“เมาขับ ชนคนตาย” ปัญหาซ้ำซาก ที่ถึงเวลาต้องใช้ "ยาแรง"
ข่าวสลดอีกครั้ง เกิดขึ้นในตอนเช้า เวลา 5.45 น. วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา เมื่อวัยรุ่นหญิงเมาและอ้างว่า “หลับใน” ขับรถชนขบวนนักปั่นกว่า 20 ชีวิต เสียชีวิตคาที่ 3 คน ส่งตัวไปรักษาพยาบาลอีก 6 คน (สาหัส 2 คน) โดยผู้ที่ขับชนเป็นหญิงอายุ 23 ปี ตรวจพบระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูง 67 mg% เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
ก่อนหน้านี้ ก็เพิ่งมีคนเมาขับรถชนรถจักรยาน ในช่วงเวลาเดียวกัน ตอน 5.40 น. วันที่ 18 มีนาคม 2558 โดยรถเก๋งได้พุ่งชน หัวหน้าฝ่ายกองคลังเทศบาลเมืองสมุทรสงคราม ดับคาถนนขณะปั่นจักรยานที่ไหล่ทางเพื่อออกกำลังกาย กรณีนี้ คนขับอายุ 22 ปี มีอาการเมาสุรา และตรวจระดับแอลกอฮอล์ ได้สูงถึง 124 mg%
เมื่อเร็วๆ นี้ที่ จ.เพชรบูรณ์ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ คืนวันที่ 15 เมษายน เวลา 0.32 น. ก็เพิ่งมีกรณีโฟร์แมนคุมงานก่อสร้าง เมาเหล้าขับปิกอัพฝ่าสัญญาณไฟ ชนรถเก๋งที่มีคนนั่งมาด้วย 5 คน เสียชีวิต 4 ศพ อีกคนอาการสาหัส โดยตรวจพบระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 110 mg% และ ย้อนไปถึงเหตุสลด เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2557 ที่เกิดกับครอบครัวคุณวรพจน์ บุญช่วยเหลือ ยอดนักแข่งรถยนต์แรลลี่แชมป์ระดับโลกและครอบครัว ถูกคนเมา ซึ่งตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือดได้ 128 mg% (สูงกว่าที่กฎหมายกำหนดเกือบ 3 เท่า) ขับรถชนที่จุดตรวจจนเป็นเหตุให้ไฟลุกไหม้และเสียชีวิตทั้งครอบครัว
เหตุการณ์สลดเหล่านี้ ชี้ให้เห็นว่า “เมาขับ ชนคนตาย” หรือบาดเจ็บ กลายเป็นความสูญเสียที่เกิดกับครอบครัวของเหยื่อและสังคม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่มีทีท่าจะเห็นว่าปัญหานี้จะลดลงได้ ถ้ายังไม่มีการจัดการที่จริงจัง หรือใช้ “ยาแรง” กว่านี้ ปัญหานี้ก็จะอยู่คู่กับสังคมไปอีกนาน
ทุกวันนี้ จะมีคนตายที่เกี่ยวข้องกับการดื่ม วันละ 8 คน* (ทั้งดื่มขับไปชนคน และดื่มขับรถเอง หรือเป็นผู้โดยสารและคนเดินเท้า ที่ดื่มสุรา) ไม่นับรวมที่เหยื่อที่ถูกคนเมาชนตาย เฉพาะในช่วง 7 วันของเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา มีคนตายถึง 364 ราย โดย “เมาแล้วขับ” สาเหตุหลัก ๆ ของการเกิดอุบัติเหตุรุนแรง คิดเป็นร้อยละ 39.31 (เพิ่มจากสงกรานต์ 2557 ที่เกิดจากเมาขับ ร้อยละ 36.76) และเมาขับ เป็นสาเหตุการตาย ช่วงสงกรานต์ถึง 1 ใน 4 (ร้อยละ 24)
อะไรทำให้ “เมาแล้วขับ” เป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก จนอยู่ในอาการ “ดื้อยา” สำหรับสังคมไทย ซึ่งถ้าจะวิเคราะห์เจาะลึก จะพบว่าปัญหานี้ มีรากปัญหาที่ทั้งลึกและซับซ้อน ตั้งแต่
(1)ระดับของ “สังคม” ยังคงมีทัศนะว่า “การดื่มแล้วขับเป็นเรื่องปกติ” โดยพบว่า ร้อยละ 21 หรือหนึ่งในห้า เห็นว่า ดื่มแล้วขับถ้ามีสติก็ขับรถได้ ที่สำคัญ ร้อยละ 37 ระบุว่าในรอบปีที่ผ่านมา เคยดื่มแล้วขับรถ (ผลสำรวจโดย มูลนิธิไทยโรดส์)
นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมที่มาหนุนให้เพิ่มความเสี่ยงจากการดื่มแล้วขับ เช่น การดื่มสังสรรค์ในลักษณะตระเวนไปหลายๆ สถานที่ การที่เจ้าของรถที่ดื่ม ไม่ยอมให้คนอื่นมาขับแทน (เสียศักดิ์ศรี) ในขณะที่คนที่นั่งมาด้วยก็ไม่กล้าที่ทักท้วงเพราะ “เกรงใจ”
* ข้อมูลใบมรณะบัตร 2556 คนไทยตายจากอุบัติเหตุ 14,789 หรือวันละ 40 คน และข้อมูลสาธารณสุข พบว่า 1 ใน 5 ของผู้บาดเจ็บและตายมีการดื่มร่วมด้วย
(2)การตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์ ไม่ได้ให้สร้างความตระหนักหรือความเกรงกลัวต่อการ “ถูกตรวจพบ” เท่าที่ควร เพราะ ไม่ได้ตั้งบ่อยๆ ในวันทุกวันสุดสัปดาห์ที่ดื่มสังสรรค์ เช่น ศุกร์ เสาร์ (กรณีที่เพิ่งเกิดคือ ดื่มคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันอาทิตย์) หรือ การการตั้งด่านตรวจ ไม่ได้กระจาย (random) เพื่อเพิ่มโอกาสถูกตรวจพบได้ (ส่วนใหญ่จะเป็นจุดเดิมๆ) และที่สำคัญ นักดื่มส่วนใหญ่ สามารถตรวจสอบจุดที่ตั้งและหลี่กเลี่ยงหาเส้นทางอื่นๆ ได้ (ผ่าน facebook มีด่านบอกด้วย ที่มีอยู่เกือบทุกจังหวัด)
นอกจากนี้ นักดื่มส่วนใหญ่จะเรียนรู้และส่งต่อวิธีในการ “ปฏิเสธเป่า” แต่เมื่อมีการแก้กฎหมาย ทำให้ลดช่องว่างในการปฏิเสธ แต่ก็หันมาอ้างว่า เครื่องเป่าไม่สอบเทียบ (Calibrate) ขอดูใบรายงานผลก่อน ฯลฯ รวมไปถึง การหาวิธีลดระดับแอลกอฮอล์ เช่น การดื่มนมเปรี้ยว (ซึ่งถ้าดื่มจนเมาแล้ว วิธีนี้จะไม่ได้ผล และยิ่งทำให้คนเมาชะล่าใจ) อีกปัจจัยที่ถูกอ้างถึงและสำคัญคือ ถ้าไม่เอารถไปดื่ม ก็จะไม่มีรถกลับ โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่หลายๆ พื้นที่ไม่มีรถสาธารณะ หรือ แท็กซี่รับส่งในช่วงกลางคืน
ในช่วงสงกรานต์ แม้จะมีการตรวจแอลกอฮอล์และดำเนินคดีเมาขับ สูงถึง 15,481 คดี แต่เมื่อคิดเทียบเป็นจำนวนจังหวัดและช่วง 7 วันอันตราย จะพบว่ามีการจับคนเมาขับได้เพียง 28 คน/จังหวัด/วัน ซึ่งข้อจำกัดที่สำคัญ นอกจากกำลังตำรวจที่ไม่เพียงพอแล้ว เครื่องตรวจแอลกอฮอล์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีอยู่เพียง 2,000 เครื่อง แต่ใช้ได้จริงประมาณ 1,600 เครื่องหรือเฉลี่ย 1 เครื่อง/ 1 สถานีตำรวจภูธร จึงทำให้บนท้องถนนเมืองไทย ยังมีคนเมาขับ และ เมาขี่จักรยานยนต์ อยู่เป็นจำนวนมาก ไม่นับรวมว่า บางจังหวัดตำรวจถูกกลุ่มธุรกิจสถานบันเทิงกดดัน ให้มีการลดหรืองดการตั้งจุดตรวจแอลกอฮอล์ หรือ โดยอ้างว่าทำลายการท่องเที่ยวของจังหวัด (ทั้งๆ ที่จุดประสงค์จุดตรวจ ไม่ได้ไปห้ามการเที่ยวหรือดื่มสุรา แต่ถ้าดื่มแล้วอย่ามาขับหรือขี่)
(3)เมื่อถูกดำเนินคดี พบว่า เกือบทั้งหมดของสำนวนส่งฟ้อง ไม่ได้ระบุข้อมูลการกระทำ “ความผิดซ้ำ” ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญมากในการ “เพิ่มโทษตามลำดับขั้นความผิด” เพราะทางตำรวจยังมีข้อจำกัดในการลงบันทึกประวัติคดีเมาขับและขาดกระบวนการตรวจสอบที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ (คดีเมาขับ ไม่ได้ชนกับใคร เมื่อตรวจพบต้องส่งฟ้องศาลภายใน 48 ชม.) ในขณะที่ต่างประเทศ การระบุความผิดซ้ำ และ เพิ่มโทษ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการกับคนเมาแล้วขับ เพราะโทษที่รุนแรงขึ้น จะทำให้ผู้ที่คิดกระทำความผิดเกรงกลัวและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ที่สำคัญอีกประการ คือกลุ่ม “เมาขับ ชนคนตาย” กลับพบว่า คดีส่วนใหญ่ ในชั้นศาลจะจบลงด้วยคำตัดสินให้มีการชดใช้เหยื่อ และโทษจำคุก จะได้รับการ “รอลงอาญา” เพราะศาลยังคงมองว่าคดีเมาขับ เป็นเรื่อง “ประมาท” ไม่ใช่เจตนา (อ้างอิง ฎีกา 4067/2550 ซึ่งจำเลย เมาขับชนคนเสียชีวิต สุดท้ายตัดสินตาม ป.อ.มาตรา 291 ที่ระบุว่าเป็นโทษประมาท)
ในขณะที่ ต่างประเทศที่มีการจัดการปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะมองว่า “เมาขับ ชนคนตาย” เป็นเรื่องของ “เจตนา” ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น อเมริกา เกาหลี สิงคโปร์ (กรณีศึกษาญี่ปุ่น เมื่อแก้กฎหมายในปี 2001 เปลี่ยนจากโทษประมาท เป็น “เจตนา” จำคุกสูงสุด 20 ปี พบว่าจำนวนการกระทำความผิด และยอดคนตายจากเมาขับ ลดลง 75% ในช่วง 10 ปี และผลสำรวจในปี 2008 ก็ยังคงพบว่า คนญี่ปุ่น ร้อยละ 70 อยากให้มีโทษที่หนักขึ้น)
(4)ขาดแรงหนุนจาก “ต้นสังกัด และ กระแสสังคม” เพราะบทเรียนการบังคับใช้ที่ได้ผล ต้องอาศัยแรงหนุนจากต้นสังกัด และ กระแสสังคม กรณีญี่ปุ่น นอกจากกฎหมายจะลงโทษแรงแล้ว ผู้ที่เมาขับชนคนตายหรือบาดเจ็บ จะถูกไล่ออกจากงานด้วย
การที่ต้นสังกัดมีมาตรการเข้มกับพนักงานในองค์กร จะเป็น “ยาแรง” ที่มาเสริมให้ผู้ที่จะมีพฤติกรรม “ดื่มแล้วขับ” ต้องคิดทบทวนให้ดี เพราะไม่เพียงการถูกตรวจจับและบทลงโทษตามกฎหมาย แต่จะมีผลถึง “อนาคตในชีวิตการทำงาน” ของตัวเองด้วย
ณ ขณะนี้ ได้เริ่มมีหลายหน่วยงานเริ่มส่งสัญญาณให้เอาจริงกับผู้กระทำความผิดกฎหมายจราจรทางบก อาทิ ต้นสังกัดนักร้องค่าย RS ที่เมาขับ ถูกแบนไม่ให้รับงาน 3 เดือน และ ล่าสุดกรณีนายกสั่งให้ ต้นสังกัด เอาจริงกับทหารที่ “ไม่สวมหมวกนิรภัย” และฝ่าฝืนการตรวจจับของตำรวจ ให้มีการลงโทษ แต่อย่างไรก็ตาม กรณีผู้กระทำความผิด เป็นผู้มีตำแหน่งสูง (VIP) ยังมีความเกรงใจจากต้นสังกัด ดังจะเห็นได้จากกรณี รองอธิการบดี ราชภัฎแห่งหนึ่ง และ อัยการ ที่มีอาการเมาพร้อมทั้งปฏิเสธการปฏิบัติงานของตำรวจในจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์
จากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ปัญหานี้ยังคงวนเวียน สร้าง “เหยื่อ ที่เกิดจากคนเมาขับ” ให้กับครอบครัวและสังคม แทบจะทุกวัน ถ้าตราบใดยังไม่มีการแก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจัง ดังนั้น “ยาแรง” ที่จะช่วยให้ปัญหานี้ลดลง หรือหมดไปกับสังคม ได้แก่
ระยะเร่งด่วน
1)ศาลพิจารณาลงโทษกรณีอุบัติเหตุ “เมาขับ ชนคนตาย” ด้วยโทษสูงสุด คือจำคุก 10 ปี
ส่วนกรณี “เมาขับ” ไม่เกิดอุบัติเหตุ พิจารณาให้มีการ “กักขัง” แทนการรอลงอาญา พร้อมทั้งสั่งสืบเสาะผู้กระทำความผิด เพื่อตรวจสอบประวัติกระทำความผิดซ้ำและพิจารณาเพิ่มโทษ และ ขอให้มีการเผยแพร่คำพิพากษาคดีเมาขับชนคนตาย เพื่อให้ “จำเลยและสังคม” ตระหนักว่า “เมาขับ” เป็นพฤติกรรมที่อันตราย ส่งผลให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และไม่ใช่เรื่องเพียงความประมาท
2)รัฐบาลเร่งสนับสนุน “เครื่องตรวจเมา” และ ค่าใช้จ่ายในการสอบเทียบ (calibrate) เครื่อง ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้เพียงพอ อย่างน้อย 2 เครื่อง / สถานีตำรวจภูธร
3)สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพิ่มจำนวนการตรวจจับและดำเนินคดี ในช่วงเวลาที่จะมีคนเมาขับอยู่บนท้องถนน (เช่น กลางคืน-ดึก, วันศุกร์-เสาร์) และ ดำเนินคดีกับสถานบันเทิง ร้านอาหารที่เปิดและขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกิดเวลากฎหมายกำหนด พร้อมทั้ง เร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูล “กระทำความผิดซ้ำ” เพื่อให้มีข้อมูลประกอบการ “เพิ่มโทษ” ผู้กระทำความผิด
ความพยายามที่จะเพิ่มรถนำขบวนนักปั่นจักรยาน เป็นแนวคิดที่ดี แต่ควรเน้นไปที่บทบาทตำรวจ ในการตรวจจับคนเมาเป็นหลัก จะแก้ได้ตรงจุด และสร้างความปลอดภัยไม่เฉพาะนักปั่นจักรยาน แต่กับสังคมในภาพรวม
ระยะกลาง-ยาว
1)แก้กฎหมาย ให้ความผิดจาก “เมาขับ ชนคนตาย” เป็น “เจตนา” ไม่ใช่ความ “ประมาท” แบบที่ในระดับสากลมีการนำมาใช้
2)แก้ไขกฎหมาย โดยกำหนดให้ทุกกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรุนแรง (เสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส) ต้องมีการตรวจวัดแอลกอฮอล์ในผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทุกราย
3)เร่งส่งเสริมความตระหนักของสังคม และ มาตรการของหน่วยงาน (ต้นสังกัด) ให้เข้ามาร่วมรับผิดชอบ พนักงาน/หรือบุคลากรในสังกัด ที่กระทำความผิด โดยอาศัย “มาตรการองค์กร” ที่มีผลต่อพฤติกรรมของคนในองค์กร เช่น การมีบทลงโทษตัดเงินโบนัส เงินเดือน หรือพิจารณาความดีความชอบ ฯลฯ
ตราบใด ที่สังคมและผู้ที่ต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะรัฐบาล ยังคงมองปัญหา “เมาขับ” เป็นเรื่องปกติ และไม่มีการเอาจริงเอาจัง เหตุการณ์เศร้าสลดเหมือนในครั้งนี้ ก็ยังคงวนเวียนและสร้าง “เหยื่อ” รายใหม่ๆ ให้กับครอบครัวและสังคม แทบจะทุกวัน .. น่าจะถึงเวลาแล้วที่สังคมไทย จะต้องใช้ “ยาแรง”
ภาพประกอบจาก : www.siamsafety.com