นิด้าโพลชี้คน 59.40% หนุนนายกฯ มาจากการเลือกของสภาฯ
นิด้าโพลเผยคนส่วนใหญ่ 59.40% หนุนนายกฯ ต้องมาจากการเลือกของสภาฯ เพราะ ส.ส.เป็นตัวแทนประชาชน ค้านนายกฯ คนนอก หวั่นไม่มีประสบการณ์เพียงพอ ต้องการมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น...
เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 58 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 1,261 หน่วยตัวอย่าง เรื่อง “นายกรัฐมนตรีตามร่างรัฐธรรมนูญ 2558” เมื่อถามถึงความคิดเห็นที่ให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกของสภาผู้แทนราษฎร (มาตรา 172) พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 59.40 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะเชื่อมั่นและไว้วางใจในตัว ส.ส. ซึ่งเป็นตัวแทนที่ประชาชนได้เลือกเข้ามา ดูเป็นระบบ ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก และรวดเร็วดี ขณะที่ ร้อยละ 36.64 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย เพราะต้องการให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง และอาจมีการเล่นพรรคเล่นพวกเกิดขึ้นในการเลือกของสภาผู้แทนราษฎร และร้อยละ 3.96 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ/ขึ้นอยู่กับรัฐบาล
ความคิดเห็นของประชาชนต่อร่างรัฐธรรมนูญ 2558 ที่เปิดโอกาสให้มีนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจาก ส.ส. (นายกฯ คนนอก) แต่ต้องได้รับเสียงสนับสนุนไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวน ส.ส. (มาตรา 172) พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 47.98 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย เพราะไม่มีประสบการณ์เพียงพอในการบริหารประเทศ นายกฯ ที่มาจาก ส.ส. น่าจะมีประสบการณ์และทำงานได้ดีกว่า ควรมาจากการเลือกตั้งน่าจะดีกว่า ขณะที่ ร้อยละ 45.76 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะเป็นช่องทางเลือกอีกช่องทางหนึ่ง ในการสรรหานายกรัฐมนตรี ควรเปิดโอกาสให้คนนอกเข้ามาบริหารประเทศบ้าง ซึ่งน่าจะทำงานได้ดีกว่านายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง และร้อยละ 6.26 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ/ขึ้นอยู่กับรัฐบาล
เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2557 ที่มีผู้ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 63.36 และผู้ที่เห็นด้วย ร้อยละ 34.58 แสดงให้เห็นว่า สัดส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วย มีแนวโน้มลดลง ในขณะที่สัดส่วนของผู้ที่เห็นด้วยเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้อธิบายให้ประชาชนได้เข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องเปิดช่องไว้สำหรับนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจาก ส.ส.
ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อร่างรัฐธรรมนูญ 2558 ที่กำหนดให้นายกฯ อาจเสนอขอความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรและหากได้รับความไว้วางใจ สภาก็จะถูกตัดสิทธิในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีไปโดยอัตโนมัติ ตลอดสมัยประชุม (มาตรา 181) พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 47.19 ไม่เห็นด้วย เพราะเป็นการลดอำนาจและบทบาทหน้าที่ของสภาฯ มากจนเกินไป อาจทำให้เกิดช่องโหว่ในการตรวจสอบการทำงาน ควรเปิดอภิปรายเป็นระยะ เพื่อให้ประชาชนได้ทราบข้อมูลการทำงานของรัฐบาล ขณะที่ ร้อยละ 31.64 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะจะได้ไม่ต้องเปิดการอภิปรายหลายรอบ ลดค่าใช้จ่าย เวลา และความวุ่นวายที่เกิดจากการกระทบกระทั่งกันในสภาฯ และร้อยละ 21.17 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ/ขึ้นอยู่กับรัฐบาล
สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อร่างรัฐธรรมนูญ 2558 ที่ให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่รัฐมนตรี และคัดเลือกกันเองเพื่อหาบุคคลที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ ระหว่างที่มีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง (มาตรา 184) พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 47.58 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรีควรมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น หากมีการเลือกกันเอง กังวลว่าจะเกิดความไม่โปร่งใส เลือกแต่พรรคพวกของตนเองเข้ามา ขณะที่ ร้อยละ 43.62 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะบางครั้งมีเหตุจำเป็นต้องหานายกรัฐมนตรี ในช่วงรอยต่อรัฐบาล หรือเกิดช่องว่างทางการเมือง เพื่อให้สามารถทำงานหรือสานงานต่อไปได้อย่างราบรื่น และค่อนข้างไว้วางใจในตัวปลัดกระทรวงว่าจะสามารถคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถและเหมาะสมเข้ามาทำงานได้เป็นอย่างดี และร้อยละ 8.80 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ/ขึ้นอยู่กับรัฐบาล
เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจเมื่อเดือนกรกฎาคม และธันวาคม ปี 2557 พบว่า มีผู้ที่ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 25.10 และ ร้อยละ 47.25 ตามลำดับ ในขณะที่ผู้ที่เห็นด้วย อยู่ที่ ร้อยละ 66.00 และ ร้อยละ 46.05 ตามลำดับ จากผลสำรวจที่พบว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่รัฐมนตรี และคัดเลือกกันเองเพื่อหาบุคคลที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ ระหว่างที่มีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง มีสัดส่วนแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามลำดับ อาจเกิดจากความรู้สึกของประชาชนจำนวนหนึ่งที่มองว่าการเข้าถึงปลัดกระทรวงเพื่อร้องเรียนปัญหาต่างๆ นั้นยากกว่าการร้องเรียนต่อรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีที่เป็นนักการเมือง.
ขอบคุณข่าวจาก