ตักน้ำใส่กระโหลกชะโงกดูเงา สื่อกับผลประโยชน์ทับซ้อน !
"...แต่ในแวดวงสื่อมวลชน การได้มาซึ่งเงินหรือผลประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบ ไม่ได้กระทำผ่านอำนาจทางการเมือง แต่ทำผ่าน “อำนาจทางการสื่อสาร” ซึ่งในบางครั้งมีอำนาจเหนืออำนาจการเมืองเสียอีก อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้คือเมล็ดพันธุ์อันชั่วร้าย คือการละเมิดหลักการทำงาน สุจริต ตรงไปตรงมา และไม่ใช้ความเป็นอภิสิทธ์ชน เช่นเดียวกับที่สือไปชี้หน้าด่าคนอื่นๆ.."
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org : เมื่อวันที่ 25 เม.ย.58 "จักร์กฤษ เพิ่มพูน" อดีตประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้เขียนบทความ เรื่อง ตักน้ำใส่กระโหลกชะโงกดูเงา สื่อกับผลประโยชน์ทับซ้อน ! ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ที่ใช้ชื่อว่า "จักร์กฤษ เพิ่มพูล"
---------
ในแวดวงการเมือง คำว่าผลประโยชน์ทับซ้อน หรือ Conflict of interest มีกรณีตัวอย่างที่ชัดเจน และเป็นที่เข้าใจร่วมกันว่า คือการที่นักการเมืองใช้อำนาจเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตน หรือหมู่คณะ
การได้มาซึ่งผลประโยชน์นั้น อาจมีความซับซ้อนมากกว่าการคอรัปชั่น คือการได้มาโดยผ่านนโยบายสาธารณะ หรือกฏเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนดขึ้น เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการคอรัปชั่นเชิงนโยบาย
แต่ในแวดวงสื่อมวลชน การได้มาซึ่งเงินหรือผลประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบ ไม่ได้กระทำผ่านอำนาจทางการเมือง แต่ทำผ่าน “อำนาจทางการสื่อสาร” ซึ่งในบางครั้งมีอำนาจเหนืออำนาจการเมืองเสียอีก อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้คือเมล็ดพันธุ์อันชั่วร้าย คือการละเมิดหลักการทำงาน สุจริต ตรงไปตรงมา และไม่ใช้ความเป็นอภิสิทธ์ชน เช่นเดียวกับที่สือไปชี้หน้าด่าคนอื่นๆ
รูปแบบของผลประโยชน์ทับซ้อน ที่ชัดเจนซึ่งผมได้อธิบายกับนักศึกษานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนชั่น เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน คือการแจกหุ้นราคาพาร์ให้กับนักข่าวสายหุ้น การเงิน เป็นปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้นอย่างเปิดเผยราว 10 ปีก่อน ถึงวันนี้ไม่อาจยืนยันว่ายังมีอยู่หรือไม่
การเป็นนักข่าวที่สามารถล่วงรู้ข้อมูลภายใน และสามารถรายงาน หรือปกปิดข่าวที่เกี่ยวข้องกับหุ้นได้นั้น เป็นผลให้ราคาหุ้นขึ้นหรือลงได้มิใช่ด้วยกลไกราคาปกติ แต่ด้วยข้อมูลจากการรายงานข่าวที่บิดเบี้ยวไปตามผลประโยชน์ที่นักข่าวได้รับ
หรือกรณีนักข่าวสายอาหาร ที่แสดงตัวเพื่อกินอาหารฟรี หรือนักข่าวสายรถยนต์ ที่ใช้ความเป็นนักข่าว ขอรถออกใหม่มาทดสอบขับ และยังคงครอบครองใช้ประโยชน์ส่วนตัวจากนั้นอีกเป็นเวลานาน
ประเด็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ที่ซับซ้อนกว่านั้น ก็คือการใช้พื้นที่สาธารณะ เป็นพื้นที่ในการแสดงออกซึ่งทัศนคติ หรือเลยเถิดจนกลายเป็นอคติ เพื่อตอบสนองความคิด ความเชื่อทางการเมืองของตนเอง
ในความเป็นมนุษย์ของนักข่าว ย่อมมีความคิด ความเห็นหรือความเชื่อในเรื่องต่างๆได้ ตั้งแต่เรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ความคิดทางการเมือง นี่เป็นเรื่องปกติ
แต่ในการทำหน้าที่บนพื้นที่สาธารณะ ซึ่งหมายถึงพื้นที่ในหน้าหนังสือพิมพ์ หน้าจอ หน้าปัดวิทยุ สื่อออนไลน์ จะต้องไม่แสดงออกซึ่งการฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่ใช้อารมณ์ความรู้สึกไปกำหนดความถูกผิด ต้องให้ความเคารพผู้บริโภคข่าวสารทุกคน ทุกฝ่ายที่เขาจะเชื่อด้วยตัวเอง มิใช่ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ หรือความถี่ในการตอกย้ำความเชื่อของตนเอง
กรณีความสับสนระหว่าง “พื้นที่ส่วนตัว” กับ “พื้นที่สาธารณะ” นี้ ยกเว้นกรณีสื่อการเมือง ซึ่งพวกเขาแสดงการเลือกข้างอย่างชัดเจน ไม่ว่าผิดหรือถูก
ความเป็นนักข่าวนั้น เหมือนร่างทรง เมื่อคนหนึ่งยึดอาชีพนักข่าวเป็นอาชีพหลัก ความเป็นนักข่าวก็จะติดตัวไปทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะไปทำหน้าที่เฉพาะกิจอย่างไร ถ้าไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่ไม่ควรมี ไม่ควรได้ ก็ถือว่าผิดหลักการทั้งสิ้น เพราะนั่นอาจทำให้เข้าใจได้ว่า การได้ผลประโยชน์ใดๆมา ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล ข่าวสาร ก็คือการได้มาด้วยสถานะความเป็นนักข่าวที่คนอื่นๆอาจเห็นว่าเป็นอภิสิทธิ์ชน
ฉะนั้น การที่นักข่าวช่อง 5 หรือปัจจุบัน PPTV ได้เงินตอบแทนจากเอแบคโพลล์ จำนวน 2.1 ล้านบาท ไม่ว่าจะอ้างบทบาทอย่างไร ก็ไม่สามารถแยกออกจากบทบาทความเป็นนักข่าวได้
เมื่อพูดถึงพื้นที่สาธารณะ เรื่องของคุณสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ที่ใช้พื้นที่ในรายการข่าวของเขา อธิบายเรื่องปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ป่าเขาใหญ่ ก็น่าจะเข้าข่ายการใช้พื้นที่สาธารณะ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ซึ่งไม่ชอบด้วยหลักการเช่นเดียวกัน
บางทีนักข่าวก็เห็นแต่ภาพคนอื่นในกระจก แต่ถ้าลองตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเอง อาจจะเห็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก www.thaiorg.com