รองผอ.รร.เทพศิรินทร์ฯ แจงยังไม่ตัดสินใจบังคับเด็กเรียนลูกเสือเนตรนารีวิสามัญ
ไขปม นร.เทพศิรินทร์ นนทบุรี รณรงค์ผ่าน change.org จี้เลิกบังคับเรียนลูกเสือเนตรนารีวิสามัญ ผู้บริหารแจงเป็นนโยบายสถาบัน ส่งเสริมกิจกรรมผู้เรียน ยันไม่บังคับต้องเรียนทุกคน ระบุยังไม่ดำเนินการใด ๆ ทุกอย่างอยู่ในขั้นตอนพิจารณา
จากกรณีกลุ่มนักเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี รณรงค์ผ่านเว็บไซต์ change.org เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้ผู้อำนวยการโรงเรียนยุติการบังคับให้นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ไม่ได้เข้ารับการฝึกนักศึกษาวิชาทหาร (รักษาดินแดน รด.) ต้องเรียนลูกเสือเนตรนารีวิสามัญทุกคน โดยอ้างว่าเป็นนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ จึงวอนขอให้กลับไปใช้ระบบการเรียนแบบสมัครใจ
ทั้งนี้ กลุ่มนักเรียนยังได้อ้างอิงหลักอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กว่าด้วยการแสดงออกและแสดงความเห็น เพื่อเวลาพักช่วงภาคบ่าย (Free afternoon) ในการพักผ่อนหรือสะสางภาระงานต่าง ๆ โดยขณะนี้มีผู้ร่วมลงชื่อสนับสนุนแล้ว 539 คน จากเป้าหมาย 1,000 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 12 มิ.ย. 2558) ซึ่งเพียงพอสำหรับส่งไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และผู้อำนวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรีพิจารณา
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) สอบถามไปยังนายสุรพล นาคเกิด รองผู้อำนวยการกลุ่มบริหารวิชาการ โรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี ถึงกรณีดังกล่าว ได้รับคำชี้แจงว่า เป็นความเข้าใจผิด เรื่องเกิดปัญหาขึ้นเมื่อมีการเรียน รด. ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 405 คน ทำให้ทุกบ่ายวันพฤหัสบดีในแต่ละอาทิตย์เป็นช่วงเวลาว่าง และได้ปล่อยนักเรียนไม่ได้เรียน รด.กลับบ้านถึง 900 คน ดังนั้นนายสมชาย ปิ่นทอง ผู้อำนวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี จึงวางนโยบายใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จนถึงขณะนี้มีการประชุมกันแล้ว แต่ยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ทุกอย่างอยู่ในระหว่างขั้นตอนการพิจารณา และให้คุณครูชี้แจงให้นักเรียนทราบเบื้องต้น
สำหรับกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามนโยบายของผู้อำนวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี รองผู้อำนวยการฯ กล่าวว่า ยึดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1.กิจกรรมแนะแนว 2.กิจกรรมเพื่อสาธารณะประโยชน์ โดยนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจะต้องทำกิจกรรมนี้ 60 ชม. จึงจะจบหลักสูตร และ 3.กิจกรรมนักเรียน ได้แก่ ลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ และนักศึกษาวิชาทหาร
“กิจกรรมชุมนุมเป็นอีกส่วนหนึ่ง โดยในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 กำหนดว่าในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนนั้นให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง นั่นหมายความว่า นักเรียนสามารถเลือกเป็นกิจกรรมนักศึกษาวิชาทหารได้ ส่วนนักเรียนคนอื่นคนที่ไม่มีกิจกรรมจะต้องเลือกกิจกรรมที่โรงเรียนจัดให้ตามความเหมาะสม” นายสุรพล กล่าว และยืนยันว่า กิจกรรมชุมนุมลูกเสือ เนตรนารีวิสามัญ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาต่างประเทศ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา การงานอาชีพ ดนตรี และกีฬา เป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น โดยตอนนี้ฝ่ายบริหารยังอยู่ในขั้นพิจารณา
“เวลาลูกเสือ ม.1-3 ไปเข้าค่าย เราจะไม่ประกาศรับพี่เลี้ยงทั่ว ๆ ไป เเต่จะให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่เรียนวิชาลูกเสือเนตรนารีวิสามัญเป็นพี่เลี้ยงเเทน” รองผู้อำนวยการฯ กล่าว
ด้านอาจารย์ประจำโรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี รายหนึ่ง กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการเอ่ยในเชิงหลอกล้อให้เก็บชุดลูกเสือเอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งทิ้ง เพราะเผื่อจะมีการเรียนการสอนกิจกรรมลูกเสือวิสามัญ แต่ยังไม่ได้ยืนยันจะมีการเรียนการสอนจริงจัง กรณีนี้อาจเป็นสาเหตุให้เกิดการเข้าใจผิดในกลุ่มนักเรียน จนลุกลามจนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ รวมถึงการรณรงค์เรียกร้องใน เว็บไซต์ change.org ซึ่งเชื่อว่าแกนนำเป็นนักเรียนรุ่นเก่าที่จบการศึกษาไปแล้ว
ขณะที่ตัวแทนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี กล่าวยอมรับว่า การรณรงค์ที่เกิดขึ้นมาจากความเข้าใจผิดของนักเรียนจริง อย่างไรก็ตาม แม้การเรียนการสอนวิชาลูกเสือเนตรนารีวิสามัญทำให้ผู้เข้าร่วมได้รับประโยชน์ แต่อาจทำให้เกิดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ ไม่ปฏิเสธหากโรงเรียนจะมีการส่งเสริมให้ทำกิจกรรมช่วงบ่าย
ด้านนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ประธานคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ระบุถึงกรณีดังกล่าวว่า ทัศนคติของเด็กมัธยมศึกษาตอนปลายจะมองเป้าหมายการสอบเข้าสถาบันระดับอุดมศึกษาเป็นหลัก แต่ความจริงชีวิตมนุษย์ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องของความรู้ หากยังมีเรื่องของทักษะ ระเบียบวินัย ความเสียสละ และความอดทน วิชาทางเลือกเหล่านี้จำเป็นต้องมีไว้ด้วย ซึ่งสมัยนี้ยังมีน้อย
“วิชารักษาดินแดนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สร้างวินัยต่อนักเรียน จะเลือกวิชาเสรีทุกอย่างโดยไม่มีหลักบังคับใด ๆ เลยก็คงไม่ได้ แต่ก็ต้องมีทั้งสองอย่างควบคู่กันไป จึงจำเป็นต้องให้ทุกโรงเรียนได้ให้สิทธิในการเลือกใส่ในการเรียนการสอนด้วย” ประธาน กมธ.สังคมฯ สนช. กล่าว .