ข่าวกระแส ‘มักง่าย-ไร้สาระ’ท้าทายองค์กรสื่อ ‘มืออาชีพ’
เมื่อธุรกิจสื่อมีการลงทุนสูง มีคู่แข่งในเส้นทางเดียวกันมากมาย ก็เป็นเรื่องปกติที่ต้องแข่งขันกันเพื่อสร้างความนิยมในตัวองค์กรสื่อ เพราะหากทำได้ย่อมหมายถึงเม็ดเงินค่าโฆษณาที่จะตามมา

ความนิยมเหล่านั้นสะท้อนผ่านการสร้างกระแสให้กับสื่อของตัวเอง โดยเฉพาะเว็บไซต์ข่าวที่เน้นยอดคนอ่าน ยอดไลค์ ยอดแฟนเพจ จึงนำเสนอข่าวหรือคลิปข่าวที่อยู่ในกระแสความสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นข่าวแปลก ข่าวเชิงดราม่า ทั้งที่ในเวลาต่อมากลับพบว่าเนื้อหาเหล่านั้นสวนทางกับข้อเท็จจริง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น คลิป “เหนียวไก่” ของน้องไลล่า ซึ่งสุดท้ายไม่มีอะไรในกอไผ่ หรือข่าวแปลกๆ อย่าง “ลูกหมาพูดได้คำต่อคำ” ที่สุดท้ายลูกสุนัขตัวนั้นป่วยเป็นโรคลำไส้เลื่อนติดกับหลอดลม จึงทำให้ออกเสียงคล้ายพูด หรือแม้แต่ข่าว “ทวารบาลวัดบวรฯ เลือดออกปาก” ที่เกิดขึ้นจากคราบกาแฟซึ่งคนนำมาเซ่นไหว้เท่านั้น รวมถึงข่าว “แท็กซี่ทิ้งผู้โดยสารต่างชาติบนทางด่วน” ซึ่งภายหลังตรวจกล้องวงจรปิดพบว่าผู้โดยสารขอลงจากรถเอง คนขับพยายามห้ามแล้วแต่ไม่ฟัง
การเสนอข่าวแบบรวดเร็วเน้นการสร้างเรตติ้ง โดยไม่ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงสร้างความเสียหายมากมาย ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายสื่อสารองค์กร และอาจารย์คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) วิเคราะห์ว่า ในอดีตสื่อมวลชนอาจกล้าๆ กลัวๆ ที่จะนำเสนอข่าวในลักษณะนี้ แต่เมื่อเห็นสื่อสำนักอื่นเสนอได้ ตัวเองก็เลยเสนอจนกลายเป็นเรื่องปกติ และแนวโน้มข่าวลักษณะดังกล่าวจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งในคณะอนุกรรมาธิการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการรู้เท่าทันสื่อ ในคณะกรรมาธิการปฏิรูปสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติ บอกอีกว่า การนำเสนอดังกล่าวทำให้สื่อเลือกที่จะเขยิบข้ามเรื่องจรรยาบรรณ หรือธรรมเนียมปฏิบัติของข่าวปกติไปเรื่อยๆ
นักวิชาการผู้นี้ ประเมินว่า การนำเสนอข่าวแบบนี้จะเป็นไปอีกสักระยะ เพราะเป็นข่าวที่ทำง่าย หรือเรียกได้ว่ามักง่าย คือมีแค่คลิปอันเดียวจบ ไม่ต้องมีอะไรประกอบก็เสนอกันได้แล้ว ที่ผ่านมามีเฉพาะคลิปข่าวไร้สาระในประเทศ แต่ขณะนี้กลับไปแสวงหาคลิปนอกประเทศที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสังคมไทยเลย
“อย่างเช่นคลิปเมียหลวงตบเมียน้อยที่กวางโจว ประเทศจีน เล่นกับเรื่องความสนใจของมนุษย์ขั้นพื้นฐานคือเรื่องเพศ ก็นำมาขายได้ ไปดึงมาจาก youtube โดยไม่มีการเซ็นเซอร์ ภาพรุนแรงยิ่งทำให้คนชาชิน ซึ่งจะเกิดผลระยะยาวต่อสังคม” นักวิชาการรายนี้ระบุ
อาจารย์ด้านการสื่อสารจากมหาวิทยาลัยนิด้า บอกว่า เป็นเรื่องที่จะท้าทายความเป็นมืออาชีพของคนทำสื่อไม่น้อยว่าสุดท้ายต้องการอะไรกันแน่ จะทำหน้าที่เป็นผู้กลั่นกรองข่าวสาร หรือหวังเรื่อง Marketing เพื่อเม็ดเงินค่าโฆษณาเท่านั้น
“ถามว่าสื่อมวลชนจะเล่นข่าวตามกระแสไปเรื่อยๆ หรือมีหน้าที่ไปหาข่าวที่เป็นประโยชน์ ที่สังคมควรรู้ แล้วนำมาเสนอ ตรงนี้มันข้ามพ้นเรื่อง Marketing ไปแล้ว แต่เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เป็นเรื่องที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ใช่สำนักข่าวแบบสำนักข่าวแมวเหมียว สำนักข่าวกุ๊กไก่ แต่เป็นสื่อมืออาชีพที่มีอาชีพอยู่ด้วยการทำข่าว ไม่ใช่ด้วยการหาโฆษณาจากข่าวที่คนกดไลค์ ซึ่งอยู่ที่ผู้บริหารองค์กรสื่อด้วยว่า ในช่วงการแข่งขันแบบนี้ องค์กรของตัวเองจะต้องตามกระแสหรือไม่ มันต้องมีข่าวหลักให้ประชาชนยึดถือด้วย” อาจารย์วรัชญ์ ตั้งคำถาม
เขาวิพากษ์การนำเสนอของสื่อออนไลน์อย่างตรงไปตรงมาว่า เมื่อดูการแข่งขันแล้ว บางสำนักข่าว อย่าง “ข่าวสด” กับ “แนวหน้า” บางทีก็เล่นมากเกินไป หรืออย่าง “ไทยรัฐ” ก็อาจมองว่าเราเป็นอันดับหนึ่งแต่ข่าวสดมียอดไลค์มากกว่า ก็อาจไม่ยอม เส้นกั้นทางศีลธรรมก็ค่อยๆ บางลงเรื่อยๆ
หรืออย่างเว็บ “โพสต์ทูเดย์” ซึ่งเป็นเว็บข่าวของหนังสือพิมพ์ธุรกิจ ระยะหลังเล่นแต่ข่าวที่หาสาระอะไรไม่ได้เลย ที่ไม่ควรเป็นข่าวก็เอามาเป็นข่าวเพียงเพราะมันอยู่ในกระแส ยังไม่นับเรื่องคุณภาพของการสื่อสารที่แย่มาก เช่น เขียนผิดเขียนถูก พาดหัวไม่ได้เรื่อง เพราะคิดแค่ว่าพาดแบบนี้แล้วจะดึงดูดคนอ่านได้
“เรื่องแบบนี้มันจะกระทบกับชื่อเสียงของสำนักพิมพ์ แต่ว่าตอนนี้คนไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เพราะตราบใดที่มันไม่ได้ไปหมิ่นประมาท หรือผิดกฎหมาย ก็ทำๆ กันไปก่อน ก็ทำให้คุณภาพข่าวโดยรวมค่อนข้างตกต่ำลงไป เพราะเมื่อบางสำนักเห็นสำนักอื่นทำ เช่น ไทยรัฐ เดลินิวส์ เห็นข่าวสดทำ เห็นโพสต์ทูเดย์ทำ เห็นคมชัดลึกทำ ก็เลยทำๆ ตามกันไป” อาจารย์วรัชญ์ กล่าวชัด
เขาแสดงความคิดเห็นต่อไปว่า ส่วนตัวแล้วไม่เชื่อในระบบตรวจสอบกันเอง เพราะเป็นการตรวจสอบกันเองโดยไม่มีหลักการ คือไม่ต้องถึงกับให้คุณให้โทษก็ได้ แต่ขอให้มีระบบอะไรสักอย่างที่มันจะมีผล ไม่ใช่น้อยใจก็แค่ลาออก ดังนั้นก็ต้องมาปฏิรูปสื่อกันใหม่
ผู้ช่วยอธิการบดีรายนี้ ย้ำว่า เชื่อว่าคนในวงการสื่อก็เห็นปัญหา คำถามคือจะอยู่กันแบบนี้หรือ จะปล่อยให้ความเชื่อถือในสำนักข่าวตกต่ำลงไปเรื่อยๆ แล้วปล่อยให้มีพวกสำนักข่าวแมวเหมียวขึ้นมา ลูกหลานเติบโตขึ้นมาแบบนี้ คือมันมีทางเลือกได้ แต่ว่าต้องมีหลักยึดด้วย คนก็ต้องการอยากรู้ข่าวแบบซีเรียสจริงจังด้วย
“การเลือกลงโฆษณาของเอเจนซี่ เขาไม่ได้ดูอะไรมากไปกว่าเรตติ้ง เช่นทีวี เขาก็ต้องดูว่ารายการไหนมีคนนิยมก็เลือกลงสื่อนั้น ส่วนสื่อออนไลน์ก็ต้องดูยอดไลค์หรือยอดคนอ่าน อย่างที่นิด้าเวลาจะเผยแพร่ประชาสัมพันธ์อะไรผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ต ก็จะต้องหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจว่าเว็บไซต์อันดับหนึ่งคืออะไร ยอดคนเข้าไปอ่านเว็บนี้หรือเห็นเว็บนี้เฉลี่ยอยู่ที่เท่าไร ...”
“... ตราบใดที่การนำเสนอแบบนี้ยังขายได้ก็ต้องมีแบบนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งผมก็มีความหวังว่าการปฏิรูปสื่อครั้งนี้น่าจะมีอะไรเป็นรูปธรรมบ้าง แต่ดูแล้วหลังจากนี้ต่อไปคนทำก็คงเริ่มหมดมุขเหมือนกัน ไม่รู้จะหาคลิปจากไหนมานำเสนอ แล้วก็ต้องใช้วิธีไปดูของต่างประเทศว่ามีอะไรบ้างที่โหดๆ ฉาวๆ ซึ่งต่อไป เชื่อว่าคนก็จะเริ่มเบื่อ แล้วสื่อก็ต้องเปลี่ยนรูปแบบไปเองในที่สุด”
เป็นทัศนะจากนักวิชาการ ซึ่งคนทำสื่อนอกจากต้องรับฟังแล้ว ยังต้องนำมาคิดพอสมควร
ขอบคุณเนื้อหาจาก จุลสารราชดำเนิน ฉบับที่ 29 ประจำเดือน พฤษภาคม 2558
ขอบคุณภาพประกอบจาก www.catdatacom.com
