จักรพงษ์ทัวร์ อุบัติเหตุซ้ำซาก ต้องรื้อระบบควบคุมรถสาธารณะ
จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เมื่อเช้าตรู่วันที่ 27 พฤษภาคม 2558 รถโดยสารประจำทางสาย เชียงใหม่ - อุดรธานี ของ บ.จักรพงษ์ทัวร์ เบรกแตกกลางเมืองลำปาง พุ่งชนรถนักเรียน และรถที่วิ่งบนถนน ก่อนพุ่งชนบ้านอีก 3 หลัง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 ศพ บาดเจ็บสาหัส 8 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อยอีกกว่าสิบราย
เป็นที่น่าตกใจ เมื่อย้อนกลับไปดู อุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะที่เกิดกับ บ.จักรพงษ์ทัวร์ จะพบว่าเกิดอุบัติเหตุใหญ่ทุกปี ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา นับรวมผู้บาดเจ็บอีก 144 ราย และที่สำคัญคือ ผู้เสียชีวิตมีจำนวนถึง 15 ราย (เฉลี่ย 4 ศพ/ครั้ง) ซึ่งถ้าไล่เรี่ยงลำดับเหตุการณ์ในรอบ 4 ปี จะพบดังนี้
1)วันที่ 21 เมย.2555 ครั้งนั้น เกิดเมื่อเวลา 23.30 น.ที่ อ.ลอง จ.แพร่ มีสาเหตุจากเบรกแตกบังคับรถไม่อยู่ โดยมีผู้บาดเจ็บ 25 ราย และเสียชีวิต 6 ราย (กระเด็นออกมาเสียชีวิตนอกรถ 2 ราย)
2)วันที่ 8 เมย. 2556 เวลา 23.30 น. ครั้งนี้ เป็นรถทัศนาจรมาวิ่งเสริม ทะเบียน 30-0365 เกิดเหตุที่รอยต่อ อ.ด่านซ้าย จ.เลย กับ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก โดยสาเหตุยังคงเป็นเบรกแตกบังคับไม่อยู่ และพุ่งลงเหว ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 51 ราย และเสียชีวิต 5 ราย
3)วันที่ 17 ตค. 2557 เวลา 23.30 น. เกิดเหตุที่ อ.ลอง จ.แพร่ โดยสันนิษฐานว่าขับเร็วประกอบกับทัศนวิสัยไม่ดี (หมอกลง) ทำให้พุ่งลงเหวข้างทาง โดยครั้งนี้ มีผู้บาดเจ็บ 18 ราย และเสียชีวิต 1 ราย
4)วันที่ 27 พฤษภาคม 2558 เวลา 7 น. (ครั้งนี้) เกิดในช่วงลงทางลาดชัน ก่อนถึงแยกไฟแดง กลางเมืองลำปาง โดยรถมีปัญหาระบบเบรก และพุ่งชนรถนักเรียน รถที่วิ่งบนถนน และพุ่งชนบ้านอีก 3 หลัง เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บ 50 ราย (จำนวนนี้สาหัส 8 ราย) และ เสียชีวิต 3 ศพ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ข้อสันนิษฐานสาเหตุอุบัติเหตุ 3 ใน 4 ครั้งจะเป็นระบบเบรกมีปัญหา (เบรกแตก) ซึ่งพบว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับทักษะความชำนาญของคนขับ ที่ต้องใช้ “ความเร็ว” และ “เกียร์” ให้เหมาะกับลักษณะเส้นทาง เช่น เมื่อถึงทางลงเขาติดต่อกัน ต้องใช้เกียร์ต่ำ เพื่อไม่ให้เบรกที่เป็นระบบหม้อลม ต้องทำงานอยู่ตลอดจนเกิดปัญหา “แรงดันลมหมด” หรือที่เรียกกันว่า “เบรกแตก”
เมื่อพิจารณาลักษณะของเส้นทางสาย เชียงใหม่-อุดรธานี จะพบว่า ระยะทางส่วนใหญ่จะเป็นภูเขามีทางลาดชันและเหวลึก จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการเดินรถ ต้องมีระบบจัดการด้านความปลอดภัย ที่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะ (1) ระบบมาตรฐานคนขับ ที่ต้องคัดเลือกผู้มีทักษะความชำนาญ มีการฝึกอบรม และมีระบบควบคุมกำกับเพื่อมั่นใจว่า ได้พักผ่อนเพียงพอ ไม่ดื่มสุราหรือใช้ยาเสพติดก่อนเดินทาง รวมทั้งมีคนขับสำรอง (2) ระบบมาตรฐานตัวรถ ที่ต้องมีการซ่อมบำรุงตามระยะทาง และ ตรวจสภาพก่อนและระหว่างเดินทาง โดยเฉพาะระบบ “เบรก” ไม่มีการชำรุด และ (3) ระบบมาตรฐานด้านเส้นทาง ซึ่งทางผู้ประกอบการ ต้องมีข้อมูลและระบบควบคุมกำกับให้ “คนขับ” ต้องรับรู้ว่าจุดใดเป็นจุดเสี่ยง ที่ต้องลดความเร็ว (ห้ามขับเร็ว) โดยอาจจะมีระบบกำกับติดตามด้วย GPS แบบที่บริษัทด้านโลจิสติกส์ ใช้กำกับรถขนส่งสินค้า
คำถามสำคัญ ณ ขณะนี้ คือ ประชาชนผู้บริโภค ที่ส่วนใหญ่เดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ จะมี “หลักประกันอะไร ?” ที่จะมั่นใจได้ว่าการโดยสารรถประจำทาง ของ บ.จักรพงษ์ทัวร์ (และบริษัทอื่นๆ) จะไม่เกิดเหตุในลักษณะนี้ขึ้นมาอีก ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมกำกับดูแลคนขับ ให้ใช้ความเร็วที่เหมาะสมกับเส้นทาง พักผ่อนเพียงพอ หรือ ระบบควบคุมกำกับให้รถ มีสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้เดินทาง
ดังนั้น เพื่อให้เกิดรูปธรรมในการป้องกัน “อุบัติเหตุซ้ำซาก” กับ บ.จักรพงษ์ทัวร์ และบริษัทเดินรถอื่นๆ ทางกรมการขนส่งทางบก ควรเร่งรัดดำเนินการในเรื่องต่อไปนี้
ระยะเร่งด่วน
1)กรมการขนส่งทางบก ดำเนินการประเมินและตรวจสอบ (Audit) ผู้ประกอบการเดินรถ บ.จักรพงษ์ทัวร์ เพื่อให้ผู้โดยสารมั่นใจว่ามีระบบความปลอดภัย ทั้งด้าน คนขับ และ ตัวรถ ที่พร้อมจะให้บริการอย่างปลอดภัย รวมทั้ง ให้มีบริษัทมีการปรับปรุงแผนด้านความปลอดภัย ที่ชัดเจนและประกาศต่อสาธารณะ และถ้าพบว่าไม่สามารถดำเนินการได้ ควรหยุดปรับปรุงและมีการนำรถที่ปลอดภัยมาให้บริการทดแทน
2)เร่งหามาตรการส่งเสริมให้ผู้โดยสาร “คาดเข็มขัดนิรภัย” เพื่อลดความสูญเสียจากการเสียชีวิตหรือบาดเจ็บรุนแรง เพราะผู้ที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส พบว่าไม่ได้ใช้เข็มขัดนิรภัย ทำให้กระเด็นออกมานอกรถ หรือกระเด็นไปถูกวัสดุแข็งภายในตัวรถ โดยพบว่า ผู้ที่ไม่บาดเจ็บหรือบาดเจ็บเล็กน้อยหลายราย ใช้เข็มขัดนิรภัย
ระยะกลาง และ ระยะยาว
1)กำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้ประกอบการเดินรถ ในเส้นทางที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เดินรถในเส้นทางภูเขาลาดชัน ต้องมีการระบบกำกับติดตามให้ใช้ “ความเร็ว” เช่น ระบบ GPS แบบที่ บขส. หรือหลายๆ บริษัทใช้กำกับคนขับรถ โดยเฉพาะ เส้นทาง เชียงใหม่-อุดรธานี , เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน , เชียงใหม่-เชียงราย ฯลฯ
2)กรมการขนส่งทางบก ควรทบทวนเกณฑ์/เงื่อนไขด้านความปลอดภัย ทั้งระบบตั้งแต่ “ต้นน้ำ กลางน้ำ และ ปลายน้ำ” ได้แก่
2.1ต้นน้ำ : การออกใบอนุญาตประกอบการขนส่ง ให้ผู้ประกอบการเดินรถ ต้องมีเกณฑ์หรือเงื่อนไข “มาตรฐานด้านความปลอดภัย” ที่ชัดเจน เพื่อป้องกันมิให้ ผู้ประกอบการที่ไม่มีความพร้อมเข้าสู่ระบบ เช่น
ห้ามถือใบอนุญาตประกอบการขนส่ง โดยไม่มีรถบริการ (ณ ปัจจุบัน มีผู้ประกอบการหลายราย ที่ถือใบอนุญาตฯ แต่ไม่มีรถให้บริการ คอยรับเงินจากค่าคิว ของผู้ประกอบการรายย่อยมาวิ่งร่วมบริการ)
ต้องมีระบบมาตรฐาน ในการคัดเลือกและกำกับดูแลพฤติกรรมขับรถของคนขับ โดยเฉพาะพฤติกรรม “ขับเร็ว” รวมไปถึงการจ่ายค่าตอบแทน ที่ป้องกันมิให้ใช้จำนวนผู้โดยสารมาเป็นค่าตอบแทนเพียงอย่างเดียว (ป้องกันปัญหาการทำรอบ เร่งรีบรับ/ส่ง ผู้โดยสาร ฯลฯ)
ต้องมีระบบให้การบำรุงรักษาสภาพรถ เช่น ระบบเบรก ล้อ ฯลฯ
2.2กลางน้ำ และ ปลายน้ำ : รถโดยสารสาธารณะ ในกลุ่มเสี่ยง เช่น เดินรถในเส้นทางภูเขาลาดชัน หรือ มีประวัติเกิดอุบัติเหตุ จะต้องมีระบบตรวจสอบและกำกับดูแลที่เข้มงวด ได้แก่
ระบบตรวจสภาพรถทุก 6 เดือน ในรถกลุ่มนี้ ต้องถูกเน้นเป็นพิเศษ ทั้งระบบเบรก สภาพยาง ความแข็งแรง ฯลฯ
ระบบประเมินและตรวจสอบ (Audit) แผนความปลอดภัยในการเดินรถเป็นระยะๆ และที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ “ระบบประเมินและตรวจสอบเมื่อเกิดอุบัติเหตุ” ที่จะต้องมีทีมผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ตรวจสอบ เพื่อมั่นใจว่าบริษัทดังกล่าว มีความพร้อมในการประกอบการให้เกิดกับผู้โดยสารมากน้อยเพียงใด
ควรมีการนำแนวปฏิบัติของระบบการตรวจสอบ ในลักษณะเดียวกับ กรณีสายการบินเกิดเหตุหรือมีปัญหา ที่จะมีผู้เชี่ยวชาญลงไปประเมินตรวจสอบ จนมั่นใจว่าสามารถให้บริการได้ จึงอนุญาตให้เปิดทำการต่อไป
ระบบในการต่อใบอนุญาติประกอบการเดินรถ (ทุก 7 ปี) ที่ต้องนำข้อมูลผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัย มาเป็นหลักเกณฑ์คะแนน และ พิจารณายกเลิกสัญญา กรณีที่ไม่ผ่านเกณฑ์
3)ปัญหา “เบรกแตก” ซึ่งพบอยู่ตลอด (ทั้งรถโดยสารสาธารณะ และ รถบรรทุก) และเกือบทุกครั้ง จะถูกอ้างว่าเป็นปัญหาของ “คนขับ” ที่ประมาทใช้ความเร็ว/เกียร์ที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดปํญหาลักษณะนี้อีก ควรมีการศึกษาทบทวนและกำหนดแนวทางป้องกันที่ชัดเจน อาทิเช่น
3.1ระบบที่จะเตรียมและกำกับคนขับให้ใช้ “ความเร็ว/เกียร์ และ การเบรก” ที่เหมาะสมกับเส้นทาง
3.2กำหนดเกณฑ์ให้รถโดยสารที่ต้องเดินทางในเส้นทางลาดชัน ต้องมีระบบเบรก ที่ช่วยในการหยุดได้เหมาะสม เช่น ระบบเบรก ABS และ ระบบเบรกแบบช่วยหน่วง (Retarder brake)
3.3ในเส้นทางลาดชัน ที่พบอุบัติเหตุบ่อยๆ ควรมีความร่วมมือกับ ผู้ดูแลเส้นทาง เช่น กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท ให้มีการปรับปรุงป้ายเตือน (ทั้งป้ายข้างทาง และ การทำสัญญลักษณ์บนพื้นถนน) การมีราวกันตก (guard rail) รวมทั้งพิจารณาให้มีช่องทางกรณีฉุกเฉิน (escape lane) ฯลฯ
เหตุการณ์ความสูญเสียซ้ำซาก 4 ครั้งในรอบ 4 ปี ที่เกิดในครั้งนี้ อาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ถ้าตราบใดที่ระบบควบคุมกำกับ ตั้งแต่ “ต้นน้ำ กลางน้ำ และ ปลายน้ำ” ยังไม่เข้มแข็ง ปล่อยให้มี “ผู้ประกอบการ” ที่ไม่มีความพร้อมเข้าสู่ระบบให้บริการ , ปล่อยให้การให้บริการถูกละเลยที่จะควบคุมกำกับด้านความปลอดภัย และ ปล่อยให้อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ไม่นำไปสู่การแก้ไขปรับปรุง
ถึงเวลาหรือยังที่ รัฐบาล , กระทรวงคมนาคม และ กรมการขนส่งทางบก ต้องมีคำตอบให้กับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ร่วมทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่ “ฝากขีวิตไว้กับการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ” ว่าต่อไปเราจะมี ระบบควบคุมกำกับ ที่เชื่อมั่นในความปลอดภัยของการเดินทาง โดยไม่ต้องรอให้หน่วยงานด้านความปลอดภัยระหว่างประเทศ มาสั่งให้ต้องทบทวนปรับปรุง
ขอบคุณภาพประกอบจาก thairath.co.th