"คำนึงสิทธิเด็ก-เป็นกลาง-ไม่พาดหัวข่าวหลอก" สิ่งที่หนูอยากเห็นจากพี่ๆ สื่อมวลชน
"..นักข่าวบางคนก็ดีอยู่นะ ผมชอบที่เขาเจอประเด็นแล้วสามารถล้วงลึกเจาะประเด็นลึกได้ แต่นักข่าวบางคนก็เห็นว่าละเลย ทำให้คนที่ตกเป็นข่าวเสียหายหนัก อย่างเช่นข่าวในครอบครัวเด็ก ข่าว อาชญากรรมต่างๆ เพราะบางทีนักข่าวก็ลืมที่จะเซ็นเซอร์ไว้ หากในภาพเป็นเด็กอย่างนี้ก็จะมีปัญหาตามมาภายหลังต่อตัวเด็กและครอบครัว.."

“ สิ่งที่หนูอยากบอกพี่ๆ นักข่าวในปัจจุบัน คือ อยากให้นำเสนอแต่เรื่องจริง เจาะลึก ตรวจสอบข้อมูลไม่เข้าข้างฝ่ายใดเป็นกลาง"
"อยากให้พี่ๆคำนึงถึงสิทธิเด็กด้วย เพราะที่ค่ายได้อบรมเรื่องนี้มา บางทีการนำเสนอข่าวที่ละเมิดหรือรูปภาพที่ไม่ควรนำเสนอ อาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจผู้อ่านหรือของครอบครัวเด็ก รวมทั้งตัวเด็กเองด้วย เพราะเด็กทุกคนมีสิทธิของตัวเองตั้งแต่เกิด นักข่าวและสื่อควรเคารพสิทธิของเด็กคะ”
นี่คือ "ข้อความ" ของ เด็กหลายคน ที่เข้าร่วมโครงการเยาวชนคนทำหนังสือพิมพ์เพื่อสิทธิเด็กรุ่นที่ 7 ที่จัดขึ้น ณ ศูนย์ฝึกอบรมบ้านผู้หว่าน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ในระหว่างวันที่ 24-26 ก.ค.58 ที่ผ่านมา ภายใต้ความร่วมมือของ 4 หน่วยงาน สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย , มูลนิธิไทยรัฐ , สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร และ องค์การยูนิเซฟประเทศไทย
ที่ตั้งใจ ฝากถึง พี่ๆ นักข่าว ต่อ การทำหน้าที่นำเสนอข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนรับทราบในปัจจุบัน
สำหรับการจัดโครงการค่ายฝึกอบรมเยาวชนคนทำหนังสื่อพิมพ์เพื่อสิทธิเด็กรุ่น ที่ 7 ครั้งนี้ มีนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาเข้าร่วมโครงการ จำนวน 10 โรงเรียน รวมทั้งหมด 50 คน
บรรยากาศภายในงานทั้ง 3 วันเต็มไปด้วยความสนุกสนานเป็นกันเอง รวมทั้งได้ความรู้จากวิทยากรในแต่ละด้าน อาทิ การจัดหน้า การเขียนข่าว การถ่ายภาพ และกองบรรณาธิการ ตามหน้าที่ของน้องๆ แต่ละคนที่ได้รับมอบหมายภารกิจในค่ายนี้
มีการแบ่งน้อง ๆ ออกเป็นกลุ่มสี 5 สี ฟ้า เขียว แดง ขาว เหลือง เพื่อให้น้องๆ รู้จักเพื่อนใหม่และทำงานร่วมกันในหมู่คณะ มีการช่วยกันคิดประเด็นลงพื้นที่เพื่อหาแหล่งข่าวมาทำข่าวมาลงในหน้าหนังสือพิมพ์
@ สาเหตุที่น้องๆเข้าร่วมโครงการเยาวชนคนทำหนังสือพิมพ์เพื่อสิทธิเด็ก
จากการสอบถามความเห็น น้องๆ ถึงการมาเข้าค่ายครั้งนี้ ว่ามาด้วยความสมัครใจ หรือ ครูส่งให้มาเข้าร่วม
น้องๆ ส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "สมัครใจมาเอง"
มีส่วนน้อยที่บอกว่า ครูคัดเลือกมาเข้าร่วมโครงการ แต่เมื่อมาเข้าค่ายแล้ว หลายคนมีความรู้สึก ดังนี้
"ตอนแรกไม่อยากมา เพราะคิดว่าคงน่าเบื่อและเป็นค่ายที่เข้มงวด และถูกครูคัดเลือกให้มาเข้าค่ายที่นี้ แต่เมื่อได้เข้าร่วมอบรมแล้วกลับรู้สึกว่าไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด สนุก ได้ความรู้ และพี่เลี้ยงทุกคนพี่ทีมงานเป็นกันเองและใจดีประทับใจทุกๆอย่าง"
(ภาพถ่ายทีมงานพี่เลี้ยง วัยละอ่อน ฟรุ้งฟริ้งกระดิ่งแมว )
@ อยากมีอาชีพเป็นนักข่าว บรรณาธิการ กราฟิก ช่างภาพ บ้างไหมจากการเข้าค่ายครั้งนี้
เมื่อถามความรู้สึกน้องๆที่เข้าร่วมและได้ร่วมกันทำหนังสือพิมพ์ในแต่ละหน้าที่ ได้รับคำตอบว่า
"น้องริบบิ้น" ทำหน้าที่เป็น กราฟิกในการจัดหน้าเล่าความรู้สึกว่า "อาชีพในอนาคตอยากเป็นช่างภาพมากกว่าเป็นฝ่ายกราฟิก เพราะส่วนตัวชอบการถ่ายรูปเวลาว่างรู้สึกมีความสุขมากกว่า"
"น้องนัดตี้" ทำหน้าที่เป็นนักข่าวได้เล่าความรู้สึกว่า "ตอนแรกไม่ได้อยากเป็นนักข่าว อยากเป็นครูมากกว่าแต่พอได้รับความรู้ได้ลงพื้นที่กลับรู้สึกว่าชอบขึ้นมาบ้างนิดหน่อย แต่ยังยืนยันว่าอยากเป็นครู"
"น้องแอ๊น" ทำหน้าที่เป็นช่างภาพได้เล่าความรู้สึกว่า "อยากมีอาชีพเป็นหมอแต่ชอบถ่ายรูปเช่นกันชื่นชอบเป็นงานอดิเรก"
@ น้องๆ มีมุมมองอย่างไรกับการทำงานของสื่อมวลชนในปัจจุบัน
จากการสอบถามความเห็นของน้องๆที่เข้าร่วมโครงการเยาวชนคนทำหนังสือพิมพ์เพื่อสิทธิเด็ก มีมุมมองต่อนักข่าวในปัจจุบันดังนี้
เสียงสะท้อนของน้องไนซ์ หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มสีขาว มีหน้าที่เป็นบรรณาธิการ ได้แสดงความคิดเห็นในมุมมองของตัวเองที่มีต่อนักข่าวในปัจจุบันว่า "นักข่าวบางคนก็ดีอยู่นะผมชอบที่เขาเจอประเด็นแล้วสามารถล้วงลึกเจาะประเด็นลึกได้"
"แต่นักข่าวบางคนก็เห็นว่าละเลยทำให้คนที่ตกเป็นข่าวเสียหายหนัก อย่างเช่น ข่าวในครอบครัวเด็ก ข่าวอาชญากรรมต่างๆ เพราะบางทีนักข่าวก็ลืมที่จะเซ็นเซอร์ไว้ หากในภาพเป็นเด็กอย่างนี้ ก็จะมีปัญหาตามมาภายหลังต่อตัวเด็กและครอบครัว"
อีกทั้งอยากให้นักข่าวในปัจจุบันปรับปรุงตรงที่เสนอข่าว เขียนข่าวตามความจริง บางที่ข่าวไม่ตรงกัน
"มักจะเจอบ่อยในข่าวออนไลน์บนเฟซบุ๊ก อย่างเช่นข่าวดาราที่ออกมาแถลงบางสื่อก็นำเสนอเนื้อหาไม่ตรงกัน ไปเอาข้อมูลที่ยังไม่แน่นอนมานำเสนอทั้งที่ยังไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงมา นักข่าวควรที่จะไตร่ตรองให้ดีและควรดูว่าน่าข้อมูลที่ได้มาเชื่อถือได้หรือเปล่า"
ในอีกมุมมองหนึ่งเสียงของ "น้องมิ้น" หนึ่งในสมาชิกกลุ่มของสีฟ้า มีหน้าที่เป็นนักข่าว ได้แสดงความคิดเห็นต่อมุมมองนักข่าวในปัจจุบันว่า
"นักข่าวในปัจจุบันมีทั้งส่วนที่ดีบ้างและไม่ได้บ้าง แต่งเรื่องเองขึ้นมาทั้งที่ไม่มีมูลความจริง ส่วนของนักข่าวที่ดีก็มีเยอะอยู่ แต่ข่าวที่น่าสนใจมากกว่ามักจะเป็นข่าวด้านลบ"
"นักข่าวเลยยิ่งเขียนใส่ความคิดเห็นลงไปใส่สีไข่เกินความจริงเพื่อให้มันดูน่าสนใจจากผู้อ่าน มักเจอในเฟซบุ๊ก และในบางทีก็มีข่าวหลอกที่ตั้งพาดหัวให้น่าสนใจน่าอ่านแต่พอกดเข้าไปดูเนื้อข่าวข้างในกลับไม่มีอะไรเลยที่น่าสนใจ เราเองก็เคยเผลอกดเข้าไปดูด้วยความที่อยากรู้แต่พอเข้าไปดูแล้วรู้สึกว่าเรื่องธรรมดาไม่ได้น่าสนใจอย่างที่พาดหัวข่าว"
“ส่วนใหญ่หนูมักจะอ่านข่าวจากสื่อออนไลน์ มีหนังสือพิมพ์บ้าง ทุกครั้งที่หนูกดเข้าไปอ่านข่าวออนไลน์ในเฟซบุ๊กมักจะเจอข่าวอย่างที่บอกไป แต่หนูก็เห็นนะว่าข่าวที่พาดหัวน่าสนใจมักจะมียอดคนเข้ามาดูเยอะ หนูก็คิดนะว่าหรือบางทีเขาอาจอยากแค่ต้องการปั่นยอดวิวไม่ได้เน้นเสนอข่าว”น้องมิ้นกล่าว
"สิ่งที่หนูอยากบอกพี่ๆนักข่าวในปัจจุบันคือ อยากให้นำเสนอแต่เรื่องจริง ให้เจาะลึก ตรวจสอบข้อมูล ไม่เข้าข้างฝ่ายใดเป็นกลาง อยากให้พี่ๆ คำนึงถึงสิทธิเด็กด้วยเพราะที่ค่ายได้อบรมเรื่องนี้มา บางทีการนำเสนอข่าวที่ละเมิดหรือรูปภาพที่ไม่ควรนำเสนออาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจผู้อ่านหรือของครอบครัวเด็กรวมทั้งตัวเด็กเองด้วย เพราะเด็กทุกคนมีสิทธิของตัวเองตั้งแต่เกิด นักข่าวและสื่อควรเคารพสิทธิของเด็กคะ"
ทั้งหมดนี่ คือ เสียงสะท้อนของน้องๆเหล่าเยาวชนคนทำหนังสื่อพิมพ์ที่ผ่านเข้าร่วมการอมรบการทำข่าวกระบวนการขั้นตอนการทำหนังสือพิมพ์ เพื่อให้ทุกคนนำความรู้จากการอบรมแล้ว กลับไปประยุกต์ใช้กับหนังสือพิมพ์ในโรงเรียนของตนเองได้ รวมถึงการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
แม้เสียงของเด็กจะเป็นแค่เสียงเล็กๆที่ผู้ใหญ่บางคนคิดไม่ถึงหรือมองข้ามไป เพราะหากเราย้อนกลับมามองจะเห็นได้ว่าถึงเสียงของเด็กจะเล็ก แต่ความคิดของพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้เล็กเลยจริงๆ
โดยเฉพาะเรื่องการรู้เท่าทันการทำหน้าที่ของ "สื่อ " ในปัจจุบัน!
