เช็คเสียง "โรงสี" โอดถูกมองต้นตอทุจริตจำนำข้าว

7 ตุลาคมนี้ รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ได้ฤกษ์เปิดโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/2555 ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ถึงความเสี่ยงในการสูญเสียงบประมาณภาครัฐจำนวนมหาศาล ขณะเดียวกัน หลายฝ่ายก็จับจ้องไปที่โรงสี ที่ตกเป็นจำเลยในฐานะ "ตัวพ่อ" ที่จะได้รับผลประโยชน์
"ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย" จึงขอเช็คเสียง วัดความพร้อม "เถ้าแก่โรงสี" ก่อนเริ่มต้นโครงการ....
“นายกฤษณ์ ศรีอินทร์สุทธิ์” หจก.โรงสีศรีพัฒนาพาณิชย์ จังหวัดนนทบุรี
“โรงสีมักถูกเป็นจำเลยสังคม ทั้งที่สามารถทำการค้าปกติ ไม่เข้ากับโครงการก็ได้
แต่จะกลายเป็นว่าโรงสีไม่ให้ความร่วมมือ อาจถูกยกเลิกใบอนุญาต เหมือนถูกล็อคไปในตัว ”
ทุกครั้งที่รัฐบาลเปิดโครงการ ทางโรงสีได้เข้าร่วมตลอด เพราะเป็นการตอบรับนโยบายรัฐบาล โรงสีเป็นกลไกหนึ่งที่ทำให้โครงการรับจำนำเกิดขึ้นได้ เพราะรัฐบาลไม่มีโรงสีในมือเป็นของตนเอง ถ้าโรงสีทุกโรงไม่ยื่นความจำนง ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้
“ความแตกต่างที่ชัดเจนของโครงการครั้งที่แล้ว และครั้งนี้ คือ เรื่องราคาที่ไม่จำกัดจำนวนวงเงิน และไม่จำกัดปริมาณไร่ของเกษตรกร แต่นโยบายและแนวทางคงจะเป็นไปในทิศทางเดิม ทั้งนี้ เรื่องของการค้ำประกันภัยของโรงสี มี 2 แบบให้เลือก ถ้า 50% โรงสีค้ำโรงเดียวโดยตรงไม่ต้องมีโรงสีมาไขว้ค้ำ แต่ถ้า 30% จะมีโรงสีมาไขว้ค้ำอีก 2 โรง เรียกได้ว่ามีทางเลือกมากขึ้น”
สำหรับการจัดตั้งเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจ (ดีเอสไอ) เข้ามาร่วมตรวจสอบขั้นตอนการรับจำนำข้าว นับว่าเป็นสิ่งที่ดี สามารถเข้ามาอุดช่องโหว่ของโครงการได้มากขึ้นกว่าเดิม
ทั้งนี้ไม่อยากให้สื่อ หรือสังคมตั้งธงว่า โครงการนี้จะมีการทุจริต การเปิดโครงการในครั้งนี้เกษตรกรจะได้ประโยชน์มากขึ้น ตรงที่ไม่มีการจำกัดวงเงิน เพราะที่ผ่านมามีเกษตรกรที่ผลิตข้าวเกิน 40 ไร่เป็นต้นไป ราคาก็จะเกิน 350,000 บาท เกษตรก็จะหมดสิทธิขาย ก็ต้องไปขายในราคาข้างนอก ซึ่งต่ำกว่า
แต่หนนี้ไม่ได้ระบุวงเงินสูงสุดแล้ว ถ้าเกษตรกรทำนาได้มากขึ้น ก็จะจำนำได้มากขึ้น คือประโยชน์ที่แตกต่างจากคราวที่แล้ว”
ในช่วงริเริ่มโครงการ โรงสีมักถูกตกเป็นจำเลยในกระบวนการทุจริต ซึ่งแท้ที่จริงแล้วโรงสีสามารถทำการค้าแบบปกติก็ได้ โดยไม่เข้าโครงการ “แต่ถ้าทำการค้าแบบปกติ หรือไม่เข้าร่วม กระทรวงพาณิชย์ หรือการค้าภายในจังหวัดก็จะคิดว่าโรงสีไม่ให้ความร่วมมือ และอาจจะยกเลิกใบอนุญาต เหมือนเป็นการล็อคเราไปในตัว โรงสีจึงจำเป็นต้องมาเข้าร่วม เพื่อให้โครงการดำเนินไปได้ จึงเป็นการตอบรับนโยบายรัฐบาลในทางหนึ่ง”
นายเดชา พรบำรุง หจก.เดชาเจริญกิจ จังหวัดสุพรรณบุรี
“การสวมสิทธิจะน้อยลง ชาวนาต้องใช้สิทธิของตนเอง เพราะราคา 15,000 ชาวนาคงไม่ขายสิทธิอย่างแน่นอน”
เคยเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวมาแล้ว และตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกับโครงการอีก เนื่องจากในยามที่โรงสีซื้อขายปกติ ราคามันไม่เป็นไปตามราคาที่ควรจะได้ ก็ต้องเข้ากับโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง และเป็นการช่วยเหลือชาวนา คือต้องเข้าร่วมกับโครงการและขายราคาปกติด้วย ซึ่งในอนาคตก็ยังไม่แน่นอน ราคาขายปกติอาจจะสูงขึ้น เนื่องจากข้าวน้อยลง
นโยบายของรัฐบาลครั้งนี้ มีความรัดกุมมากขึ้น โดยความแตกต่างที่เห็นได้ชัด คือ มีการกำหนดให้ภายในระยะเวลา 10 วันโรงสีต้องแปรสภาพให้ได้ 100% เป็นการช่วยไม่ให้ข้าวเสื่อมคุณภาพ ซึ่งหากเป็นนโยบายเก่า โรงสีต้องเก็บข้าวไว้ประมาณ 5-6 เดือน ทำให้ข้าวเสื่อมคุณภาพได้ง่าย ทำให้ต้องขายข้าวออกไปก่อน และเมื่อมีการตรวจสอบก็จะพบว่าข้าวเหลืองเกินไป และไม่สามารถส่งโกดังกลางได้
แต่ปัจจุบันได้กำหนดระยะไว้ตายตัว ว่า รับจำนำเท่าไหร่ก็ต้องแปรสภาพทั้งหมด ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการช่วยไม่ให้โรงสีต้องกังวลในการเก็บข้าวไว้ เพราะนอกเหนือจากที่ชาวนาจำนำแล้ว โรงสียังรับขายเงินสดด้วย อย่างเช่น ชาวนามีสิทธิที่จะจำนำ 30 ตัน แต่ในช่วงนั้นผลผลิตดีสามารถผลิตได้ถึง 40 ตัน ส่วนต่างนั้นก็สามารถนำมาขายเงินสดได้ เพราะว่าก็เป็นสิทธิของชาวนาอยู่แล้ว
สำหรับเรื่องที่ว่าโรงสีเป็นผู้ที่รับประโยชน์เป็นส่วนใหญ่ในโครงการนี้นั้น เป็นไปไม่ได้ ภายนอกอาจมองว่า โรงสีจะทำการทุจริตได้ง่ายในโครงการรับจำนำนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีเจ้าหน้าที่มาควบคุมอยู่แล้ว ทั้งในส่วนของการเซ็นใบประทวน รวมถึงโรงสีเองก็ต้องดูราคากลางว่าราคาอยู่ที่เท่าไหร่ หากเราให้ราคาต่ำเกินไปชาวนาก็มีสิทธิย้ายโรงสีได้
นอกจากนี้คนอาจจะมองว่าผลประโยชน์จะตกที่โรงสี แต่หารู้ไม่ว่า รัฐบาลก็มีการทำงานที่รัดกุมขึ้น มีการตรวจมาตรฐานของโรงสี ซึ่งทางกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการตรวจ เครื่องชั่ง เครื่องวัด และระบบโรงสี ว่าระบบของโรงสีมีระบบที่ได้รับมาตรฐานหรือไม่
อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นข้อกังวลของหลายฝ่าย คือเรื่องของการสวมสิทธิ ซึ่งปัจจุบันนี้การสวมสิทธิจะน้อยลง เพราะชาวนามีการเพาะปลูกมากขึ้น และ ชาวนาต้องใช้สิทธิของตนเอง ราคา 15,000 ชาวนาคงไม่ขายสิทธิอย่างแน่นอน เพราะจากการขายสิทธิจะได้ราคาเพียงประมาณ 1,000 บาท แต่ถ้านำข้าวของตนเองมาจำนำก็จะได้ราคาที่ดีกว่า ชาวนาคงไม่สวมสิทธิ ทิ้งผลประโยชน์ของตนเอง
นโยบายนี้ช่วยให้ชาวนาได้ในระดับหนึ่ง ชาวนาจะสามารถขยับตนเองได้ เงินที่เหลือจากการลงทุนก็จะดีกว่าเดิม เพราะรู้ราคาที่แน่นอนจากที่รัฐบาลประกาศ นอกจากนี้ชาวนาจะสามารถรู้ได้ว่าปีนี้ทำนาแล้วจะได้ราคาเท่าไหร่ และมีทางเลือกเพิ่มขึ้นคือ ถ้าหากราคาปกติพุ่งสูงขึ้นชาวนาก็สามารถเอาออกขายปกติได้ สามารถคำนวณได้ว่าจะต้องลงทุนเท่าไหร่ และจะเหลือเท่าไหร่ ชาวนาก็ต้องทำนาให้ได้คุณภาพดีๆ เพื่อที่จะได้ราคาแพง
เจ้าของโรงสีข้าวแห่งหนึ่ง ในอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา
“สาเหตุการทุจริตโครงการจำนำไม่ได้มาจากโรงสีเท่านั้น แต่มีขบวนการตั้งแต่ ‘ราก’ ตั้งแต่ระดับชาวนา”
ความแตกต่างของโครงการรับจำนำข้าวครั้งก่อนกับโครงการในปี 2554/2555 ความต่างอยู่ที่โครงการปีนี้ใช้เงินจำนวนมาก เนื่องจากรัฐบาลประกาศรับจำนำข้าวทุกเม็ด ไม่ได้จำกัดว่า วงเงินรับจำนำเหมือนโครงการจำนำครั้งที่ผ่านมา
“หากมองในแง่ของชาวนา ก็ต้องยอมรับโครงการจำนำปีนี้เป็นเรื่องดี เพราะคนที่ทำนาจริงๆ สามารถขายผลผลิตได้ในราคาสูง ความเป็นอยู่ก็จะดีขึ้น แต่สิ่งที่กังวลคือ โครงการดังกล่าวใช้งบประมาณจำนวนมาก รัฐบาลต้องหางบฯ มาใช้จ่าย อีกทั้งคนทำโรงสีก็ยังกังขาว่า จะมีการทุจริตเกิดขึ้นหรือไม่”
ส่วนประเด็นที่มองว่า โรงสีจะมีการสวมสิทธินั้น ประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า สาเหตุการทุจริตไม่ได้มาจากโรงสีเท่านั้น ซึ่งจุดนี้ผมอยากชี้ว่า มันมีขบวนการตั้งแต่ ‘ราก’ ตั้งแต่ระดับชาวนามาเลย
เช่น ชาวนาบางคนทำนา 20 ไร่ แต่พอไปแจ้งจำนำ ตัวเลขผลผลิตกลับเปลี่ยนไป เพราะต้องการนำของคนอื่นมาสวม สิ่งเหล่านี้ถามว่าเราจะรู้ได้อย่างไร ถึงแม้จะบอกว่า แจ้งต่อเกษตรตำบลแล้ว แต่ถามว่า แน่ใจได้อย่างไรว่าเกษตรตำบลไปตรวจทุกพื้นที่ ตรวจทุกคน
นอกจากนี้ยังพบว่า คนในหมู่บ้านเดียวกัน ยังรู้เห็นเป็นใจกัน ช่วยกันยกมือรับรอง จนทำให้คนบางคนที่ไม่ได้ทำนา กลับกลายเป็นคนที่มีนา และสามารถเข้าร่วมโครงการจำนำได้ ดังนั้น เอาเข้าจริงเรื่องต่างๆ เหล่านี้เราจะรู้ได้อย่างไร
ส่วนเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวที่เกิดขึ้น จะเป็นเพราะเจ้าหน้าที่บกพร่องหรือละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นั้น เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจ แต่ยืนยันได้ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวมีแน่นอน ขณะที่โรงสี ซึ่งมีพฤติกรรมสวมสิทธินั้น ก็น่าจะมีอยู่จริง ไม่เช่นนั้นคงไม่ปรากฏเป็นข่าว
สำหรับการจัดตั้งหน่วยงาน อาทิ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้ามาตรวจสอบและติดตามโครงการรับจำนำข้าวด้วยว่า โดยส่วนตัวนั้นเชื่อว่าจะสามารถอุดช่องว่างได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะถึงแม้จะมีการตรวจสอบหลายชั้น หลายระดับ แต่จากการสัมผัสกับชาวนาก็ประเมินว่า ยังจะมีการรั่วไหลอยู่ดี เพียงแต่เมื่อดีเอสไอเข้ามาตรวจสอบ อาจช่วยให้มีการรั่วไหลน้อยลง เพราะการอุดช่องว่าง อุดช่องทุจริตนั้น จะต้องไปเริ่มตั้งแต่การรับรองเกษตรกรซึ่งมีสิทธิจำนำ ขณะเดียวกันหากพบว่าโรงสีกระทำความผิด สวมสิทธิ ก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย ต้องยอมรับสภาพกันไป
