“แลนด์มาร์คริมเจ้าพระยา" กทม.รวบรัดทุกขั้นตอนหนีประชาพิจารณ์
เดือนตุลาคมนี้ “โครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา” จะเริ่มตอกตอม่อลงในน้ำ ขณะที่หลายฝ่ายยังคงเดินหน้าคัดค้าน Friends of River ระบุว่า รูปแบบของโครงการ “น่าเกลียด” ขาดการมีส่วนร่วมของชุมชน ไม่มีการสำรวจผลกระทบต่อวิถีชุมชน สิ่งแวดล้อม และการป้องกันน้ำท่วม พร้อมตั้งข้อสงสัยถึงการเร่งรีบดำเนินโครงการว่า อาจเกี่ยวข้องกับการทุจริตในวงราชการ
กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร จะเริ่มก่อสร้างโครงการริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา (แลนด์มาร์คริมเจ้าพระยา) ในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อให้คนกรุงเทพฯ มีพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ เดินเล่น และปั่นจักรยาน ระยะทางรวมกว่า 50 กม. โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแล้ว ใช้กรอบเวลาดำเนินการก่อสร้าง 18 เดือน งบประมาณ 14,006 ล้านบาท ระยะแรกตั้งแต่บริเวณสะพานพระราม 7 ถึงบริเวณสะพานพระปิ่นเกล้า รวมระยะทาง 14 กม. และระยะต่อไปจะขยายการดำเนินโครงการฯ ตั้งแต่บริเวณสะพานพระนั่งเกล้าจนถึงสะพานพระราม 7
ด้วยโครงสร้างที่เป็นพื้นคอนกรีตบนต่อมอเดี่ยวที่ยื่นออกไปในแม่น้ำเจ้าพระยาทั้ง 2 ฝั่ง พื้นมีความกว้างกว่า 19.5 ม. ขนาดเดียวกันตลอดทั้งแนว พื้นทางเดินจะอยู่ในระดับเดียวกับเขื่อนเดิม และเพิ่มความสูงเขื่อนอีก 0.45 ม. รวมความสูงเขื่อนอยู่ที่ 3.25 ม. จากระดับน้ำทะเล ทำให้กลุ่ม BIGTrees Project และ Friends of River ต้องออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการดังกล่าว เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ที่ภาคีพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา (พพพ.) มีข้อเสนอถึงรัฐบาลให้ทบทวนรูปแบบโครงการ
ยศพล บุญสม ภูมิสถาปนิก กลุ่ม Friends of River ระบุว่า รูปแบบโครงการแลนด์มาร์คริมเจ้าพระยา “น่าเกลียด” ทำลายภูมิทัศน์ 2 ฝั่งแม่น้ำ และทำลายระบบนิเวศการไหลของน้ำ เพราะโครงสร้างมีขนาดใหญ่ ใช้ตอม่อ 468 ต้น ทำให้น้ำไหลช้าลง และน้ำบริเวณกลางลำน้ำจะไหลแรงขึ้น เกิดการกัดเซาะในพื้นที่ปลายน้ำ อีกทั้งปัญหาน้ำเน่าเสียจากจุดอับที่แสงส่องไม่ผ่านกำแพงขนาดสูง ตลอดจนขาดการมีส่วนร่วมของชุมชน
“โจทย์มันไม่ชัด เราต้องการทางเดินริมน้ำเพราะอะไร ไม่ได้ถามชุมชนว่า เขาต้องการไหม แน่นอนมันจะมีเรื่องทุจริต เรากำลังสร้างทางด่วนเพื่อมาทับถมปัญหาเดิม สร้างมาแล้ว บังวัด บังวัง นักท่องเที่ยวจะมาไหม มันคือความ “น่าเกลียด” ทั้งในเชิงกระบวนการคิดและรูปแบบ” ยศพลกล่าว
กลุ่ม Friends of River ลงพื้นที่ในการดำเนินโครงการพบว่า โครงการนี้ผ่านพื้นที่ที่มีความหลากหลายของบริบทและการใช้ประโยชน์ที่ดิน เช่นพื้นที่ชุมชน พาณิชยกรรม เอกชน สถาบันการศึกษา พื้นที่สาธารณะ สถานที่ราชการ และศาสนสถาน ซึ่งการสร้างทางเดินรูปแบบเดียวตลอดเส้น ไม่สามารถตอบสนองความต้องการและข้อจำกัดของแต่ละพื้นที่ได้ เช่น ชุมชนริมน้ำต้องการความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว โดยกังวลว่าโครงการนี้อาจทำให้เกิดจุดอับ และจะมีปัญหาอาชญากรรม หรือคนจรจัดในพื้นที่ ส่วนบริเวณหน้าวัดอาจต้องการลานกว้างไว้ใช้ทำกิจกรรม
ขณะที่กลุ่มผู้ใช้จักรยาน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของโครงการ กลับแสดงความไม่เห็นด้วย นนลนีย์ อึ้งวิวัฒน์กุล Bangkok Bicycle Campaign ระบุว่า พื้นขนาดกว้าง 20 เมตร นั้นใหญ่เกินไป ตนเองต้องการความกว้างแค่ 2 เมตร ให้เพียงพอที่รถจักรยานจะสวนทางกันได้ อีกทั้งกังวลว่า ขนาดกว้างเกินไปจะทำให้รถยนต์เข้ามาสัญจรจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าโครงการนี้จะทำลายบรรยากาศริมแม่น้ำ โดยเฉพาะผลกระทบจากกำแพงสูง “เสน่ห์จริงๆ ของการปั่นจักรยาน คือต้องการสัมผัสชีวิตชุมชน ไม่ใช่วิ่งบนทางด่วน” นนลนีย์กล่าว
ด้าน ประสิทธิ์ วิชัยสุชาติ เลขาธิการสมาคมเรือไทย กังวลด้านความปลอดภัยของการสัญจรทางเรือที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการนี้ โดยระบุว่า เมื่อน้ำปะทะกับ ตอม่อขนาดใหญ่ กว่า 468 ต้น น้ำจะหักเหออกทางด้านกลางแม่น้ำ กระแสน้ำจะไหลแรงขึ้น และมีผลต่อการการควบคุมเรือ
นอกจากปัญหาเรื่องรูปแบบ ผลกระทบต่อชุมชน ภูมิทัศน์วัฒนธรรม ระบบนิเวศ และการมีส่วนร่วมของชุมชนแล้ว การเร่งรีบดำเนินโครงการขนาดใหญ่ โดยไม่ศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน กลายเป็นข้อสงสัยจากหลายฝ่ายที่ออกมาคัดค้าน
ดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิก ระบุว่า รูปแบบและรายละเอียดโครงการยังไม่ชัดเจน ซึ่งทุกอย่างควรผ่านไปตามกระบวนการ ตั้งแต่การฟังเสียงประชาชน การทำประชาพิจารณ์ในเบื้องต้น
“มันเป็นไปได้ยังไงที่โครงการนี้จะถูกสร้างขึ้น โดยไม่มีใครที่อยู่ริมแม่น้ำตอนนี้ รู้ว่าจะมีโครงการ ฟังดูก็ไม่เข้าท่าตั้งแต่แรก ในฐานะสถาปนิกมองว่าโครงการนี้มันแย่ เป็นความหายนะของการก่อสร้าง” ดวงฤทธิ์กล่าว
ดวงฤทธิ์ตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทที่ออกแบบในครั้งนี้ คือบริษัทที่ได้รับการว่าจ้างทำทางด่วนให้กรุงเทพมหานคร จึงนำแบบสำเร็จรูปมาปักในแม่น้ำ ไม่มีดีไซน์ ระบุสาเหตุที่ต้องเร่งรีบดำเนินการ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำประชาพิจารณ์ ซึ่งโครงการจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ ก่อนรัฐธรรมนูญใหม่ประกาศใช้ พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนแสดงความไม่เห็นด้วยกับโครงการ
“โครงการนี้เข้าไปในครม. แบบมั่ว สอดไส้หมกเม็ดกันจนดูไม่ออก รัฐบาลก็ปวดหัวกับโครงการ ไม่ได้อยากให้มี ไม่เวิร์ค พยายามจะหาทางเบรก แต่ผ่าน ครม. แล้ว โปรเจ็คนี้เริ่มจาก กทม. ที่คิด อยากทำ อยากได้เงินทอน แต่รีบไปหน่อย เพราะต้องทำให้แล้วเสร็จก่อนรัฐธรรมนูญใหม่ประกาศ เนื่องจากโครงการแบบนี้ต้องทำประชาพิจารณ์ 100%” ดวงฤทธิ์กล่าว
ดวงฤทธิ์กล่าวด้วยว่า ตามกฎหมายแล้วโครงการนี้ไม่ต้องทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะเรียกร้องให้ส่งรายงานผลกระทบ แต่กลับการไม่ดำเนินการทั้งที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ในแม่น้ำ ขณะที่กรุงเทพมหานคร หากมีเจตนารมณ์ที่ดีในการดำเนินโครงการ ก็ต้องมีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามสามัญสำนึก และต้องรับผิดชอบต่อสังคม
ขอบคุณข่าวจาก