ขบวนการปราบปอบ ความเชื่อหรือ ความจริงที่ถูกสร้าง....
เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อที่ข่าว “ผีปอบ” ออกอาละวาดในพื้นที่ต่าง ๆ ของภาคอีสานที่เป็นความเชื่อเก่าแก่ตั้งแต่โบราณกาลมาจนถึงยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคแห่งการสื่อสารไร้พรมแดน ยุคที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลและบทบาทสำคัญกับผู้คนในสังคม คลิปจากกล้องมือถือหรือแม้แต่ภาพจากช่องข่าวกระแสหลักที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีกรรมการปราบผีปอบ การไล่จับปอบ การเผาทำลายปอบที่จับได้ในรูปแบบต่าง ๆ ยังคงแพร่กระจายออกทางโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างต่อเนื่องให้เห็นอยู่เป็นประจำ

เมื่อความเชื่อเรื่องปอบยังฝังแน่นอยู่ในความคิดของคนอีสานการเยียวยารักษาและพิธีกรรมที่เป็นเครื่องปลุกขวัญกำลังใจให้กับคนในหมู่บ้านที่เกิดเหตุการณ์จึงเป็นสิ่งจำเป็นตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“พิธีกรรมปราบผีปอบ” มีทั้งพิธีกรรมที่ทำในระดับตัวบุคคลหรือกลุ่มคนที่เชื่อว่าถูกผีปอบเข้าสิงร่าง....ส่วนใหญ่จะนิยมนิมนต์พระสงฆ์มาประกอบพิธีกรรมสวดคาถาอาคม.. รดน้ำมนต์ขจัดปัดเป่าวิญณาณร้ายให้ออกไปจากตัว จากนั้นก็จะทำพิธีผูกข้อมือด้วยด้ายสายสิญจ์ ที่ปลุกเสกไว้แล้ว ถ้าอาการของคนไข้หรือคนที่เชื่อว่าถูกผีเข้านั้นหายเป็นปลิดทิ้งก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อเรื่องผีปอบกันมากขึ้น.....
ส่วนในชุมชน... ถ้าหมู่บ้านไหน มีคนเสียชีวิตติดต่อกันหลายศพ อาจจะพบว่า ประชาคมของชุมชนนั้น.. เชื่อว่าเกิดจากฝีมือของผีปอบ ผู้นำชุมชนก็จะเป็นหัวเรือใหญ่ในการพาชาวบ้านลงขันเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการว่าจ้าง “หมอผี” มาช่วยปราบผีปอบ
ไม้มะขาม หญ้าคา กระบอกไม้ไผ่ คือ อุปกรณ์ปราบปอบ ซึ่งคนในพื้นที่เชื่อกันว่า เป็นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ที่จะสามารถไล่ภูตผีปีศาจได้ รวมทั้งผีปอบ โดยการนิมนต์พระเกจิ หรือหมอผี ชื่อดังที่มีชื่อเสียงด้านการปราบผีปอบมาที่หมู่บ้าน
ก่อนถึงวันทำพิธี ผู้นำชุมชนหรือคณะกรรมการหมู่บ้านจะประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านร่วมกันบริจาคเงินเพื่อเป็นค่ายกครูให้คณะที่จะมาทำพิธีปราบปอบซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเก็บครอบครัวละ 100 บาท ถ้าเป็นหมู่บ้านใหญ่เช่นมี 500 หลังคาเรือนก็จะเก็บเงินได้กว่า 50,000 บาท เลยทีเดียว
รายได้จากการรับจ้างปราบปอบ ทำให้มีกลุ่มคนมองเห็นช่องทางในการทำมาหากินรูปแบบใหม่ ล่าสุดเมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2557 ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ได้มีกลุ่มคนภายนอกเข้าไปในหมู่บ้านแล้วพยายามสร้างสถานการณ์ว่าหมู่บ้านนี้มีปอบอยู่ในพื้นที่หลายตัว พร้อมทั้งเสนอตัวว่าเป็น “ทีมปราบปอบ”
เมื่อผู้สื่อข่าวลงไปในพื้นที่ตามที่แจ้ง กลับพบว่า ไม่มีชาวบ้านคนไหนยอมให้ข้อมูลเรื่องนี้ บอกเพียงว่าเป็นเรื่องที่ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยว เพราะกลัวว่าปอบจะมาเล่นงาน
เมื่อพิจารณาจาก คลิปวีดีโอการปราบผีปอบ จากทั้งในข่าวคลิปข่าวหรือคลิปวีดีโอในยูทูป จะสังเกตได้ว่า กลุ่มที่มาทำพิธีปราบปอบนั้นจะเป็นกลุ่มเดิม ๆ ใช้วิธีการปราบแบบเดิม ๆ ที่เรียกว่า “เซียงข่องกระบอกไม้ไผ่” คือมีการทำพิธีตามความเชื่อแล้วก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์ถือไม้เดินตามหาปอบในสถานที่ต่าง ๆ ของหมู่บ้าน เมื่อเจอก็จับใส่กระบอกไม้ไผ่ ซึ่งแต่ละพื้นที่จะจับได้มากน้อยไม่เท่ากัน แต่ส่วนใหญ่ก็จับได้จำนวนนับร้อยสองร้อยตัวก็มี
ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษเพียงจังหวัดเดียว มีสำนักปราบปอบด้วยกัน 4 สำนัก อยู่ในพื้นที่ อ.พยุห์ อ.ขุขันธ์ อ.เบญจลักษ์ และ อ.ยางชุมน้อย จากการสอบถามทราบว่า ทั้ง 4 สำนักนี้ มีลักษณะการทำงานคล้าย ๆ กัน คือ มีการเปิดสำนักงานรับจัดพิธีกรรมปราบผีปอบ ซึ่งนอกจากการเปิดสำนักงานรอให้คนมาติดต่อไปทำพิธีแล้ว ยังมีกลุ่มคนที่เดินสายออกไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ หรือที่เรียกกันว่า การออกหารับงานด้วย
คนกลุ่มนี้มีหน้าที่ในการลงพื้นที่เพื่อเสาะหาหมู่บ้านที่ได้ข่าวว่ามีคนถูกปอบเข้า หรือหมู่บ้านที่มีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นต่อเนื่อง ก็จะเสนอให้ผู้นำหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องร้ายเหล่านั้นไปจ้างสำนักปราบผีปอบของตัวเองมาทำพิธี
“การปราบผีปอบ” หากเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล กลุ่มคนหรือชุมชน การว่าจ้างเป็นไปโดยความสมัครของคนในชุมชนผ่านการประชุมในระดับหมู่บ้าน ทำเพื่อให้เกิดความสบายใจ ซึ่งถือว่าก็เป็นเรื่องปกติ
แต่บางกรณี ทำให้เกิดการใส่ร้ายกล่าวหาตัวบุคคล ว่าเป็นปอบ สร้างความสับสนแตกแยกกันขึ้นในชุมชน ทั้งที่ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ผ่านคำพูดของกลุ่มคนที่อ้างตัวว่าเป็นหมอผีกลุ่มนี้เท่านั้น และทำให้มีผู้เดือดร้อน ถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน ตามที่เคยปรากฎเป็นข่าวหลายชิ้นก่อนหน้านี้
หมู่บ้าน 2 แห่ง (ไม่ขอระบุชื่อ) ในพื้นที่ตามที่ระบุว่า มีขบวนการปราบปอบออกดำเนินการอยู่ มีประวัติการก่อตั้งหมู่บ้านคล้ายกัน คือ เป็นหมู่บ้านใหม่ ที่เกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่เคยถูกชาวบ้านในหมู่บ้านเดิม ครหา กล่าวหา หรือขับไล่ออกจากหมู่บ้านในข้อหามีพฤติกรรมที่ต้องสงสัยว่าจะเป็น “ปอบ”
เมื่อคนเหล่านี้ถูกกล่าวหาจาก “กลุ่มหมอผี ขบวนการปราบปอบ” ว่า เป็น “ปอบ” ถ้าไม่หนีออกจากหมู่บ้าน ก็จะถูกกลั่นแกล้งโดยใช้มาตรการทางสังคมกดดัน ไม่พูด ไม่คุย ไม่คบหาสมาคม ไปจนถึงมาตรการรุนแรง คือการรวมตัวกันขับไล่ให้ออกจากหมู่บ้าน
“กลุ่มคน” ที่จะถูกยัดเยียดข้อหาว่าเป็นปอบ จะมีพฤติกรรมเด่นๆอยู่ 2 แบบคือ กลุ่มแรก เป็นคนที่ขยันขันแข็งทำมาหากินได้ผลผลิตเกินหน้าเกินตาจนถูกมองว่าเกินความเป็นจริง อย่างเช่นพื้นที่ทำนา 5 ไร่ เพื่อนบ้านคนอื่นจะปลูกข้าวได้ผลผลิตประมาณ 30 – 50 กระสอบ (ขึ้นอยู่กับพื้นที่) ขณะที่คนที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นปอบจะสามารถปลูกข้าวได้ผลผลิตมากกว่า 100 กระสอบ ซึ่งในอดีตคนส่วนใหญ่จะเชื่อว่าต้องเป็นปอบ หรือเป็นผู้ที่สามารถใช้เวทมนต์คาถาจึงจะสามารถทำเช่นนั้นได้ แต่ปัจจุบันทฤษฎีการทำนา 1 ไร่ 1 แสนบาทก็พิสูจน์ได้แล้วว่าการปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตสูงกว่าคนอื่น สามารถทำได้จริงผ่านความรู้ทางการเกษตรและความขยันขันแข็ง
กลุ่มที่ 2 เมื่อมีคนตายในหมู่บ้านติดต่อกันหลายศพโดยไม่ทราบสาเหตุ ฆาตกรลี้ลับอันดับแรกที่คนจะคิดถึงก็คือ “ผีปอบ” ในกลุ่มนี้จะแบ่งได้เป็นอีก 2 แบบคือปอบที่เข้าไปกินคนแบบเงียบแล้วตายแบบสงบบางครั้งเรียกว่า ไหลตาย และแบบที่เข้าสิงร่างคนทั้งเป็นแล้วพูดจาเพ้อเจ้อไปเรื่อย มีอาการเกร็ง ชักกระตุก ตาลอย สั่นสะท้านไปทั้งตัว โดยไม่ทราบสาเหตุ อาการแบบนี้ชาวบ้านจะสรุปกันทันทีว่าผีเข้าและผีตนนั้นส่วนใหญ่ก็คือผีปอบนั่นเอง
ดร.เชิดศักดิ์ ฉายถวิล นักวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ที่ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง “หมู่บ้านผีปอบ” เปิดเผยว่า จากผลการวิจัยประเภทของคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบ มีอยู่ 2 ชนิดคือ ปอบถูกกล่าวหา ซึ่งมีลักษณะเป็นการกลั่นแกล้งของคนในหมู่บ้านที่มีปัญหาข้อพิพาทหรือทะเลาะเบาะแว้งกัน และกลุ่มผีปอบที่เชื่อว่าโดนผีเข้าสิงร่างอย่างจริงจัง คือมีลักษณะคล้ายผีปอบ แต่ก็ไม่สามารถหาข้อสรุปหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มายืนยันได้ โดยยังไม่มีนิยามความหมายได้ว่าเป็นอย่างไร ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษา โดยได้ลงพื้นที่คลุกคลีกับคนในหมู่บ้านปอบแห่งนี้มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง
“ขณะนี้กำลังรวบรวมเก็บข้อมูลและลงพื้นที่หมู่บ้านผีปอบ จ.ศรีสะเกษ แต่ขอไม่ระบุชื่อหมู่บ้าน เพราะเกรงจะมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตคนในหมู่บ้าน เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้เป็นการรวมตัวกันของคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบ และถูกขับไล่ออกจากพื้นที่ของตนในแต่ละจังหวัดในภาคอีสาน การทำวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจว่าคนที่ถูกกล่าวหาเป็นผีปอบและถูกขับไล่ออกจากชุมชนหรือถิ่นฐานเดิม แล้วมารวมตัวดำเนินชีวิตกันภายในหมู่บ้านเดียวกันโดยที่ไม่มีปัญหาอย่างชุมชนเดิมที่เคยอาศัยอยู่”
“ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปอบส่วนใหญ่ มักมีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ หรือมีพฤติกรรมทั้งในเชิงบวกและลบ ที่แตกต่างหรือไม่ปฏิบัติตามกลุ่ม แม้หมู่บ้านแห่งนี้จะเหลือผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นปอบโดยตรงเพียงไม่กี่คน แต่ข้อครหา ที่ยังไม่มีใครหาคำตอบได้ ว่าปอบคืออะไร ยังส่งผลกระทบต่อสมาชิกในครอบครัวแม้จะเป็นรุ่นลูกหรือหลานก็ตาม ”
ดร.เชิดศักดิ์ กล่าวถึงเป้าหมายงานวิจัยชิ้นนี้ โดยมุ่งหวังให้คนในชุมชนคลี่คลายความกลัวจากความเชื่อและค้นหาสิ่งที่ยังเป็นข้อสงสัยในเรื่องปอบอยู่ โดยจะนำผลการวิจัย ไปเผยแพร่ต่อในชุมชนอื่นๆ ที่มีความเชื่อเรื่องผีปอบ ในมุมมองเชิงวัฒนธรรม เพราะเห็นว่าวัฒนธรรมคือวงจรชีวิต อาชีพ การดำรงชีวิตอยู่กับสังคม
“คนในภาคอีสานตกเป็นเครื่องมือความเชื่อเรื่องผีปอบ ทำให้เกิดความขัดแย้งกัน และมีผลกระทบต่อโครงสร้างภายในชุมชนหรือครอบครัวได้ เพราะหากหมู่บ้านใดก็ตามที่เชื่อเรื่องนี้ ก็จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านสูญหายไป ตอนเย็นๆ ไม่กล้าออกจากบ้านไปพบปะพูดคุยกันตามวิถีชนบท” ดร.เชิดศักดิ์ กล่าว
ดร.เชิดศักดิ์ ยังนำเสนอประเด็นใหม่ที่น่าสนใจว่า ในพื้นที่ภาคอีสานนอกจากยังคงฝังแน่นไว้ซึ่งความเชื่อเกี่ยวกับภูตผีและเรื่องลี้ลับแล้ว ยังมีความเชื่อเรื่อง “ยาสั่ง” เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ควบคู่กันมา
“ยาสั่ง” ไม่ใช่เรื่องไสยศาสตร์อย่างเดียว แต่คือการใช้หลักวิทยาศาสตร์ผสมผสานกับไสยศาสตร์ หรือจะเรียกได้ว่า เป็นการปรุงยาสมุนไพรที่มีพิษนั่นเอง ยาสั่งมีหลายประเภท สั่งเป็น สั่งตาย สั่งให้รักให้หลง สั่งให้เป็นบ้าเสียสติ ก็ทำได้หมด ปัจจุบันคนที่ปรุงยาสั่งได้ก็ยังมีชีวิตอยู่ คนรุ่นใหม่ที่สนใจร่ำเรียนวิชาปรุงยาสั่งก็ยังมีอยู่ เมื่อเทียบกับขบวนการปราบปอบ จะเห็นว่า การปราบปอบ เป็นเรื่องของการเยียวยาจิตใจ จากความเชื่อที่เกิดขึ้นเองในชุมชนนั้นๆ
ถ้าหากวันใดวันหนึ่ง “ผีปอบ” เป็นเรื่องของความจริงที่ถูกสร้างขึ้นมาล่ะ ถ้าเกิด “ยาสั่ง” ถูกนำมาเป็นเครื่องมือสร้างผีปอบล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น..?
รายงานชิ้นนี้ ไม่มีเจตนาลบหลู่ความเชื่อเรื่องผีปอบ แต่เป็นความพยายามหาคำตอบว่า ถ้ามีผีปอบอยู่จริง แต่คนเหล่านี้ไปรวมตัวกันอยู่เป็นหมู่บ้านใหม่ เหตุใดคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบจึงสามารถไปอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนและขยายครอบครัวจนกลายเป็นหมู่บ้านใหม่ขึ้นมาได้
คนกลุ่มนี้เขาอยู่กันได้อย่างไร ทำไมไม่กินกันเองตายทั้งหมู่บ้าน ทำไมพวกเขาจึงอยู่รอดกันมาได้จนถึงปัจจุบัน... ที่สำคัญ... ถ้าความเชื่อเหล่านี้ ถูกผลิตซ้ำไม่จบสิ้น... กลุ่มคนที่มีบทบาทในเรื่องนี้ก็หนีไม่พ้น “ขบวนการปราบปอบ”
เมื่อรายได้จากการทำพิธีปราบปอบแต่ละครั้งเป็นที่ล่อตาล่อใจ ถึงเวลาหรือยังที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะลงมาจัดการกับ “ขบวนการปราบปอบ” เหล่านี้
ขอบคุณภาพประกอบจาก www.youtube.com
