัยศาลต้นได้จึงไม่ฎีกา
ปกติศาลฎีกาจะมีกองเซ็นต์เซอร์ เมื่อเคยออกหมายเรียกตามประมวลรัษฎากร เมื่อออกเกินเวลา ก็มีคำวินิจฉัย ได้ดูคำพิพากษาศาลฎีกา เวลาเท่านั้น เท่านี้ เกินเวลา ที่จะปฏิบัติหน้าทีป่ระมวลรัษฎากร
ตัวผมเองเห็นว่า ดุลพินิจของอัยการมีอิสระ และได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ใครก็ตามที่อยากอะไรก็แล้ว ผมคิดว่ารบกวนการใช้ดุลพินิจของอัยการ แต่ ถือว่า obstruction of justice เมื่อวานนี้นักข่าวถามว่า ทำไมผมทำตัวเป็นศาลฎีกาเอง และไม่สร้างศรัทธาให้ประชาชน
ผมขอตอบว่า ถ้าการสร้างศรัทธาคือการฎีกานั้นคือการเข้าใจผิด ที่จริงการสร้างศรัทธาคือการใช้ดุลพินิจอย่างเที่ยงธรรม ไม่ต้องถามใคร ในเมื่อประชาชนมี 2 ฝ่าย ผมถามใครไม่ได้ ผมต้องนิ่ง และใช้ดุลพินิจอย่างอิสระ ถ้าต้องฎีกาทุกเรื่องแล้วจะมีศาลอุทธรณ์ไปทำไม
การสั่งคดีของพนักงานอัยการไม่ต้องถามใคร ต้องไปถามพรรครัฐบาล หรือ ถามฝ่ายค้าน หรือถามตำรวจที่ทำคดี ไม่ต้องเลย ถ้าสั่งคดีแล้วไม่ต้องถามใคร การสร้างศรัทธาประชาชนที่ดีคือ สุจริต เที่ยงธรรมไม่ต้องฎีกาทุกเรื่อง ถ้าคำพิพากษาทั้ง 2 ศาลจบก็แปลว่าจบ มีตั้งเกือบครึ่งของคดีที่อัยการใช้ดุลพินิจและถือเป็นเด็ดขาด คดีที่จบที่ศาลชั้นต้นมากที่สุด จบที่ศาลอุทธรณ์รองลงมา และศาลฎีกา
ถ้ามองอย่างทนายความ ถ้ามีช่องทางต้องฎีกาทุกเรื่อง เผื่อไว้ แต่สำหรับอัยการ เรามองที่ความสุจริต เที่ยงธรรม ความสำเร็จของอัยการไม่ใช่อยู่ที่การชนะคดีแต่อยู่ที่ความเที่ยงธรรม เมื่อศาลตัดสินแล้ว เคลียร์ก็เคลียร์
เราเคยสั่งฟ้องจากพนักงานสอบสวน แต่พอถึงศาลจำเลยสืบพยานได้ดี สามารถหักล้างจากที่อัยการเคยรับรู้มา เราก็ไม่อุทธรณ์แล้วเมื่อจำเลยนำสืบหักล้างพยายนโจทก์ได้ เราก็ยุติตรงนั้น แต่ในรูปของทนายเห็นว่าคดีไม่สิ้นสุดก็ต้องอุทธรณ์ สำหรับอัยการไม่ได้คิดว่าจำเลยคือ ฝ่ายตรงข้าม ทุกฝ่ายเป็นคนไทย ผู้เสียหายถ้าให้การเท็จจะถูกดำเนินคดีเสียด้วยซ้ำ
เราไม่ใช่ฝั่งตรงข้ามกับจำเลยเสมอไป ถ้าศาลอุทธรณ์ยก เราก็ต้องดูว่าเขาหักล้างคำพิพากษาศาลต้นได้หรือไม่ ถ้าได้ก็ยุติตามนั้น ไม่มีข้อเท็จจริงนอกสำนวนแน่ว่าต้องฎีกาหรือไม่ฎีกา
ในรัฐธรรมนูญมาตรา 3 ระบุว่า หลักนิติธรรม การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม คือ rule of law การใช้กฎหมายที่เป็นธรรม พระราโชวาทพระเจ้าอยู่หัว ที่ระบุว่ากฎหมาย ไม่เหมือนความเป็นธรรม ความเป็นธรรมอยู่เหนือทุกกรณี หลายคนอยู่กับตัวบทกฎหมายมากเกินไป จนลืมนึกถึงความเป็นธรรม
หลักนิติธรรม ย้ำหัวตะปูแต่มาตรา 3 ตั้งแต่มาตรา 1 ที่ว่าไทยแบ่งแยกไม่ได้ 2 ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มาตรา 3 ต่อด้วยหลักนิติธรรม ซึ่งอยู่เหนือกว่าหลักกฎหมายอื่นๆ ที่เขียนอยู่ในรัฐธรรมนูญ
หลักนิติธรรม คือ องค์กรตามรัฐธรรมนูญต้องใช้หลักกระบวนการยุติธรรม Rule of law คือ ตำรวจ. ศาลต้น อุทธรณ์ ฎีกา จะมีธงไม่ได้ เช่น ว่า คดีนี้ต้องฟ้อง โดยไม่อ่านสำนวนไม่ได้ ถ้าต้องตัดสินวันพรุ่งนี้ แต่วันนี้บอกว่า ต้องฟ้อง ไม่ได้ ต้องเป็นตาม กระบวนการ due process of law ฟังอ่านสำนวนการสอบสวนแล้วถึงจะบอกว่า สั่งฟ้องหรือไม่ ถ้าผมยังเห็นสำนวนเลยแล้วจะให้สั่งฟ้องได้ยังไง
ศาลต้นตัดสินแล้ว เราต้องคัดสำนวนก่อน ถ้าศาลอุทธรณ์ตัดสินแล้ว วันรุ่งขึ้นจะบอกว่า จะฎีกาแล้วหรือ เป็นไปไม่ได้ต้องอ่าน ผมใช้เวลาอ่าน 4 วันสำหรับคำพิพากษา 50 กว่าหน้า ผมอ่านทุกหน้า ดูทุกตัว ไม่มีใครมารบกวน ผมได้รับคำวินิจฉัยวันที่ 8 กันยายน และสั่งไม่ฎีกาวันที่ 12 กันยายน เพราะเห็นว่าศาลอุทธรณ์วางบรรทัดฐานดีแล้ว
ศาลอุทธรณ์ได้อ้างคำพิพากษาศาลฎีกาอย่างดีแล้ว ผมอ่านคำวินิจฉัยทุกศาลแล้ว ผมเห็นด้วยกับศาลอุทธรณ์ ว่า เป็นไปตามหลักนิติธรรม คือต้องสั่งตามที่เห็น ผมจึงได้สั่งไปตามดุลพินิจที่เป็นอิสระ
มีอธิบดี หรือเพื่อนที่มีข้อสงสัยกันมาถามกันดีแล้ว แต่อย่าถามผ่านสื่อมวลชน ผมมีหน้าที่ต้องตอบคำถามอยู่แล้ว วุฒิสภาเป็นคนแต่งตั้งและถอดถอนอัยการสุงสุด ต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา เมื่อมีเรื่องในหน้าหนังสือพิมพ์ ท่านวุฒิสภาได้เชิญผมไปถามว่า ทำไมไม่ฎีกา วันพุธหน้า จะเป็นโอกาสแรกที่สมาชิกวุฒิสภาจะมาสอบถามผม
ผมว่าเป็นช่องทางที่ถูกต้องแล้ว คือสมาชิกวุฒิสภามีหน้าที่ดูแลผู้บริหารทุกองค์กรให้มาตอบคำถาม พุธหน้าผมจะต้องบอกว่า อำนาจของอัยการอิสระ อย่างไร ผมสั่งคดีอย่างนี้มีเหตุผลไหม ผมเชื่อศาลอุทธรณ์ ผมมีเหตุผลไหม
หรือใครจะว่าศาลอุทธรณ์ตัดสินไม่ถูกต้องไม่เห็นมีใครว่า ศาลอุทธรณ์ตัดสินไม่ถูกต้องเลย ทั้งที่ในรัฐธรรมนูญมีการคุ้มครองความเป็นอิสระเหมือนกัน เพียงแต่ เพราะไม่มีใครมีบทบัญญัติเรื่องการละเมิดอำนาจศาล ผมเห็นจะต้องเสนอให้มีกฎหมายละเมิดอำนาจอัยการเสียหน่อย หรือ obstruction of justice ว่าคนที่ไม่เกียวข้องจะมาละเมิดอำนาจอัยการ สั่งให้ฎีกาได้ยังไง เพราะเป็นดุลพินิจอิสระ ผมทำตามรัฐธรรมนูญ
แต่อัยการ ซึ่งใช้ดุลพินิจอิสระตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุนี่ว่า การสั่งคดีต้องไปถามใครก่อน ถ้าคนไม่เกี่ยวข้องก็ไม่ควรจะมีสิทธิมาสั่งอัยการ และน่าจะไม่ให้ละเมิดดุลพินิจอัยการ
การสั่งฟ้อง จำเลย จะพอใจได้ไง สั่งไม่ฟ้อง โจทก์ก็ไม่พอใจ เราเป็นทนายแผ่นดิน ไม่ได้อยู่ข้างใคร แต่อยู่ข้างแผ่นดิน เราจะสั่งยุติคดีที่ชั้นไหนก็ได้ ฟ้องแล้วจะถอนก็ยังได้
ดังนั้นจำเลยไม่ใช่ฝ่ายตรงข้ามกับผม จะตรงข้ามกับฝ่ายอื่น ความสำเร็จของผมคือการสั่งคดีโดยเที่ยงธรรม ไม่ใช่ชนะจำเลยเสมอไป อัยการไม่ได้อะไรเลยถ้าจำเลยติดคุก มีคนบอกว่าคดีที่ผมสั่งเสียหายต่อประเทศชาติ เสียหายยังไง เดี๋ยวให้ถามเลย จะอธิบายให้ฟังว่าเสียหายยังไง
ผู้เข้าอบมรมถาม เมื่ออัยการเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไปแล้ว ทำไมยังเห็นด้วยกับศาลอุทธรณ์ ซึ่งมีคำวินิจฉัยที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่คดีนี้ก็ไปไม่ถึงศาลฎีกา เช่นเดียวกับคดีของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (ผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์)ซึ่ง 2 ศาลมีคำวินิจฉัยขัดแย้งกัน สังคมจึงกังขาว่าทำไมคดีนึ้จะลงเอยแบบเดียวกันหรือไม่
ตอบ อยากให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างนี้ เมื่อวานนี้ผู้สื่อข่าวบางคนรุกผม 20 คำถามรวดเดียวเลย ผมว่า อย่างนี้ไม่เป็นกลางแล้ว มารู้ทีหลังว่าเขาเป็นนักข่าวสายนี้ คนที่มาถามผมต้องมีใจเป็นกลางก่อน เพราะผมเป็นกลาง ขอให้นักเรียน บยส. ทุกท่านต้องทำตัวเป็นกลางทั้งตัวและหัวใจ
ขอตอบเรื่องคดีที่สองก่อน ไม่ขอเอ่ยชื่อใคร แต่ท่านพูดเอง ไม่ใช่อำนาจ อัยการสูงสุดแต่เป็นอำนาจพนักงานอัยการตามปกติ ถ้าพนักงานอัยการไม่ฎีกาก็กลับไปที่พนักงานสอบสวนซึ่งยังไม่ถึงผม แต่เรื่องนี้ยังไม่ถึงผม ผมจะใช้สิทธินี้ต่อเมื่ออัยการสั่งไม่ฎีกาและพนักงานสอบสวนแย้ง อัยการสูงสุดจึงจะชี้ขาด ตามหลักนิติธรรม ผมจะสั่งข้างล่างเขาได้หรือว่า ฎีกาหรือไม่ฎีกา เพราะอย่างนั้นอย่างนี้ คดีนี้ผมยังไม่เห็นสำนวนใด ๆ ทั้งสิ้นตอนนี้เรื่องนี้อยู่ที่กองคดีพิเศษ และสำนักงานศาลสูงพิจาณา ถ้าเห็นด้วยกับศาลอุทธรณ์ และพนักงานสอบสวนห็นด้วยก็ไม่ต้องฎีกา
แต่คดีแรกเป็นคดีพิเศษ อสส.สั่งฟ้องตาม คตส. และมอบต่อไม่ได้ กฎหมายองค์กรอัยการที่ออก ปกติ อธิบดี ทุกคนมอบอำนาจตัวเองได้ทั้งนั้น เหลือแต่อำนาจสำนักงานเลขา แต่ อสส.มอบได้ก็มอบไป แต่มีอำนาจ 4-5 อย่างมอบไม่ได้ บางเรื่องต้องทำเอง เช่นอำนาจชี้ขาดต้องทำเอง คดีวิสามัญฆาตรกรรม และอำนาจนอกราชอาณาจักร ต้องทำเอง คดีในประเทศ ตำรวจเป็นแสนๆ คน ให้อัการทำได้ แต่นอกประเทศ อสส.ต้องทำคนเดียว
คดีนี่ผมหนีไม่ได้เรื่องการชี้ขาดคดี คดีที่สอง (ประชัย) ยังไม่เข้าสู่อสส. และเป็นตามกระบวนการแล้วแต่เขาจะพิจาณาอย่างไร แต่เมื่อศาลต้นกับอุทธรณ์เห็นแย้งกัน ไม่มีกฎหมายหรือระเบียบใด ๆ ที่จะต้องฎีกา ผมจะรวบรวมคดีที่ยุติที่ศาลอุทธรณ์มา เพราะอัยการไม่ใช่ศัตรูกับจำเลย จำเลยติดคุกอัยการไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าเป็นคดียาเสพติด หรือหมิ่นเหม่ต่อความมั่นคงของชาติอย่างนี้เป็นเรื่องดุลพินิจ การลงโทษผู้ค้ายาเสพติด อย่างนี้อัยการมักจะให้ศาลสูงสุดเป็นผู้ให้ดุลพินิจในการลงโทษ แต่ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยกับเรื่องที่ประชาชนสนใจนั้นก็ต่างกัน บางคดีเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องสำคัญในความรู้สึกของประชาชน
ไม่มีกฎหมายข้อไหนบังคับว่าอัยการต้องฎีกา ถ้าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ครบถ้วน ผมจะเปิดเผย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ 50 กว่าหน้า คำพิพากษา ศาลต้น 100 หน้า เมื่อศาลอุทธรณ์อ้างถึงฎีกาด้วย แล้วผมจะไปแย้งศาลฎีกาหรือ ความผิดเลี่ยงภาษีนี้เมื่อจำเลยที่ 2,3 ไม่ต้องยื่นภาษีแล้วจะเลี่ยงได้ยังไง ผมเห็นด้วยกับศาลอุทธรณ์ตรงนี้ถึงไม่เรียกเขา และมีเหลายเรื่องที่อัยการยุติที่ศาลอุทธรณ์ แต่ผมยอมรับความสงสัย เมื่อผมได้อธิบายกับวุฒิสภาแล้ว ผมจะเอาคำพิพากษา และคำสั่งของผมให้ดูว่า ผมไม่ได้ตัดสิน หรือวินิจฉัยอะไรนอกสำนวนเลย และผมเห็นด้วย
ผมจะเปิดเผยต่อสาธารณะ ถ้าเราต้องฎีกาทุกเรื่องแล้วศาลอุทธรณ์จะมีไว้ทำไม บางคดีที่ต้องการความรวดเร็วก็มีศาลเดียวเลยคือศาลฎีกาอาญานักการเมือง ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักการนานาชาติ การที่มีศาลเดียวและต้องขอใครข้ามแดนก็ยากยิ่งสิ่งเดียวเพราะไม่เป็นไปตามระบบสากล
ผู้เข้าอบรมถาม คดีนี้ประธานศาลอุทธรณ์มีการโต้แย้งสำนวนนี้ ท่านได้พิจารณาหรือไม่ เพราะท่านประธานศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาหรือไม่ ท่านประธานโต้แย้งแสดงว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่นิ่ง ไม่สมเหตุสมผล ควรให้ศาลสูงพิจารณาให้เป็นที่ยุติ เมื่อข้อเท็จจริงไม่ตรงกัน ศาลสูงจะไม่ยึดแนวเดิมของใครและเรื่องภาษี แสดงว่าเขาเลี่ยงภาษีจริง จำเลย ยังไม่ชำระภาษี ภาษีที่จะต้องจ่ายให้รัฐบาลแต่เอาไปทำบุญนิดหน่อย การหนีภาษีของรัฐ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญกับประเทศชาติ การรอการลงโทษจึงไม่สมเหตุสมผล
ตอบ ทุกองค์กรต้องเคารพดุลพินิจและการตัดสินขององค์กรอื่น และวิธีที่จะทำให้ประเทศชาติจะปรองดองได้ อย่าไปยุ่งกับกระบวนการยุติธรรม ปล่อยให้เขาตัดสินไปได้เต็มที่ อย่างศาลรัฐธรรมนูญตัดสินอะไรไปแล้วก็ควรจะแล้วกันไป บางคนยังมาพูดอีก ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัยก็จบ ถึงจะเป็นกระบวนการยุติธรรม ถ้าวิจารณ์ได้ก็จะปวดหัวอย่างนี้ ขอบคุณท่านที่เคารพดุลพินิจของทุกศาล
ผมเคารพคำวินิจฉัยของศาลต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ระบบกฎหมายเราเป็นอย่างนี้ศาลฎีกาถึงมีตั้ง 40 คณะ แต่ถ้ามีเหตุควรฎีกาก็ฎีกาไป แต่ถ้าดุลพินิจบอกว่าไม่ฎีกาก็ควรเคารพซึ่งกันและกัน และดุลพินิจของผมอยู่ในรัฐธรรมนุญแล้ว และอยู่ในกม.ประกอบรัฐธรรมนูญแล้ว
ตอบคำถาม เรื่องประธานศาลอุทธรณ์แย้ง และประเทศชาติเสียภาษีไป 500 ล้านหรือไม่ ตอบว่า ในคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ไม่มี คำโต้แย้งของประธานศาลอุทธรณ์ แต่สำหรับจำเลยที่ 2,3 ไม่เท็จ และเจ้าพนักงานไม่มีอำนาจนั้นประธานไม่แย้งนะ แต่ท่านแย้งเฉพาะดุลพินิจการรอการลงโทษคนทำผิดเท่านั้นเอง ที่ศาลอุทธรณ์รอ ทั้งที่ศาลต้นให้ลง เรื่องดุลพินิจ ท่านประธานไม่ติดใจ ที่จริงต่อให้ศาลอุทธรณ์เห็นตรงกันก็แทบไม่เหลือประเด็นให้แย้งอยู่แล้ว
ถ้าศาลอุทธรณ์ลงโทษแล้ว มีอัยการหลายคนอยากจบที่ชั้นอุทธรณ์ เพราะเห็นว่า ดุลพินิจการลงโทษเป็นหน้าที่ของศาล การที่ผมจบตรงอุทธรณ์นี้ทำให้หลายคนคิดว่าทำให้ประเทศชาติเสียไป 500 ล้านหรือเปล่าหลายคนคงคิดเช่นนั้น ซึ่งจะบอกว่าผิดถนัด ผมอ่านคำพิพากษาหลายรอบ ในคำวินิจฉัยเขียนด้วยว่า ระหว่างการพิจารณาของศาลต้น หลังอัยการสั่งฟ้องมีข้อมูลเพิ่มเติมว่าผมถึงได้รู้ว่ามีอะไรที่เปลี่ยนไปจากที่อัยการสั่งฟ้อง
ผู้เข้าอบรม ถาม ที่ว่ายังมีการค้างชำระภาษีอีกกว่า 200 ล้านบาท เป็นจริงหรือไม่ เนื่องจากอธิบดีกรมสรรพากรระบุว่าไม่สามารถเรียกเก็บได้ เพราะเกินเวลาแล้ว
ตอบ เรื่องนี้เป็นเรื่องคดีอาญาฐานหลีกเลี่ยง ไม่เกี่ยวกับภาษีที่เจ้าพนักงานเคยประเมินแล้ว จำเลยเขาอุทธรณ์และเอาเงินมากองให้สรรพากรแล้ว 500 ล้าน ในกระบวนการอุทธรณ์ แต่คณะกรรมการอุทธรณ์ของสรรพากรบอกว่า เป็นการประเมินไม่ถูกต้องและคืนเงินไป และอยู่ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เรียบร้อยแล้ว เพราะการอุทธรณ์ไม่มีผลต่อการทุเลา เขาเอาเงินไปวางที่กรมสรรพากรเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นคำพิพากษานี้เป็นเรื่องของอาญาล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับเรื่องภาษี ดังนั้นคำพิพากษานี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับภาษี
ในประมวลรัษฎากร เรื่อง ภาษี อยู่ในอำนาจของกรมสรรพากรเท่านั้นตำรวจก็สอบเรื่องภาษีไม่ได้ต้องอธิบดีกรมสรรพากรเท่านั้น อัยการก็ไม่เกี่ยว นำสำนวนนี้ เจ้าพนักงงานประมวล จะบอกว่าใ ครจะถูกประเมินภาษีอย่างไร ในสำนวน เจ้าพนักงานประมวลภาษี มีกำหนดเวลา และเป็นคำสั่งทางปกครอง เหมือนอัยการก็ต้องมีอายุความ กฎหมายสรรพากร ในกรณียื่นแบบไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานมีสิทธิเรียกได้ภายใน 2 ปี ถ้าขออนุญาตอธิบดีก็มีอายุความ 5 ปี แต่ถ้าเจ้าพนักงานไม่ได้ใช้อำนาจ และเกินเวลาตามกฎหมายล้ว ใครจะกล้าออกหมายเรียก คนจะเรียกได้คือกรมสรรพากร
วันนั้นเขาเอาเงินมาให้แล้ว คืนเขาไปทำไม เพราะกรรมการอุทธรณ์เห็นตรงกันว่าเกินเวลาตามกฎหมายปแล้ว ผมเห็นว่าเจ้าพนักงานผิดไม่ผิดไม่สำคัญ แต่กระบวนการต้องถูกต้อง ถ้ากระบวนการไม่ถูกก็ล้มไปหมด อย่างสำนวนมาถึงอัยการ เขาทำผิด แต่ไม่ได้แจ้งข้อหา แล้วจะฟ้องเขาได้หรือ ก่อนฟ้อง ต้องแจ้งสิทธิทุกอย่าง ต้องมีกระบวนการ เมื่อคดีผ่านมา 15 ปีแล้ว คุณจะเรียกอะไรตอนนี้ ถ้ากรมสรรพากรเรียกได้ก็เรียกแลย ตามประมวลรัษฎากรมาตรา. 3 คนอื่นไม่เกี่ยว
ผมถือว่า กรมสรรพกรเคยประเมินแล้ว มันเกินกำหนดระยะเวลา แล้วก็คืนเงินไป จึงไม่เกี่ยวกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่เห็นด้วยกับคณะกรรมการอุทธรณ์ของกรมสรรพากร ต้องมองกลางๆ อย่ามองว่าคนๆ นี้เป็นใคร เราดูไม่ได้ ถ้าดูแล้ว สั่งคดีไม่ได้
ผู้เข้าอบรมถาม มาตรา3ที่ว่านิติธรรม ที่ให้พิจารณาความเป็นธรรม เหนือกฎหมาย เรื่องความเป็นธรรมนี้ การแยกแยะความเป็นธรรม ในสังคมบ้านเรา มีความเห็นที่แตกต่างกัน เช่น บางเรื่องสังคมกลุ่มนี้เห็นว่าเป็นธรรม อีกกลุ่มหนึ่งว่าไม่เป็นธรรม การพิจารณาว่า ความเป็นธรรมอยู่เหนือกฎหมายแล้วจะตัดสินใจอย่างไร เพราะไม่เข้าใจว่า rule of law อีกสักนิด
ตอบ ท่านไม่เข้าใจก็ถูกแล้ว ขนาดนักกฎหมายยังไม่เข้าใจเลยก็เลยต้องบรรยาย เนติบัณฑิตกว่าจะเป็นได้ต้องสอบอย่างหนัก และต้องบรรยายเรื่องจริยธรรม ส่วนหนึ่งของ rule of law เช่น เรื่อง conflict of interests ถ้ามีเรื่องนี้เราจะไม่ทำ
เรื่องความซื่อสัตย์ ไม่ใช่เนื้อกฎหมายอย่างเดียว เช่น ผมเจรจาสัญญากับญี่ปุ่น เวลาเราเจรจากันใช้ภาษาอังกฤษ เวลาเราปรึกษากันเอง เราปรึกษาภาษาไทยเวลาเขาปรึกษากันเขาใช้ภาษาของเขา ถ้ามีใครรู้ภาษาญีปุ่น เราจะใช้ประโยชน์จากการนี้ไม่ได้ ถือว่าเป็น เราจะ take benefit จากสิ่งนี้ไม่ได้ขัดกับ rule of law ผมจึงต้องบอกญี่ปุ่นให้ไปประชุมกันข้างนอก เราจะเอาประโยชน์จากสิ่งที่ไม่ควรทำไม่ได้
หลัก rule of law อีกข้อหนึ่งคือว่าอย่าไปยุ่งกับคนในกระบวนการยุติธรรม ให้ดุลพินิจของแต่ละศาลต้องเป็นไปตามกระบวนการ และอัยการก็เป็นไปตามกระบวนการ สรรพากรกว่าจะประเมินได้ และอธิบดีก็ต้องประเมิน คนไม่เห็นด้วยต้องอุทธรณ์ไปฟ้องศาล คดีแพ่งผมจะถามตัวความ เพราะเขาเป็นเจ้าของเงิน แต่ถ้าเป็นคดีอาญาจะไม่ถาม เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของอัยการโดยเฉพาะ
ถ้าคลางแคลงใจศาลว่าศาลตัดสินอย่างนี้เข้าข้างหรือเปล่า อัยการตัดสินอย่างนี้เพราะรุ้จักใครหรือเปล่า กระบวนการปรองดองไม่เกิด มีต้งหลายเรื่องที่ยุติ พระบรมราโชอาวาท ยังบอกว่าคนที่อยู่กับกฎหมาย จะยึดติดกับกม.จนลืมความเป็นธรรม ขอ จบว่า “ในกระแสแห่งความยุติธรรม ยากที่จะหาความเกษมเปรมปรีดิ์” คือคำตัดสินจะเป็นที่พอใจทุกคนไม่ได้ จะคอยถามใครก็ไม่ได้ การสร้างศรัทธาที่ดีที่สุดคือการตัดสินด้วยความเที่ยงธรรม.
