เปิดเส้นทางเด็กแก๊งแกะรอย “เด็กระเบิด”
“หินรถไฟ” คือชื่อเรียกที่เด็กวัยรุ่นจังหวัดเพชรบุรี เรียกหินปูนก้อนขนาดใหญ่ที่อัดลงไปรองรับหมอนบนทางรถไฟสลับกับหมอนไม้ ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นหมอนคอนกรีตกันหมดแล้ว พบได้ทั่วไปตลอดเส้นทางรถไฟสายใต้ โดยหินรถไฟเหล่านี้กลายเป็น 1 ในวัตถุดิบหลัก ที่แก๊งเด็กวัยรุ่นในจังหวัดเพชรบุรีที่มีอายุเพียง 13-15 ปี นำไปประกอบเป็นวัตถุระเบิดแบบประดิษฐ์เอง เพื่อนำมาประลองฝีมือ และเพื่อสร้างบารมีเป็นแก๊งใหญ่ รวมถึงทำลายล้างแก๊งคู่อริ และบางครั้งเหยื่อของระเบิดก็เป็นชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ รวมถึงตัวของผู้ที่ทำระเบิดเองด้วย
ดังกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับ “เอ”(นามสมมติ) เด็กชายวัย 14 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง ในจังหวัดเพชรบุรี หวิดขาขาด ขณะพกระเบิดทำเองใส่กระเป๋ากางเกงนักเรียนมาโรงเรียน เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าเด็กชายคงเตรียมนำมาปาใส่คู่อริ แต่ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ที่ขับขี่มาล้มจึงทำให้ระเบิดที่พกมาระเบิดขึ้น ขณะที่วัยรุ่นอีกรายหนึ่งระเบิดประดิษฐ์ได้เกิดระเบิดใส่มือตัวเองขณะกำลังประกอบระเบิด ไม่เพียงเท่านี้แต่กลุ่มเด็กวัยรุ่นยังได้นำระเบิดทำเองไปวางทิ้งไว้ตามหน้าร้านขายของชำอยู่บ่อยครั้ง พฤติกรรมของเด็กวัยรุ่นเหล่านี้กระจายอยู่ในแก๊งต่าง ๆ เกือบทุกอำเภอของจังหวัดเพชรบุรี
ของกลางที่ตำรวจจับได้จาก”เด็กระเบิด”กลุ่มเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 13-15 ปี เตรียมไว้ทำอาวุธถล่มคู่อริ
โลกเด็กแก๊ง-เด็กแว้น-เด็กระเบิด
สถิตคดีปี 2556 ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนระบุว่า ทั่วประเทศมีเด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดีทั่วประเทศ 36,763 คดี เมื่อจำแนกเพศพบว่า เพศชายทำผิดมากกว่าเพศหญิง คือ มีจำนวน 34,279 คดี หรือร้อยละ 93.24 ของคดีทั้งหมด เป็นเพศหญิงเพียง 2,484 คดี หรือร้อยละ 6.7- ของคดีทั้งหมด และเมื่อจำแนกตามอายุคดีส่วนใหญ่เป็นคดีที่ผู้กระทำความผิดมาอายุเกิน 15 ปี แต่ไม่ถึง 18 ปี และรองลงมาเป็นคดีที่ผู้กระทำความผิดมีอายุเกิน 10 ปี แต่ไม่เกิน 15 ปี
เอ เด็กชายวัย 14 ปี คือ หนึ่งในจำนวนเด็กแก๊งในเขตพื้นที่ อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี เขาเปิดโลกของกลุ่มเด็กวัยรุ่นใน จ.เพชรบุรีให้ฟังว่า มีอยู่หลายแก๊ง แต่ละแก๊งจะมีชื่อเฉพาะเป็นที่รู้กัน ในแก๊งมีทั้งเด็กผู้หญิงและผู้ชาย อายุตั้งแต่ 13-18 ปี แต่บางแก๊งก็มีผู้ใหญ่รวมอยู่ด้วย ทุกคนที่มารวมตัวกันเมื่ออยู่เป็นกลุ่ม ๆ แล้ว มีการชักชวนทดลองทำเรื่องที่ท้าทายความสามารถ ทั้ง เสพยาเสพติด มีความสัมพันธ์กับเพื่อนหญิงในแก๊ง ยกพวกตีกับกลุ่มอื่น โดยมีการใช้อาวุธตั้งแต่ใช้ มีดดาบ ปืน ระเบิด โดยเฉพาะการทำระเบิดมือ ซึ่งรุ่นพี่ในแก๊งจะเป็นผู้สอนให้
“ระเบิดปิงปองทำไม่ยาก จะใช้ลูกโป้งหรือประทัดยักษ์) ตะปู ก้อนหินรถไฟ ข้าวสาร เทปกาวสีดำกระดาษหนังสือพิมพ์ วิธีทำ คือ นำระเบิดปิงปองมาแกะเอาดินระเบิดมา เอาหินรถไฟที่คลุกกับดินระเบิดแล้วนำมาประกบกัน แล้วก็ใส่ตะปู บางครั้งก็เศษแก้วเศษกระจก ใบมีดโกน และที่สำคัญต้องใส่ข้าวสารลงไปด้วย เพราะเมื่อศัตรูโดนสะเก็ดระเบิดข้าวสารจะทำให้แผลเน่า บางครั้งก็ใส่พริกป่นด้วยเพื่อให้แสบ จากนั้นเอาเทปกาวสีดำพันให้แน่น ปิดท้ายด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ เวลาใช้งานก็ปาใส่พื้นเมื่อเกิดประกายไฟก็จะเกิดการระเบิดขึ้น ถ้าเราใส่ดินระเบิดเยอะอานุภาพระเบิดก็จะยิ่งแรง”เด็กชายให้ข้อมูล
เขาบอกว่า ปัจจุบันการหาซื้อลูกโป้งหรือประทัดยักษ์เริ่มยากขึ้น นับตั้งแต่ปลายปี 2557 เป็นต้นมา ตำรวจในพื้นที่ได้กวดขันร้านค้าที่มีการขายสินค้าวัตถุระเบิดและดอกไม้ไฟมาก แต่สำหรับเด็กแก๊งใช่จะหาไม่ได้เสียเลย เพราะมีร้านประจำและบ้านที่รับทำพลุตะไลที่ไว้ใช้ในงานศพ แอบนำขายให้ โดยเฉพาะร้านประจำที่มีลูกค้าเป็นกลุ่มชาวบ้านและชาวไร่ ชาวนา ซึ่งมักจะมาซื้อไปไว้จุดใช้ไล่นกในนาข้าวหรือไล่ลิง โดย “เฮีย” เจ้าของร้านจะรู้กันกับกลุ่มลูกค้า
เด็กชายคนนี้ยังบอกอีกว่า ในแก๊งนอกจากการทำระเบิดใช้เองแล้ว ก็ยังมีการทำอาวุธปืนลูกซองแบบทำเองด้วย โดยจะมีการท้าประลองกับแก๊งอื่น ๆ บนถนนภูมิรักษ์และถนนเส้นคันคลองบ้านไร่กล้วยช่วงกลางดึก ถ้าเส้นทางไหนมีตำรวจก็จะเลี่ยงไปที่อื่น
จากการสุ่มสำรวจร้านจำหน่ายพลุดอกไม้ไฟ ใน อ.เมือง อ.บ้านลาด อ.บ้านแหลม อ.ชะอำ เพื่อขอซื้อระเบิดปิงปอง เจ้าของร้านค้าส่วนใหญ่ บอกว่าไม่มีขายเนื่องจากตำรวจเข้มงวดกวดขัน แต่บางร้านก็ยังมีขายโดยอ้างว่าเป็นของที่ซื้อมาแล้วยังขายไม่หมด และยังมีลูกค้าที่ซื้อไปไล่นก ไล่ลิง ส่วนเด็กจะซื้อไปทำระเบิดด้วยหรือเปล่านั้นทางร้านปฎิเสธไม่รับทราบ โดยระเบิดปิงปองมีราคาขายเพียงลูกละ 5 บาทเท่านั้น
อุตสาหกรรมจังหวัดชี้คุมเข้มระเบิดเหมืองหลุดยาก
มีข้อสันนิษฐานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า การประกอบระเบิดของกลุ่มเด็กแก๊ง นอกเหนือจากร้านจำหน่ายพลุ ดอกไม้ไฟแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า ระเบิดอาจหลุดลอดมาจากการประกอบอุตสาหกรรมโรงโม่หินที่มีจำนวนมากในเขต จ.เพชรบุรี แต่ข้อมูลจากนายจารึก ธรรมสุนทร อุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบุรี ยืนยันว่า เป็นไปได้ยาก เหตุผลเพราะการใช้วัตถุระเบิดในงานเหมืองแร่ มีข้อกำหนดระเบียบ อย่างเข้มงวด และมีฝ่ายทหารของกระทรวงกลาโหม และของกระทรวงมหาดไทย เข้ามากำกับดูแลตรวจสอบ การพิจารณาประเมินปริมาณวัตถุระเบิดที่มีความจำเป็นต้องใช้ในการทำเหมืองแร่ เพื่อประกอบการขออนุญาต ซื้อ มี ใช้ วัตถุระเบิด
นายจารึก กล่าวอีกว่า เพชรบุรีมีผู้ประกอบการที่ได้รับสัมปทานบัตรใช้วัตถุระเบิดในงานเหมืองแร่ เพียง 3 แห่ง การดำเนินการใช้วัตถุระเบิดในงานเหมืองแร่ ซึ่งผู้ประกอบการใช้วิธีการจ้างบริษัทที่เกี่ยวข้องโดยตรงเข้ามาดำเนินการ โดยมีผู้ควบคุมการใช้วัตถุระเบิดในงานเหมืองแร่ เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะขึ้นตรงกับกระทรวงกลาโหม และมีบทลงโทษหนักมาก หากมีการผิดพลาดหรือปล่อยให้มีการหลุดลอดของวัตถุระเบิดออกมาสู่ภายนอก
“โรงโม่หินต่าง ๆ คงไม่กล้าที่จะมาเสี่ยงกระทำผิด เช่น ว่าแอบมาขาย อีกประการหนึ่งคือในการดำเนินการใช้วัตถุระเบิดในงานเหมืองแร่แต่ละครั้ง มีการจำกัดวัตถุระเบิดที่พอดีในการใช้งาน ไม่มีการขนมาเก็บไว้ล่วงหน้า และมีการเก็บรักษาอย่างถูกต้องปลอดภัย ส่วนกรณีที่จะมีคนงานแอบนำมาขายให้กลุ่มเด็กวัยรุ่นนั้น นายจารึก กล่าวว่า แทบเป็นไปไม่ได้เพราะทีมบริษัทที่เข้ามารับทำงานเฉพาะ” อุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบุรี ชี้แจง
กลุ่มเด็กระเบิดมักจะนำระเบิดที่ประดิษฐ์ไปดักรอคู่อริ แต่ต้องทิ้งไว้หน้าร้านของชำเมื่อตำรวจเข้ามาตรวจพบ
ขณะที่นายพงษ์รัตน์ เขียวภักดี นายช่างรังวัด ฝ่ายอุตสาหกรรมและการเหมืองแร่ สำนักงานอุตสาหกรรม จ.เพชรบุรี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน มีบริษัทที่ได้รับประทานบัตรในการใช้วัตถุระเบิดในงานอุตสาหกรรมเหมืองแร่ อนุญาตอย่างถูกต้อง จำนวน 3 แห่ง คือ 1.ห้างหุ้นส่วนจำกัด เพชรสมุทร 1970 หมู่ 6 69/1 ตำบล หนองชุมพลเหนือ อำเภอ เขาย้อย เพชรบุรี 2.บริษัท ที.เอส. แกรนิต จำกัด หมู่ 6 ตำบล หนองชุมพลเหนือ อำเภอ เขาย้อย เพชรบุรี 3.บริษัท ชลประทานซีเมนต์ จำกัด (มหาชน) ถ.ชลประทานซีเมนต์ ต.ชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
“บริษัทเหล่านี้ และบริษัทที่เข้าไปรับดำเนินการเหมืองแร่ คงจะไม่เสี่ยงกับกลุ่มวัยรุ่นแน่ แต่เด็กวัยรุ่นจะนำมาจากที่ใดนั้นเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่จะต้องตรวจสอบ”นายช่างรังวัดฝ่ายอุตสาหกรรมระบุ
นักวิชาการจุดอ่อนเด็กแก๊งแค่ต้องการพื้นที่แสดงออก
ข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมือง เพชรบุรี ระบุว่า ใน จ.เพชรบุรี มีแก๊งวัยรุ่นกระจายอยู่เกือบทุกอำเภอ ประมาณ เกือบ 20 แก๊ง อาทิ แก๊ง โออิชิ ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 50-60 คน แก๊งนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ แถวหมู่บ้านตาลกง แก๊ง เหยี่ยวราตรี สมาชิกจะกระจาย อยู่แถวหมู่บ้านหนองหว้า ต.หนองขนาน อ.เมือง จ.เพชรบุรี แก๊งสิงห์นารายณ์ มีสมาชิกประมาณ 20-30 คน แก๊งกองพันล่าง มีสมาชิกประมาณ 15-20 คน แก๊งซอยหลุมดิน แก๊งอิสระ หรือแก๊งไร่กล้วย เป็นกลุ่มแก๊งที่เกิดขึ้นใหม่ แก๊งเขาลูกช้าง มีสมาชิกประมาณ 8 คนฯลฯ
โดยพฤติกรรมของเด็กแก๊งส่วนใหญ่จะจับกลุ่มแข่งรถจักรยานยนต์ โดยสมาชิกในกลุ่มนี้จะติดต่อกันทางเฟชบุ๊คเพื่อนัดหมายกันไปทำกิจกรรม และขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามแก้ปัญหาด้วยการจัดทำประวัติของสมาชิกของกลุ่มแก๊งทุกคน และมีการประสานงานกับผู้ปกครอง เพื่อให้ช่วยกันสอดส่องดูแลไม่ให้เกิดกลุ่มแก๊งที่ใหญ่ขึ้น และให้สายตรวจตำบลทุกตำบล ในพื้นที่ตั้งจุดตรวจจุดสกัดในเวลากลางคืนแล้ว
น.ส.เนตรดาว ยั่งยุบล ผู้ประสานโครงการจัดทำหลักสูตรค่ายพัฒนาพฤตินิสัยเยาวชนที่เสี่ยงต่อการกระทำความผิด กล่าวว่า ปัญหาเด็กแก๊ง เด็กแว๊นท์ หรือเด็กกลุ่มเสี่ยงมีแทบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ในภูมิภาคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาคเหนือ ที่มี แก๊งมังกร แก๊งอีกาดำ แก๊งแสงโสมหรือแก๊งเอ็นดีอาร์ ที่หน้าโรงเรียนดาราวิทยาลัยที่เปลี่ยนชื่อจากแก๊งซามูไรเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่รัฐ ภาคอีสานและภาคกลาง ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดจากความต้องการพื้นที่เพื่อแสดงออก โดยพฤติกรรมของเด็กแก๊งหรือเด็กแว้นจะมาจากหลากหลายทั้งเด็กที่ผู้ปกครองมีฐานะร่ำรวยและยากจน
"โดยแก๊งต่าง ๆ มีลักษณะคล้าย ๆ โครงสร้าง มีรูปแบบบริหารจัดการคล้ายกับแก๊งมาเฟีย มีการตั้งรกรากสืบเชื้อสาย และถ่ายทอดอำนาจ เด็กที่ร่ำรวยจะรับหน้าที่เลี้ยงข้าว เลี้ยงเหล้า เด็กยากจนจะรับออเดอร์ออกไปสร้างผลงาน ทั้งนี้หากสามารถนำเยาวชนกลุ่มเสี่ยงออกมาพัฒนาให้ถูกทางด้วยการสนับสนุนทัศนคติเชิงบวก จะสามารถแก้ปัญหาเด็กเสี่ยงกระทำความผิดได้" น.ส.เนตรดาว กล่าว
ขณะที่นายกฤตยรัฐ บารมี นักวิชาการสำนักกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (ส.ส.ส.) กล่าวว่าจากการลงพื้นที่ศึกษาพฤติกรรมเด็กแว๊น เด็กแก๊ง พบว่า หลายจังหวัดไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ อีสาน หรือภาคกลางมีพื้นที่เสี่ยงหลายจุด ที่จ.เชียงใหม่ มีกว่า 28 แก๊ง จำนวนนี้มีทั้งเด็กอาชีวะและเด็กสายสามัญปกติเด็กที่ผู้ปกครองมีฐานะร่ำรวยและยากจนโดยเด็กที่เข้าร่วมแก๊งมีช่วงอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป ขณะที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะจ.ขอนแก่น มีการรวมกลุ่ม 3-4 แก๊ง แต่ละแก๊งมีสมาชิก 30-50 คน
“หลายพื้นที่น่าเป็นห่วง เด็กหลายคนหยุดเรียนกลางคันเพื่อเข้าร่วมแก๊ง มีพฤติกรรมคึกคะนอง ดักถีบรถมอเตอร์ไซด์เพื่อชิงรถ ทำแต้ม โดยพฤติกรรมนี้เคยพบที่จ.พิษณุโลกแต่ถูกปราบปรามจนเลิกพฤติกรรม ล่าสุดกลับมาแพร่ระบาดที่บึงแก่นนคร จ.ขอนแก่น โดยแก๊งที่เก็บแต้มจาการชิงรถได้มากจะได้รับการยอมรับในกลุ่มเพื่อน”นักวิชาการส.ส.ส.ระบุ
ส่งเข้าสถานพินิจฯ แก้ปัญหาเยาวชนกลุ่มเสี่ยง
จากตารางแสดงสถิติคดีของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดเพชรบุรีปี 2557พบว่ามีคดีเกี่ยวกับอาวุธ มีถึง 48 คดี เกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย 47 คดีและยาเสพติด 84 คดี จำนวนสถิติการก่อเหตุและผู้ต้องหาเด็กและเยาวชน จ.เพชรบุรีที่เพิ่มขึ้นและก่อเหตุความรุนแรงในปลาย2557 จนถึงปัจจุบัน พบว่า 1ในนั้นมีคดีการทะเลาะวิวาทพกพาอาวุธ
พ.ต.ท.ชนาวิน สุริยะพรหม สว.สส.ภ.จว.เพชรบุรี กล่าวว่า ที่ผ่านมากลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่อ.เมืองเพชรบุรีและพื้นที่ใกล้เคียงได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มแก๊งหลายกลุ่ม โดยมีพฤติการณ์ก่อเหตุทะเลาะวิวาทและขับรถซิ่งเสียงดังก่อความเดือดร้อนรำคาญ และมีการผลิตวัตถุระเบิดและอาวุธปืนขึ้นมาใช้เอง ตลอดจนมีการไปมั่วสุมตามสถานที่ต่างๆ เช่น สถานีรถไฟเพชรบุรี เพื่อผลิตวัตถุระเบิด ซอยวัฒนธรรม 4 , หน้าร้านสะดวกซื้อ , ถนนภูมิรักษ์ ซึ่งมีกลุ่มแก๊งดังนี้ แก๊งโออิชิ,แก๊งสิงห์นารายณ์,แก๊งกองพันล่าง,แก๊งซอย4วัฒนธรรม,แก๊งเหยี่ยวราตรี,แก๊งบางแก้ว, ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กและเยาวชนทั้งสิ้น
“สาเหตุที่แก๊งเหล่านี้ทะเลาะวิวาทกันบ่อยเกิดจากหนีผู้ปกครองมาเที่ยวกลางคืนแล้วก็ เขม่นกัน ทะเลาะวิวาทกัน ยกพวกตีกัน รวมถึงทะเลาะกันมาจากที่โรงเรียน โดยกลุ่มแก๊งพวกนี้จะมีการนัดหมาย ท้าทายกันทางเฟสบุ๊ค แล้วก็ออกมาเจอกัน บางพวกก็นัดรวมตัวกัน ผลิตวัตถุระเบิดเพื่อนำไปก่อเหตุ เพื่อนำไปก่อเหตุกับกลุ่มวัยรุ่นที่เป็นคู่อริกัน โชคดีที่ตำรวจทราบและระงับเหตุทัน ไม่เช่นนั้น ถ้าไม่มีเจ็บก็ตาย” พ.ต.ท.ชนาวิน กล่าว
ขณะที่น.ส.เนตรดาว ยืนยันว่า การแก้ปัญหาในกลุ่มเด็กวัยรุ่นและเยาวชนนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐ ได้พยายามเข้าไปทำกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะการพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้เด็กได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเด็กส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการส่วนหนึ่งมาจากสถานพินิจและเด็กกลุ่มเสี่ยงจากชุมชน และที่ผ่านมาก็ได้ผล โดยเฉพาะการส่งเด็กเข้าไปในค่ายฝึกอบรม ซึ่งเจ้าหน้าที่จะออกแบบให้เหมาะสมกับภูมิภาคต่างๆและสภาพปัญหา
“เด็กแว้น กรมพินิจฯจะส่งเข้าโครงการช็อคเทอราปี เพื่อปรับพฤติกรรม โดยให้ทหารเรือเป็นผู้ฝึกอบรม ให้เข้ากับรูปแบบและการใช้ชีวิต ส่วนเด็กที่มีปัญหาติดยาเสพติด ก็จะส่งเข้าค่ายบำบัด หรือทำกิจกรรมในค่ายอื่นๆตามสมัครใจ ทั้งค่ารักษ์เขาชะเมา ค่ายละอ่อนฮักดี ค่ายธรรมะเพื่อแก้ปัญหาของเด็กในแต่ละภาค จากการประเมินโครงการค่ายเยาวชน เบื้องต้นพบว่าเด็กที่เข้าโครงการจะวางเป้าหมายชีวิตชัดเจนขึ้นจากเดิมที่ไม่รู้ว่าชีวิตจะดำเนินไปอย่างไร”นักวิชาการระบุ
โลกของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเด็กแก๊ง เด็กแว้น หรือเด็กระเบิด ล้วนมีปัจจัยสำคัญมาจากครอบครัว การเลี้ยงดูและสังคมแวดล้อม โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่มีความเสี่ยงสูง การแก้ปัญหาจึงไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง แต่ต้องเรียนรู้และตระหนักร่วมกัน โดยไม่ผลักให้เป็นภาระของสังคมส่วนใหญ่จนยากจะเยียวยา