เปิดหลักฐาน”รมต.สำนักนายกฯ-รมว.คลัง”แทรกแซง อสมท ขัด รธน. ระวังถูกถอดถอน
ความขัดแย้งระหว่างนายธนวัฒน์ วันสม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท.และฝ่ายบริหารกลุ่มหนึ่งกับคณะกรรมการ บมจ. อสมท.ที่มีนายสุรพล นิติไกรพจน์ เป็นประธาน ซึ่งคณะกรรมการมีมติแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบการทำงานของนายธนวัฒน์ว่า ได้ปฏิบัติตามสัญญาว่าจ้างหรือไม่ รวมถึงห้ามนายธนวัฒน์มีคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายพนักงานในระหว่างการตรวจสอบ
ปรากฏว่า ความขัดแย้งดังกล่าว บานปลายกลายเป็นปัญหาทางการเมือง จนอาจเป็นชนวนเหตุให้น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถูกยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งตามมาตรา 270 แห่งวรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้

กฤษณา สีหลักษณ์-ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากมีพนักงานและฝ่ายบริหารของ อสมท กลุ่มหนึ่งได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ น.ส.กฤษณา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2554 กล่าวหาว่า คณะกรรมการ บมจ.อสมท ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมาย ในการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงานบริษัทและแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารระดับสูงโดยไม่ผ่านกระบวนการตามระเบียบบริษัทและไม่เป็นธรรม
ทำให้ น.ส.กฤษณทำหนังสือลงวันที่ 30 กันยายน 2554 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรื่องการร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการบริษัท อสมท จำกัด(มหาชน)มีใจความสรุปว่า
ในฐานะที่ตนได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชนแทนนายกรัฐมนตรีสำหรับ บมจ.อสมท พิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีข้อร้องเรียนดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและอาจมีผลกระทบต่อนโยบายของรัฐบาลและการบริหารงานของบริษัท
ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับองค์กรดังกล่าว จึงขอให้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บมจ.อสมท โปรดดำเนินการแจ้งไปยังประธานกรรมการ บมจ. ดังนี้
1. ระงับการประกาศและดำเนินการปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างของบริษัทตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท จนกว่าการสอลบสวนจะแล้วเสร็จและรายงานต่อรัฐมนตรัประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล บมจ.อสมท และเมื่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯเห็นชอบแล้วจึงให้ดำเนินการต่อไปได้
2.ระงับการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารและพนักงานตามมติที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2554 จนกว่าการสอบสวนจะแล้วเสร็จและรายงานต่อรัฐมนตรัประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล บมจ.อสมท และเมื่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯเห็นชอบแล้วจึงให้ดำเนินการต่อไปได้ หากผลการสอบสวนไม่ปรากฏความไม่เป็นธรรมตามที่มีคำร้อง ให้มีการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายมีผลบย้อนหลังได้


ทันทีหนังสือฉบับจากน.ส.กฤษณา ในวันเดียวกัน(30 กันยายน 2554) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ได้เกษียณหนังสือว่า “ส่งให้ สคร.(สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจดำเนินการ”
ด้วยความรวดเร็ว ในวันเดียวกัน นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สคร.ได้ทำหนังสือลงวันที่ 30 กันยายน 2554 ถึงประธานคณะกรรมการ บมจ. อสมท อ้างถึงหนังสือของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และมีข้อความต่อท้ายในหนังสือระบุว่า
“สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.)โดยได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ใคร่ขอให้ท่านในฐานะประธานกรรมการ บมจ.อสมท ได้โปรดพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการต่อไป หากผลเป็นประการใด ขอโปรดแจ้งให้ สคร.ทราบในโอกาสแรกด้วย จักขอบคุณยิ่ง”


ปัญหาคือ จากการกระทำดังกล่าวของ น.ส.กฤษณาและนายธีระชัย เป็นการแทรกแซงการทำงานของ บมจ.อสมท.ซึ่งเป็นกิจการด้านสื่อสารมวลชนและบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอันเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
แม้ บมจ.อสมท จะเป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ ขณะเดียวกัน บมจ.อสมท ก็เป็นบริษัทมหาชนและจดทะเบียนในตลบาดหลักทรัพย์ด้วย
ดังนั้นการกำกับดูแล อสมท ต้องทำผ่านมติที่ประชุมผู้ถิอหุ้น ถ้าผู้ถือหุ้นห็นว่า คณะกรรมการบริษัท ไม่ทำตามระเบียบข้อบังคับหรือมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นก็มีสิทธิแต่งตั้งหรือถอดถอนโดยที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น
รัฐมนตรีสำนักนายกฯที่กำกับดูแลหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังไม่น่าจะมีอำนาจใดๆที่จะแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการลบริษัท จนถึงขั้น“ล้วงลูก”ให้ระงับคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายพนักงานหรือผู้บริหารบริษัท
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อสมท ประกอบกิจการด้านสื่อสารมวลชนได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษจากรัฐธรรมนูญที่ห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเข้าแทรกแซงการบริหารกิจการ
การที่ทั้งน.ส.กฤษณาและนายธีระชัยขอให้ประธานคณะกรรมการ บมจ.อสมท ระงับการปรับปรุงโครงสร้างบริษัทและแต่งตั้งโยกย้ายพนักงาน จึงอาจเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญหลายมาตรา ดังนี้
มาตรา 48 ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคม มิได้ ไม่ว่าในนามของตนเองหรือให้ผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นแทน หรือจะดำเนินการโดยวิธีการอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมที่สามารถบริหารกิจการดังกล่าวได้ในทำนองเดียวกับการเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการดังกล่าว
มาตรา 266 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในเรื่องดังต่อไปนี้
(1) การปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น
(2) การบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย โอน เลื่อนตำแหน่ง และเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำและมิใช่ข้าราชการการเมือง พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือ
มาตรา 268 นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะกระทำการใดที่บัญญัติไว้ในมาตรา 266 มิได้ เว้นแต่เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาหรือตามที่กฎหมายบัญญัติ
อาจมีการโต้แย้งว่า การกระทำดังกล่าวของ งน.ส.กฤษณาและนายธีระชัย เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาหรือตามที่กฎหมายบัญญัติซึ่งเป็นข้อยกเว้นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 268 ซึ่งทั้งสองต้องแน่ใจว่า มีบทบัญญัติในกฎหมายใดที่ให้อำนาจรัฐมนตรีทั้งสองในการ“ล้วงลูก”ถึงขั้นสั่งให้ระงับการปรับโครงสร้างการบริหารบริษัท และระงับการแต่งตั้งโยกย้ายพนักงาน เพราะขนาดข้าราชการประจำรัฐมนตรียังแค่เสนอให้มีการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการได้เพียงผู้บริหารระดับสูงหรือซี 10 เท่านั้น
เพราะเท่าที่ตรวจสอบไม่มีกฎหมายใดที่ให้อำนาจรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการระงับหรือแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารหรือพนักงานของบริษัทมหาชนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ดังนั้นการกระทำของทั้ง น.ส.กฤษณาและนายธีระชัย จึงสุ่มเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย อาจถูกพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านล่ารายชื่อ ส.ส.1 ใน 4 หรือ 125 คนยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 ที่บัญญัติว่า
“ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี …ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง วุฒิสภามีอำนาจถอดถอนผู้นั้นออกจากตำแหน่งได้”
ทั้งนี้การกระทำของน.ส.กฤษณาและนายธีระชัย ปรากฏหลักฐานชัดเจนเป็นหนังสือทั้งสองฉบับที่ขอให้ประธานคณะกรรมการ บมจ.อสมท ระงับการปรับโครงสร้างการบริหารบริษัทและระงับการแต่งต้งโยกย้ายผู้บริหารระดับสูง
ตอนนี้ได้แต่จับตามองว่า พรรคประชาธิปัตย์จะใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 270 พิฆาตรัฐมนตรีทั้งสองคนหรือไม่
