บัตรประกันสังคมไร้ค่ากว่ากระดาษชำระ รพ.ปัดรับรักษา ผู้ป่วยเคว้ง!
ใครจะไปนึกว่า มีบัตรรับรองสิทธิการรักษาพยาบาลของสำนักงานประกันสังคม แต่ไม่สามารถเข้าไปใช้สิทธิเพื่อขอรับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีชื่อระบุไว้ในบัตรดังกล่าว และยังไม่รู้ว่า จะเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลใดเพราะสำนักงานประกันสังคมอ้างว่า หมดเขตเพื่อขอเปลี่ยนโรงพยาบาลแล้ว
เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นกับหญิงสาวรายหนึ่งที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานย่ายถนนสามเสน ได้รักการบรรจุเป็นพนักงานประจำเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2554 ทางต้นสังกัดได้แจ้งชื่อไปยังสำนักงานประกันสังคม โดยแจ้งเลือกสถานพยาบาล วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์(วพศ.) และวชิรพยาบาลอันดับ1 และโรงพยาบาลมิสชั่น เป็นอันดับ 2
ระหว่างเดือนมกราคม – มีนาคม 2554 ได้ส่งเงินประกันสังคมครบถ้วนตามที่กำหนด โดยมิได้ขาดส่งแม้แต่งวดเดียว
ในเดือนเมษายน 2554 ทางสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 1 ได้ส่งบัตรรับรองสิทธิ์การรักษาพยาบาลมาให้ ข้อมูลในบัตร ระบุชื่อสถานพยาบาลว่า โรงพยาบาล วพศ. และวชิรพยาบาล วันออกบัตร 1 เมษายน 2554 บัตรหมดอายุ 31 ธันวาคม 2555
ต่อมาเมื่อเดือนสิงหาคม 2554 หญิงสาวไม่สบายจึงเข้าไปใช้บริการประกันสังคมที่ วพศ. และวชิรพยาบาล ทางเจ้าหน้าที่แผนกประกันสังคมของโรงพยาบาลแจ้งว่า ชื่อของหญิงสาวไม่ได้อยู่ในระบบข้อมูลของโรงพยาบาล และแจ้งว่า ทางโรงพยาบาลแจ้งทางสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 1 แล้วว่า ทางโรงพยาบาลปิดรับผู้ประกันตนเพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2554 ทั้งนี้ให้ไปใช้บริการโรงพยาบาลในเครือ เช่น โรงพยาบาลกลาง พร้อมกับแนะนำให้ติดต่อไปยัง สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 1 เพื่อขอเปลี่ยนโรงพยาบาล
ทางหน่วยงานต้นสังกัดจึงทำเรื่องไปยัง สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 1 เพื่อขอเปลี่ยนโรงพยาบาลจาก วพศ. และวชิรพยาบาล เป็นโรงพยาบาลราชวิถี เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2554
ต่อมาวันที่4 ตุลาคม 2554 ทางสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 1 ได้ส่งจดหมายมายังต้นสังกัดของ โดยมีข้อความตัวหนังสือสีแดงในช่องไม่เห็นสมควรออกบัตรรับรองสิทธิฯ ระบุเหตุผล หมดเขตเปลี่ยนสถานพยาบาลประจำปีแล้ว
การได้รับแจ้งข้อความในจดหมายจากสำนักงานประกันสังคมสร้างความงุนงงให้แก่หญิงสาวเป็นอย่างมาก เพราะหมายความว่า ถ้าตนเองเจ็บป่วยจะไม่สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลใดๆได้ทั้งๆที่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะได้รับการรักษาตามระบบประกันสังคม
นอกจากหญิงสาวรายดังกล่าวแล้ว ยังมีหญิงสาวอีกรายในหน่วยงานเดียวกันที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน จึงไม่รู้ว่า มีประชาชขนที่กี่คนที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ และประชาชนเหล่านั้นจะไม่มีวันรู้เลยว่า บัตรรับรองสิทธิใสนการรักษาพยาบาลของตนเองไร้ค่ากว่ากระดาษชำระเสียอีก จนกว่าจะเจ็บป่วยแล้วไปขอรับการรักษาจากโรงพยาบาล ถ้าได้รับการปฏิเสธเช่นหญิงสาวสองคนจึงจะรู้ว่า ตนเองไม่มีสิทธิในการรักษา
ปัญหาดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพและไร้ความรับผิดชอบในการทำงานของสำนักงานประกันสังคมและยังไม่รู้ว่า ผู้ใดจะแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น
