ไฟไหม้บ่อขยะ ปัญหาซ้ำซาก นักวิชาการชี้ คนไทยขาดจิตสำนึก-ความรู้
นักวิชาการจุฬาฯ ชี้สถิติประเทศไทยมีขยะตกค้างทุกวัน ทุกปี ปริมาณเทียบเท่าตึกใบหยกเป็นเหตุนำขยะไปทิ้งไกลขึ้น แนะปลูกจิตสำนึกแก้ที่ต้นทางของปัญหา

วันที่ 24 เมษายน 2558 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวกรณี “ไฟไหม้บ่อขยะซ้ำซาก...แก้อย่างไร” ณ ห้อง 202 อาคารจามจุรี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผศ.ดร. พิชญ รัชฎาวงศ์ ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงไฟไหม้บ่อขยะที่จริงแล้วในอดีตมีมาหลายพันครั้ง เพียงแต่มองไม่เห็น ในระยะ 3-4 ปีนี้ สังคมเมืองมีการขยายตัวเข้าไปชิดกับบ่อขยะค่อนข้างเร็ว ซึ่งแต่เดิมบ่อขยะอยู่ห่างไกลชุมชมค่อนข้างมาก
“ส่วนสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ในบ่อขยะ มี 3 ปัจจัยหลักคือ ออกซิเจน อุณหภูมิ เชื้อเพลิง ออกซิเจนเป็นสิ่งสิ่งขาดไม่ได้ คือ มีอยู่ทั่วไปในชั้นบรรยากาศ อุณหภูมิเป็นเรื่องที่หน้าสนใจมากโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน มีอุณหภูมิที่สูงเกือบ 40 องศา ขยะเดิมทีเป็นขยะเปียกเมื่อถูกความร้อนสูงจะทำให้ขยะแห้ง พอขยะแห้งก็กลายเป็นเชื้อเพลิงได้”
อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันปัจจัยที่เป็นตัวการของไฟ มี 2 สาเหตุ คือ1. สาเหตุทางสิ่งแวดล้อมมาจากขยะที่เป็นวัตถุไวไฟ เช่น น้ำยาล้างเล็บ สามารถติดไฟได้โดยง่าย 2.โลหะวิเศษแก้ว หากแสงแดดเจอกับแก้วหรือกระจกจะสามารถรวมความร้อนได้ จะทำให้ขยะที่แห้งอยู่แล้วติดเชื้อเพลิงขึ้นมาได้ง่าย และปัจจัยอีกกลุ่มคือ ปัจจัยที่เกี่ยวกับมนุษย์ เมื่อบ่อขยะไม่เป็นไปตามการจัดการของวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นอาจจะมีบุคคลที่แยกขยะ มีการทิ้งก้นบุหรี่ หรือ การเผาสายไฟเพื่อหลอมเอาตัวฉนวนออกไปเพื่อแบ่งขาย จึงเกิดเป็นต้นเหตุของไฟไหม้บ่อขยะ และยิ่งเจอกับพลาสติกทำให้ลุกลามได้ง่ายขึ้น
“ที่เป็นประเทศไทยมีปัญหาไฟไหม้บ่อขยะมากขนาดนี้ เพราะขาดจิตสำนึกกับความรู้ โดยจิตสำนึกคนส่วนใหญ่คิดว่า เรื่องขยะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง และความรู้ ในการสอนหรือการจัดการเรื่องขยะต้องดูองค์ประกอบ คือ เริ่มจากการเกิดขยะ เก็บขยะ คัดแยกขยะ กำจัดขยะ ส่วนนี้ผู้ปฏิบัติค่อนข้างเหนื่อยมาก เพราะขยะเมืองไทยมีเยอะ องค์ความรู้ที่ควรมีการปรับใช้หรือพัฒนายังไม่เพียงพอ”
ส่วนการเกิดไฟไหม้บ่อขยะซ้ำซากนั้น ผศ.ดร. พิชญ กล่าวว่า การจัดการขยะของภาครัฐในปัจจุบันนอกจากไม่เร็วแล้ว ขยะที่รับวันนี้ยังเป็นขยะเก่าที่ทิ้งกันมาเมื่อ 40-50 ปี บ่อขยะที่ไฟไหม้จึงไม่ได้เริ่มรับขยะเมื่อวานนี้ แต่รับกันมาอย่างน้อย 30 ปี ในส่วนนี้กลไกภาครัฐได้ใช้หลักวิชาทางวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมในการแก้ไขปัญหาหรือไม่ การทำเหมืองขยะอย่างถูกต้องหรือไม่ โดยเฉพาะกรณีที่เรียกเก็บเงินประชาชนบ้านละ 150 บาท เงินไม่เป็นไรจ่ายได้ แต่จ่ายแล้วต้องทำให้ดี เพราะฉะนั้นเรื่องการตรวจสอบเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก แนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องทำตามหลักวิชาการ
ด้านดร.ทรงกฤษณ์ ประภักดี สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาฯ กล่าวถึงการจัดการขยะที่ประสบความสำเร็จในหลายพื้นที่ คือ ต้องมีความสมดุลทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ หรือต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ทุกวันนี้ให้ความสำคัญกับการจัดการกลางน้ำค่อนข้างมาก เพราะว่าไม่ต้องการให้ขยะอยู่ตามท้องถนน เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องเก็บกวาดให้เต็มที่ ไม่ตกค้าง
“สถิติประเทศไทยมีขยะตกค้างทุกวัน ทุกปี ปริมาณเทียบเท่ากับตึกใบหยกหลายตึก จึงนำขยะไว้ในที่ที่ไกลขึ้น เพราะฉะนั้นจึงต้องกำจัดที่ปลายทางเพื่อลดผลกระทบให้มากที่สุด”
ดร.ทรงกฤษณ์ กล่าวอีกว่า ตามหลักวิชาการกำจัดขยะเพื่อลดต้นทุนในทุกขั้นตอน เก็บได้เร็วทำให้ลดปริมาณขยะได้ รวมถึงการปลูกสร้างจิตสำนึกการเก็บขยะในหลายประเทศ ประเทศไทยเองก็พยายามต้องเริ่มที่ประชาชน เริ่มที่เยาวชน การปลูกสร้างจิตสำนึกใช้งบประมาณน้อยแต่ได้ผลระยะยาว
“ วาระแห่งชาติกำหนดไว้ว่าขยะเป็นสิ่งที่ต้องรีบจัดการ ยิ่งจัดการเร็ว คือการจัดกาตอนที่มีปัญหาไม่มาก การจัดการบ่อขยะมีหลายเงื่อนไข มีจุดที่ต้องระวัง บางปีที่ไม่มีไฟไหม้แต่มีน้ำท่วมก็จะทำให้ขยะกระจายออกนอกบ่อ เพราะฉะนั้นองค์ความรู้ที่มีอยู่จะสามารถช่วยดูแลและเป็นที่พึ่งของชุมชนได้”
