เสียงสะท้อนจากบางกอกโพสต์ กรณี "เอริก้า ฟราย"

ในการประกอบอาชีพผู้สื่อข่าวของเรานั้น เราต่างทราบว่าในแต่ละเรื่องมีมากกว่า 1 ด้าน บทความของ น.ส.เอริก้า ฟราย (Erika Fry) ที่ชื่อ “การหลบหนีจากประเทศไทย” ได้กล่าวหาหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ว่าไม่ปกป้องเธอในคดีหมิ่นประมาท ซึ่งเธอถูกฟ้องร้องพร้อมกับบรรณาธิการและบริษัท เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงเลย บทความของเธอเขียนเพียงด้านเดียว
นี่ไม่ใช่การปกป้องระบบกฎหมายไทยหรือกระบวนการกฎหมายไทย แน่นอนว่ากระบวนการดังกล่าวนี้จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น ถึงแม้ว่ามีหลายๆ ส่วนในบทความของ น.ส.เอริก้า ฟราย เป็นความจริง แต่ก็มีอีกหลายๆ ส่วนที่สำคัญนั้นไม่ถูกต้องและไม่จริง บางประโยคก็เป็นการกล่าวหาซึ่งไม่มีมูลความจริง เป็นการคาดคะเน หรือไม่ก็เป็นการเหน็บแนม
น.ส.ฟราย ได้รับมอบหมายให้ไปทำเรื่องเกี่ยวกับการลอกเลียน และเรื่องก็ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ และผลจากการนั้นก็คือ หนังสือพิมพ์ถูกฟ้องร้องในความผิดฐานหมิ่นประมาททางอาญาพร้อมกับบรรณาธิการ เรื่องดังกล่าวได้รับการอนุมัติให้ลงพิมพ์ได้โดย บก.หลายๆ คน แต่หนึ่งใน บก.ได้แสดงความไม่เห็นด้วย เพราะเกรงว่าหนังสือพิมพ์จะถูกฟ้อง
ข้ออ้างที่ น.ส.ฟราย บอกว่าไม่ทราบเรื่องนี้เลยนั้น ไม่เกี่ยวกับประเด็น เพราะประเด็นที่สำคัญก็คือเรื่องของเธอได้รับการตีพิมพ์
การถูกกักขังในคุกแม้ว่าจะเป็นการชั่วคราว 1 วันในต่างแดนนั้น อาจจะเป็นความรู้สึกที่ขมขื่น ถึงแม้ว่าผมไม่เคยถูกกักขังในต่างแดน แต่ก็เคยถูกกักขังชั่วคราวภายในสถานการณ์เช่นเดียวกับที่ น.ส.ฟราย ได้เผชิญมา และ บก.กับนักข่าวหลายๆ คนก็เคยผ่านประสบการณ์อันไม่น่าพึงปรารถนานี้เช่นกัน และผมก็เข้าใจดีว่า น.ส.ฟราย มีความรู้สึกอย่างไร
โดยปกติเมื่อคดีหมิ่นประมาทถูกฟ้องไปยังศาล และจำเลยตกลงใจที่จะสู้คดี ศาลมักจะเรียกเงินค้ำประกันสำหรับการประกันตัว และเมื่อศาลได้มีคำสั่งเช่นนั้น ทนายก็มักจะขอให้มีการประกันตัวลูกความ ในระหว่างนั้นก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งใดๆ เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา อาจจะหลายชั่วโมงหรือยาวกว่านั้น ขึ้นกับเจ้าหน้าที่ศาลและกระบวนการ
ในขณะที่จำเลยกำลังรอคอยว่าจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ จำเลยเหล่านั้นก็จะต้องถูกกักขัง หนังสือพิมพ์ทั้งหลายในประเทศไทยรวมทั้งหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ก็เคยขอหลักประกันสำหรับบรรณาธิการและนักข่าวว่า ในระหว่างรอประกันตัวนั้น ให้กักขังอยู่ในห้องซึ่งไม่ใช่ที่คุมขัง แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นย่อมขึ้นกับดุลพินิจของศาลว่าจะอนุญาตหรือไม่ บางครั้งศาลในกรุงเทพฯก็อนุญาต แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเสมอไป โดยเฉพาะศาลในต่างจังหวัด เช่น ศาลนครปฐม ซึ่งคดีนี้ถูกฟ้อง
น.ส.ฟราย บอกว่า ไม่มีความมั่นใจในตัวทนายความของบางกอกโพสต์ คือ คุณรณชัย เนตรอัมพร ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ เหตุผลประการหลักก็คือไม่สามารถให้รายชื่อของผู้ที่ถูกแบล็คลิสต์ให้กับเธอได้ ข้าพเจ้าขอบอกว่าเจ้าหน้าที่ถึงแม้ว่าจะยอมรับว่ามีรายชื่อแบล็คลิสต์ แตก็ไม่ใช่ว่าจะเอารายชื่อนี้ออกมาได้ และนี่ไม่ใช่เหตุผลที่ น.ส.ฟราย บอกว่าไม่เชื่อมั่นในบางกอกโพสต์หรือตัวทนาย
อีกข้ออ้างหนึ่งก็คือ คุณรณชัยพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย น.ส.ฟราย บอกว่ารู้จักกับทนายคนหนึ่งซึ่งได้บอกกับเธอว่า รณชัยไม่เคยชนะคดีเลยในการต่อสู้คดีให้กับบางกอกโพสต์ ข้อกล่าวหานี้ก็ไม่จริง เพราะคุณรณชัยทำงานให้บางกอกโพสต์เป็นเวลา 15 ปี และได้ต่อสู้ให้กับ บก.ถึง 3 คน และคนอื่นๆ ในหนังสือพิมพ์ และที่ผ่านมาก็มี 3 คดีเท่านั้นที่บางกอกโพสต์แพ้ อีก 40 คดีชนะ
การที่คุณรณชัยไม่รู้ภาษาอังกฤษหรือรู้น้อยมากจึงไม่มีเหตุเกี่ยวข้องกับการทำงานต่อสู้คดีให้กับบางกอกโพสต์
คุณรณชัยหรือทนายคนอื่นไม่มีอำนาจเหนือกระบวนการทางกฎหมายและการตัดสินของศาล ซึ่งในเบื้องต้นศาลไม่อนุญาตให้ น.ส.ฟราย ออกนอกประเทศ แต่ในที่สุดคุณรณชัยก็ทำให้ศาลอนุญาตให้เธอออกนอกประเทศได้เพื่อไปทำงานข่าวชิ้นหนึ่ง โดยที่หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์เป็นคนรับประกันว่าเธอจะไม่หลบหนี แต่ น.ส.ฟราย ได้กล่าวหาบางกอกโพสต์ว่าละทิ้ง ไม่ช่วยเหลือ ซึ่งไม่เป็นความจริง
โดยปกติแล้วคดีในศาลต้องใช้เวลา และอาจจะยืดยาวเป็นปี คดีหมิ่นประมาทซึ่งฟ้องร้องกับหนังสือพิมพ์นั้น นอกจากผลของมันจะไม่ค่อยเป็นเรื่องเร่งด่วนของศาลแล้ว ในหลายๆ คดีถึงแม้ว่าจำเลยจะถูกตัดสินว่ามีความผิด แต่ศาลมักจะให้คำพิพากษาประเภทรอลงอาญา ดังนั้นในคดีหมิ่นประมาทซึ่งฟ้องหนังสือพิมพ์ ศาลมักจะต้องการให้คู่ความมาประนีประนอมยอมความกันมากกว่า และหลายๆ คดีก็จบลงด้วยการยอมความ ซึ่งเป็นวิธีการปกติ
ในกรณีนี้โจทก์คือ นายศุภชัย หล่อโลหะการ ได้เคยมาที่หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ หลังจากได้ฟ้องหนังสือพิมพ์แล้ว เพื่อเสนอให้มีการไกล่เกลี่ยยอมความกัน ในระหว่างนั้น น.ส.ฟราย ก็อยู่ด้วยระหว่างการหารือพร้อมกับ บก.อีกหลายๆ คน โจทก์คือนายศุภชัยบอกว่า เป้าหมายหลักของเขาคือ นายวิน เอลลิส แหล่งข่าวของ น.ส.ฟราย ซึ่งถูกฟ้องไปแล้ว นายวิน เอลลิส กับนายศุภชัยเคยเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกันมาก่อน และมีคดีฟ้องระหว่างกัน
นายศุภชัยบอกว่า บก.บางกอกโพสต์ และ น.ส.ฟราย ไม่ใช่เป้าหมายหลัก ได้เสนอที่จะถอนฟ้องทั้ง บก.และน.ส.ฟราย โดยยื่นเงื่อนไขว่า บางกอกโพสต์ต้องเอาเรื่องออกจากเว็บไซต์ แต่ บก.ได้ปรึกษากับคุณรณชัยทนายของบริษัทแล้ว ทนายแนะนำว่าการถอดเรื่องออกจากเว็บไม่เกี่ยวกับคดี ในที่สุดบางกอกโพสต์ก็ไม่ยอมถอดเรื่องออกจากเว็บ
การที่นักข่าวถูกเรียกตัวไปขึ้นศาลหรือไปเป็นพยาน ถือเป็นเรื่องปกติในคดีหมิ่นประมาท และโจทก์คือนายศุภชัยต้องการให้นักข่าวยืนยันว่าคำให้สัมภาษณ์ของนายเอลลิสที่ตีพิมพ์นั้นถูกต้อง และการกระทำนี้ไม่ได้เป็นการยอมรับผิด แต่เป็นการยืนยันว่าการให้สัมภาษณ์นั้นถูกต้อง หนังสือพิมพ์และผู้สื่อข่าวถูกฟ้องเป็นจำเลย โจทก์ต้องการคำให้การของนักข่าวเพื่อประกอบเป็นหลักฐานในการฟ้องคนอื่น แต่ น.ส.ฟรายไม่ยอม ไม่เห็นด้วย และเรียกร้องให้ถอนฟ้องคดีไปก่อนที่จะให้การในศาล แต่โจทก์ไม่ยอม น.ส.ฟรายก็ไม่ยอมเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ทาง บก.พยายามแก้ปัญหาที่เป็นเงื่อนตายนี้
โดย
พิชาย ชื่นสุขสวัสดิ์
บรรณาธิการอำนวยการ
บริษัทโพสต์ พับลิชชิง จำกัด (มหาชน)
ข่าวประกอบ : บางกอกโพสต์ ความยุติธรรม กม.หมิ่นประมาท และการหลบหนี
